Custom Search By Google

Custom Search

วันอังคารที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ดาวิด จากเด็กเลี้ยงแกะ สู่กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่


ดาวิด เป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ในพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม เริ่มปกครองอิสราเอลตั้งแต่อายุ 30 ปี และครองราชย์ นานถึง 40 ปี (2 ซามูเอล 5:4) จากเด็กเลี้ยงแกะในทุ่งหญ้า (1 ซามูเอล 16:11) พระเจ้าได้เลือกเขา เข้าสู่ราชบัลลังค์อิสราเอล และดาวิด ก็เป็นบิดาของกษัตริย์ผู้เรืองปัญญาที่สุดในประวัติศาสตร์โลก "ซาโลมอน"

ดาวิด ปรากฎตัวครั้งแรกในหนังสือ 1 ซามูเอล 16 หลังจาก ซาอูล กษัตริย์องค์แรกของอิสราเอล ไม่เชื่อฟังพระเจ้า เขาไม่สำนึกผิด และยังคงทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า พระเจ้าได้ถอดซาอูลออกจากการเป็นกษัตริย์ และใช้ให้ ซามูเอล ผู้เผยพระวจนะคนสำคัญ เจิมดาวิด เด็กหนุ่มอายุ 17 เป็นกษัตริย์ขึ้นแทน (1 ซามูเอล 16:13)

ดาวิด เป็นเด็กเลี้ยงแกะ "เป็นคนผิวแดงๆ มีหน้าตาสวยและรูปร่างงามน่าดู" (1 ซามูเอล 16:11-12) มีความสามารถ ในการดีดพิณ เป็นคนพูดเก่ง กล้าหาญ พระวิญญาณพระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วย (1 ซามูเอล 16:18) ดาวิด มีอารมณ์ศิลปินที่อ่อนไหว เขียนโคลงและคำสรรเสริญพระเจ้าในสดุดี ที่เป็นแบบอย่างดีที่สุด ท่านรักพระเจ้า ด้วยสุดจิต สุดใจ และเชื่อฟังพระเจ้าอยู่เสมอ

วีรกรรมอันเรืองชื่อของดาวิด

วีรกรรมหนึ่งที่น่าจดจำ คือ ความกล้าหาญ มีความเชื่อมั่น และพึ่งพาพระเจ้า เมื่อครั้งดาวิดยังเป็นเด็กหนุ่ม ชาวอิสราเอล ถูกยักษ์ชาวฟิลิสเตียท้าให้มารบอยู่หลายวัน แต่ไม่มีผู้กล้าคนใดอาสาออกมาเลย มีเพียงเด็กเลี้ยงแกะ ที่ดีดพิณให้พระราชาฟัง อาสาออกรบโดยไม่สวมยุทธภัณฑ์ใดๆ และดาวิดล้มยักษ์ ชาวฟิลิสเตีย ด้วยก้อนหินจากสลิง และตัดคอด้วยดาบของยักษ์เอง (1 ซามูเอล 17:48-51) เหมือนดังที่เคย ฆ่าสิงโตและหมี ครั้งที่เขาเคยเลี้ยงแกะ (1 ซามูเอล 17:34) เพราะดาวิดมั่นใจเสมอ ว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเขา!

" อยู่มาเมื่อคนฟีลิสเตียคนนั้นลุกขึ้นเข้ามาใกล้เพื่อ ปะทะดาวิด ดาวิดก็วิ่งเข้าหาแนวรบ เพื่อปะทะกับคนฟีลิสเตีย คนนั้นอย่างรวดเร็ว และดาวิดเอามือล้วงเข้าไปในย่าม หยิบหินก้อนหนึ่งออกมา แล้วเหวี่ยงหินก้อนนั้น ด้วยสายสลิง ถูกคนฟีลิสเตียคนนั้นที่หน้าผาก ก้อนหินจมเข้าไปในหน้าผาก เขาก็ล้มหน้าคว่ำลงที่ดิน ดังนั้นดาวิดก็ชนะคน ฟีลิสเตียคนนั้น ด้วยสลิงและก้อนหินก้อนหนึ่ง และคว่ำคนฟีลิสเตียคนนั้นลง และฆ่าเขาเสีย ดาวิดไม่มีดาบ อยู่ในมือ แล้วดาวิดวิ่งไปยืนอยู่เหนือคนฟีลิสเตียคนนั้น หยิบดาบของเขาชักออกจากฝัก ฆ่าเขาเสีย และตัดศีรษะ ของเขา ออกเสียด้วยดาบ เมื่อคนฟีลิสเตียเห็นว่ายอดทหารของเขาตายเสีย แล้วก็พากันหนีไป "

ทั้งที่ดาวิดเป็นคนกล้าหาญ และเป็นชายชาตินักรบ แต่ท่านเป็นคนอ่อนสุภาพ ให้เกียรติผู้อื่น ในขณะที่ซาอูล พยายามจะสังหารดาวิดอยู่หลายครั้งหลายคราว ดาวิดกลับไว้ชีวิตซาอูล แม้โอกาสจะอยู่ตรงหน้า นอกจากนี้ ดาวิดยังมีจิตใจเมตตา คอยเอื้อเฟื้อช่วยเหลือญาติที่เหลืออยู่ของซาอูล และโยนาธานเพื่อนรักเก่า แม้ท่านจะ ครองราชย์เป็นกษัตริย์แล้วก็ตาม ท่านตั้งใจจะไม่รับบังลังค์อิสราเอลโดยวิธีฆ่าคนที่เป็นครอบครัวของซาอูล แต่กลับประหารพวกที่ได้ฆ่าบุตรชายของซาอูล

ดาวิดอยากจะสร้างวิหาร เพื่อนมัสการพระเจ้า และพระเจ้าก็อนุญาต แต่ช่วงเวลาของดาวิดเอง มีการสงคราม อันทำให้เลือดตกเป็นอันมาก พระเจ้าจึงวางแผนให้ราชโอรสของดาวิด เป็นผู้สืบทอดในอนาคต อย่างไรก็ตาม ดาวิด ช่วยเหลือซาโลมอนทุกอย่าง โดยเตรียมวางโครงการไว้ และช่วยในเรื่องการเงิน วัสดุก่อสร้างต่างๆ (1 พงศาวดาร 22:2-6; 28:11)

ผลแห่งความบาปในราชวงศ์

การสงครามมากมายในช่วงการปกครองของดาวิด ทำให้ดาวิดอยากจะปลีกตัวพักผ่อนอยู่ในพระราชวัง และพระองค์ได้กระทำผิดอย่างร้ายแรง มีผลทำให้ชีวิตตอนหลังมีความทุกข์โศกมากมาย ท่านล่วงประเวณีกับ นางบัทเชบา ทั้งที่นางมีสามีอยู่แล้ว และเมื่อนางตั้งครรภ์ ท่านจึงวางแผนฆ่าสามีที่ชื่ออุรีอาห์ พระเจ้าจึงลงโทษ โดยครอบครัวของดาวิดจะต้องแตกแยก ด้วยการผิดประเวณีและฆ่าคน (2 ซามูเอล 12:7-12) แต่ดาวิด เป็นแบบอย่าง ของการกลับใจที่ดี ท่านได้สารภาพความผิดบาป สำนึกและยอมต่อพระเจ้าอย่างแท้จริง และพระเจ้า ก็กรุณา โปรดอภัยให้ แต่ไม่ได้ทำให้ดาวิดพ้นความเดือนร้อน เพราะสิ่งที่ดาวิดทำไปแล้ว ย่อมมีผลร้ายตามมา

ผลการกระทำแห่งความบาป ดาวิดต้องสูญเสียบุตรชายคนแรกที่เกิดกับนางบัทเชบา บุตรชายของดาวิดคนหนึ่ง ข่มขืนน้องสาวของตัวเอง แล้วถึงความตายด้วยมือของบุตรชายอีกคนหนึ่ง นอกจากนั้น ราชโอรสของคนอื่นๆ ได้ทำการกบฎซ้ำแล้วซ้ำเล่า ดาวิดต้องระหกระเหินเพราะการกบฎของบุตรชาย แต่ในที่สุด บุตรที่กบฎก็ถูกฆ่าตาย ตลอดเวลาการปกครองของดาวิด มีการขัดแย้งทั้งภายในและภายนอกราชวังอยู่เสมอ แม้ในขณะที่จะสิ้นพระชนม์ จนกระทั่งซาโลมอนได้เป็นผู้สืบราชบัลลังก์แทน
พระพรของดาวิด

อย่างไรก็ตาม ดาวิดนับเป็นบุคคลที่พระเจ้าพอพระทัย ท่านเป็นแบบอย่างที่ดีของผู้เชื่อฟัง เรื่องราวของดาวิด ปรากฎอยู่ในหนังสือหลายเล่มของพระคัมภีร์ อีกทั้งท่านยังแต่งบทเพลงสรรเสริญพระเจ้า ในสดุดี 73 บท จากทั้งหมด 150 บท ได้อย่างลึกซึ้งและจับใจ ท่านจัดระเบียบในการนมัสการในพระวิหาร จัดตั้งกลุ่มนักร้อง และนักดนตรีจนสืบต่อมารุ่นหลัง

พระเจ้ากำหนดให้พระเมสิยาห์ เป็นเชื้อสายของดาวิด แต่ยิ่งใหญ่กว่าหลายเท่า พระองค์จะประทับ บนบัลลังก์ของกษัตริย์ดาวิด (อิสยาห์ 9:7; เยเรมีห์ 23:5; 33:15; มัทธิว 12:23; ลูกา 1:32; ยอห์น 7:42) และพระเมสิยาห์ ก็ยังเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของดาวิดด้วย (โรม 1:3-4; วิวรณ์ 22:16)

ถ้าพูดถึงบุคคลดังในพระคัมภีร์ หลายคนจะนึกถึงดาวิดเป็นคนแรก เพราะวีรกรรม และเรื่องราวที่น่าจดจำ ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์มากมาย ท่านจึงนับเป็นบุคคลตัวอย่าง ให้คนรุ่นหลัง ทั้งอนุชน และคริสเตียนทั่วไป ศึกษาเป็นตัวอย่างในหลายๆ แง่มุมอีกคนหนึ่ง

วันจันทร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2551

พระคริสต์ธรรมคัมภีร์


....พระคริสตธรรมคัมภีร์ มีทั้งหมด 66 เล่ม โดยมีกาีรแยกเป็น 2 ภาค ภาคแรกเรียกว่า พันธสัญญาเดิมมีอยู่ 39 เล่ม มีเนื้อหาประมาณสามในสี่ของพระคริสต์ธรรมคัมภีร์ทั้งเล่ม เขียนขึ้นโดยผู้ที่ได้รับการดลใจจากพระเจ้า 35 คน และภาคที่สองเรียกว่าพันธะสัญญาใหม่มีอยู่ 27 เล่ม เขียนขึ้นโดยอัครสาวกและสาวกของพระเยชู โดยแต่ละเล่มสรุปย่อๆ ได้ดังต่อไปนี้ ....


พันธสัญญาเดิม
........1.ปฐมกาล ปฐมกาลแปลว่า เริ่มแรก หนังสือปฐมกาลเป็นเรื่องการเริ่มต้นของหลายสิ่งหลายอย่าง เช่นการเริ่มต้นของจักรวาล การเริ่มต้นของมนุษย์ชายหญิง ...
การที่บาปเริ่มเข้ามาในชีวิตมนุษย์ และการที่พระเจ้าเริ่มให้พระสัญญาญเกี่ยวกับความรอด นอกจากนั้นยังกล่าวถึงชนชาติของพระเจ้าโดยเฉพาะ
และแผนการของพระเจ้าสำหรับชีวิตของพวกเขา เราจะได้รู้จักกับอาดัมและเอวา โนอาห์ อับราฮัม อิสอัค ยาโคบ และโยเซฟกับพวกพี่น้องของเขา ...


........2.อพยพ อพยพแปลว่า "โยกย้ายออกไป" หนังสืออพยพบรรยายถึงชนชาติของพระเจ้าต่อจากหนังสือปฐมกาล เป็นเรื่องที่พระเจ้าทรงเลือกโมเสสให้เป็นผู้นำประชาชนอิสราเอลออกจากการเป็นทาสในอิยิปต์ไปยังแผ่นดินพระสัญญาญ คือคานาอัน
พระเจ้าทรงสำแดงให้ประชากรของพระองค์เห็นว่า พระองค์ทรงมีฤทธิ์อำนาจยิ่งใหญ่เหนือฟาโรห์ของคนอิยิปต์ผ่านทางภัยพิบัติสิบอย่างและการแหวกทะเลแดง และในระหว่างที่คนอิสราเอลเร่ร่อนอยู่ในถิ่นทุรกันดารพระเจ้าทรงประทานกฎเกณฑ์ต่างๆ ให้พวกเขาถือปฎิบัติรวมทั้งพระบัญญัติสิบประการด้วย
นอกจากนั้นพระเจ้ายังเตือนประชากรของพระองค์ตลอดเวลาว่า พระองค์จะให้เขาเป็นประชาชาติที่ยิ่งใหญ่ถ้าพวกเขารักและเทิดทูลบูชาพระองค์ผู้เดียว
และประพฤติตามคำสั่งของพระองค์ .


....... เลวีนิติ เลวีนิติแปลว่า"เกี่ยวกับพวกเลวี"ตระกูลเลวีเป็นปุโรหิตของพระเจ้า หนังสือเลวีนิติกล่าวถึงกฎระเบียบการปฏิบัติงานของพวกเลวี - กฎเกณฑ์ในการนมัสการพระเจ้าและการถวายเครื่องบูชา ในเลวีนิติ 11:45 พระเจ้าตรัสว่า"เจ้าต้องบริสุทธิ์ เพราะเราบริสุทธิ์"กฎเกณฑ์ที่พระเจ้าให้คนอิสราเอลในหนังสือเลวีนิตินี้ก็เพื่อช่วยพวกเขาให้มีชีวิตบริสุทธิ์

......กันดารวิถี สองบทของเล่มนี้กล่าวถึงการนับจำนวนประชากรอิสราเอล นอกนั้นส่วนมากเป็นเรื่องการเดินทานรอนแรมในถิ่นทุรกันดารของพวกเขา ดังนั้น
เล่มนี้จึงได้ชื่อว่ากันดารวิถี ตลอดหนังสือกันดารวิถีทั้งเล่มชี้ถึงความห่วงใยของพระเจ้าต่อประชากรของพระองค์ พระองค์ทรงจัดหา น้ำ มานา และนกคุ่มให้อย่างอัศจรรย์
แม้พวกเขาจะบ่นว่าและกบฏต่อพระองค์ พระองค์ยังคงรักและให้อภัยเสมอมา

........เฉลยธรรมบัญญัติ รากศัพท์เฉลยธรรมบัญญัติในภาษาฮีบรูมีความหมายว่า"พระบัญญัติครั้งที่สอง" หลังจากวนเวียนอยู่ในถิ่นทุรกันดารสี่สิบปีคนอิสราเอล
็พร้อมเข้าคานาอัน ซึ่งเป็นแผ่นดินพระสัญญา แต่ก่อนจะเข้าไป โมเสสต้องการเตือนความจำของพวกเขา ถึงทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำเพื่อพวกเขาโดยตลอด ถึงพระบัญญวัติของพระเจ้าที่พวกเขาจำเป็นต้องเชื่อฟังและถือรักษาในฐานะที่เป็นชนชาติของพระองค์ โมเสสยังย้ำด้วยว่าพวกเขาต้องสอนลูกหลานให้รักและเชื่อฟังพนะเจ้าด้วยเช่นกันด้วยท้ายเล่มเป็นเรื่องที่พระเจ้าฟื้นฟูพันธสัญญากับคนอิสราเอลใหม่(บทที่29)
โยชูวาได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้นำคนใหม่(บทที่31)และโมเสสสิ้นชีวิต(บทที่34)

........โยชูวา โยชูวาเป็นชื่อของผู้นำคนสำคัญที่พระเจ้าแต่งตั้งขึ้นเขานำคนอิสราเอลข้ามแม่น้ำจอร์แดนบุกเยรีโคอย่างอัศจรรย์ พวกเขาจึงสามารถยึดครองเนื้อที่ ที่เป็นส่วนสำคัญของคานาอันได้ในเวลาไม่นานนัก ฌดยความช่วยเหลือของพระเจ้า ก่อนโยชูวาจะสิ้นชีวิต เขาเตือนเหล่าประชากรของพระเจ้าถึงเรื่องพันธสัญญาที่มีต่อพระเจ้า และท้าทายพวกเขาให้รักและเชื่อฟังพระองค์ต่อไป

ี่........ผู้วินิจฉัย หลังจากโยชูวาสิ้ื้นชีวิตแล้ว อิสราเอลขาดผู้นำ บ่อยครั้งประชาชนได้หลงลืมพระเจ้าและพระบัญญัติของพระองค์ แล้วหันไปนับถือรูปเคารพต่างๆ ต่อมาพระเจ้าทรงลงโทษพวกเขาโดยให้ชนชาติเพื่อนบ้านมากดขี่ข่มเหงเมื่อประชาชนเหล่านั้นหันกลับไปหาพระเจ้า และขอร้องให้พระองค์ยกโทษให้ พระองค์ทรงประทานผู้ืนำพิเศษโยเฉพาะให้ เพื่อช่วยพวกเขาให้พ้นมือศัตรู เขาเรียกบรรดาผู้นำพิเศษนี้ว่าผู้วินิจฉัย และผู้วินิจฉัยที่รู้จักกันดีคือ เดโบราห์ กิเดโอน และแซมสัน ...

........นางรูธเล่มนี้เป็นเรื่องของสองสามีภรรยาชาวอิสราเอลที่ย้างไปอยูประ้ทศโมอับในช่วงที่เกิดการกันดารอาหารผู้เป็นสามีกับบุตรชายสองคนสิ้นชีวิตที่นั่นทิ้งให้
ภรรยา(นาโอมี)กับลูกสะใภ้สองคน(โอบาห์กับรูธ)กยูกันตามลำพัง นางนาโอมีตัดสินใจกลับอิสราเอลส่วนนางรูธยืนยังว่าจะตามเธอไปด้วย เมื่อถึงอิสราเอลกับพวกเธอหวังว่าจะได้รัีบความช่วยเหลือจากโบอาสผู้เป็นญาติ ในที่สุดนางรูธแต่งงานกับโบอาส ลูกหลานที่สืบเชื้อสายต่อมาเป็นราชวงศ์ของดาวิดและพระเมสสิยาห์ - พระเยซูคริสต์ หนังสือนางรูธแสดงให้เห็นว่า พระเจ้ากำลังดำเนินงานให้แผนการไถ่บาปให้บรรลุผลสำเร็จ

........1ซามูเอล เล่มนี้เริ่มเรื่องด้วยการถือกำเนิดของซามูเอลและรับการฝึกฝนในพระวิหารจากนั้นบรรยายถึงวิถีทางที่เขานำประเทศชาติ
ในฐานะเป็นผู้เผยพระวจนะ ปุโรหิต และผู้วินิจฉัย เมื่อประชาชนอิสราเอลร้องขาให้มีกษัตริย์ซามูเอลเจิมซาอูลขึ้นเป็นกษัตริย์องค์แรก แต่พระเจ้าทรงถอดซาอูลออกจากตำแหน่งเพราะความไม่เชื่อฟังของเขา และให้ซาอูลเจิมดาวิดขึ้นแทนอย่างลับๆ ที่เหลือนอกนั้นกล่าวถึงการขับเคี่ยวกันระหว่างซาอูลกับดาวิด

........2ซามูเอล หนังสือ2ซามูเอลกล่าวถึงการก่อตั้งอาณาจักรอิสราเอลต่อเริ่มจากการสิ้นพระชนม์ของซาอูลเป็นต้นไปจากนั้นบรรยายถึง
การครองราชย์ตลอดสี่สิบปีของดาวิดเรื่องเด่นๆได้แก่ การยึดเยรูซาเล็ม ความบาปของดาวิดเกี่ยวกับนางบัทเชบา และการกบฏของอับซาโลม

........1 พงศ์กษัตริย์ หลังจากดาวิดสิ้นพระชนม์แล้ว พระโอรสซาโลมอนขึ้นครองราชย์แทน บทที่1-11 บรรยายถึงรัชสมัยของซาโลมอนรวมถึงการสร้างพระวิหารและพระราชวังที่เยรูซาเลม กษัยริย์องค์ต่อมาคือเรโหโบอัมผู้ซึ่งสูญเสียดินแดนตอนเหนือไป นับแต่นั้นมาอาณาจักรส่วนเหนือเรียกว่าอิสราเอล ...ส่วนอาณาจักรส่วนใต้เรืยกว่ายูดาห์ บทท้ายๆของเล่มนี้กล่าวถึงกษัตริย์อาหับผู้ชั่วช้ากับเอลิยาห์ผู้เผยพระวจนะของพระเจ้าที่กล่าวประณามความชั่วช้าของอาหับ และการไม่เชื่อฟังของคนอิสราเอล

........2พงศ์กษัตริย์ 2พงศ์กษัตริย์เป็นเรื่องของเอลิยาห์กับเอลิชาต่อนอกจากนั้นยังกล่าวถึงความเป็นไปของอาณาจักรเหนืออิสราเอลและใต้ของยูดาห์ควบคู่กัน
ไปจนกระทั่งสูญเสียเอกราชในที่สุด อิสราเอลตาเป็นของอัสซีเรียในปี 722 ก.ค.ศ. และยูดาห์เป็นของบาบิฏลนในป ี586 ก.ค.ศ.พวกผู้เผยพระวจนะของทั้งสองอาณาจักรได้ร้องเตือนประชาชนอย่างไม่หยุดว่า พระเจ้าจะลงโทษถ้าพวกเขาไม่กลับใจใหม

่........1 พงศาวดาร หนังสือพงศาวดารเริ่มด้วยการลำดับเชื้อสายตั้งแต่อาดัมไปจนถึงกษัตริย์ซาอูล จากนั้นกล่าวถึงรัชสมัยของกษัตริย์ดาวิด ดูเหมือนเรื่องราวในหนังสือพงศาวดารจะซ้ำกับซ้ำกับซามูเอลและพงศ์กษัตริย์ อย่างไรก็ตามพงศาวดารทั้งสองเล่มนี้เขียนขึ้นสำหรับคนอิสราเอลที่กลับจากการถูกเนรเทศ เพื่อให้สำนึกถึงความจริงที่ว่าพวกเขาสืบเชื้อสายจากกษัตริย์ดาวิด และเป้นพงศ์พันธุ์ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไว้ หลักใหญ่ใจความคือชี้ให้เห็นว่าพระเจ้าทรงซื่อสัตย์ต่อพันธสัญญาที่พระองค์ทรงกระทำไว้ ...

........ื้2 พงศาวดาร 2พงศาวดารเป็นเรื่องของราชวงศ์ดาวิดต่อ บทที่1-9 บรรยายถึงการสร้างพระวิหารระหว่างรัชสมัยของซาโลมอน บทที่ 10-36 เป็นประวัติความเป็นไปของอาณาจักรใต้คือยูดาห์ถึงเยรูซาเลมถูกทำลายในที่สุด และประชาชนเนรเทศไปบาบิโลน

........เอสรา เล่มนี้เป็นเรื่องราวของพวกยิวที่กลับมาจากการเป็นเชลยที่บาบิโลน เริ่มด้วยพระราชปกาศิตของไซรัส พระราชาแห่งเปอร์เซีย
ที่อนุญาติให้พวกเชลยกลับได้ ประชาชนเริ่มสร้างพระวิหารใหม่อย่างกระตือรือร้นแต่พวกศัตรจากทางเหนือมาถ่วงเวลาให้ต้องชะงักไปถึง 18 ปี
ในที่สุดพระราชาดาริอัสทรงออกกฤษฎีกาให้สร้างให้เสร็จ(ดูเอสรา1-6 ) บทที่ 7-10 กล่าวถึงปุโรหิตเอสรากลับคืนสู่เยรูซาเลม เขาสอนประชาชน
ให้รู้ถึงพระบัญญัติของพระเจ้า และปฏิรูปชีวิตของพวกเขาเสียใหม่โดยให้หันกับมาหาพระเจ้า เอสราอาจจะเป็นผู้เขียนหนังสือเอสรากับเนหะมีย์

ู........เนหะมีย์ เล่มนี้กล่าวถึงพวกยิวที่กลับจากถูกเนรเทศเนหะมีย์ถอนตัวจากการเป็นพนักงานเชิญถ้วยเสวยของอารทาเซอร์ซีสพระราชาเปอร์เซีย
เพื่อไปเป็นผู้ว่าราชการที่เยรูซาเล็ม เขานำประชาชนสร้างกำแพงเมืองขึ้นใหม่หนังสือเล่มนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการอธิษฐานในชีวิตของเนหะมีย์

........เอสเธอร์ หนังสือเอสเธอร์เป็นเรื่องของสาวงามชาวยิวที่กษัตริย์อาหสุเอรัสเลือกมาเป็นราชินี เมื่อฮามานวางแผนฆ่าคนยิวทั้งหมดในแผ่นดิน โมรเดคัยผู้เป็นญาติของพระราชินีพยายามยื่นมือช่วยเหลือชีวิตพี่น้องร่วมชาติไว้ได้ แม้ว่าหนังสือเอสเธอร์จะไม่เอ่ยพระนามของพระเจ้าเลยสักแห่งเดียว
แต่เราก็ได้เห็นถึงการปกป้องของพระองค์อย่างชัดเจน

........โยบ ตัวเอกของหนังสือเล่มนี้คือโยบ เขาเป็นคนดีรอบคอบและเที่ยงธรรม ที่มั่งคั่งร่ำรวยแม้ต้องสูญเสียทุกสิงที่ี่มีอยู่
และต้องทนทุกข์เวทนาจากโรคร้าย ดยบก็ยังคงเชื่อวางใจในพระเจ้า หนังสือโยบเป็นเรื่องการหาเหตุูผล ว่าทำไมคนดีๆต้องทนทุกข์เพื่อนของ
โยบย้ำว่าเขาต้องทนทุกข์์เพราะถูกลงโทษเนื่องจากบาปของเขา แต่โยบทักท้วงว่าเขาไม่ได้ทำอะไรผิด และแสดงให้เห็นถึง
ความไว้วางใจในพระเจ้าของเขา ภายหลังพระเจ้าตรัสกับพวกเขาและสำแดงถึงฤทธานุภาพของพระองค์ให้โยบเข้าใจ
โยบจึงยอมรับว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่เกินที่เขาจะเข้าใจได้

........สดุดี เป็นหนังสือที่ไพเราะที่สุดเล่มหนึ่งของพระคัมภีร์ สดุดีเป็นบทเพลงสรรเสริญ นมัสการ ขอบพระคุณและกับใจใหม่
ส่วนใหญ่กษัตริย์ดาวิดเป็นผู้แต่ง ที่เหลือเป็นนอกจากนั้นเป็นของพวกบุตรของโคราห์ ซาโลมอน โมเสส และคนอื่นๆ

ี ........สุภาษิต เล่มนี้เป็นการรวบรวมคำแนะนำอันชาญฉลาดสำหรับมาใช้ในชีวิตประจำวัน ขึ้นต้นด้วยคำเตือนว่า"ความยำเกรงพระเจ้า เป็นบ่อเกิดของความรู้"
(สุภาษิต1:17)ส่วนใหญ่เป็นของกษัตริย์ซาโมมอน บทอื่นๆรวบรวมไว้โดยคนของเอเซคียาห์ และผู้เขียนสอบบทสุดท้ายคือ การ์กูร์กับเลมูเอล

........ปัญญาจารย์ ปัญญาจารย์ได้ถกปัญหาความหมายแห่งชีวิต "ปัญญาจารย์"พินิจพิเคราะห์ดูสติปัญญา ความเบิกบานใจ การงาน อำนาจ ความมั่งคั่ง ศาสนา และสิ่งอื่นๆเขาสรุปว่าถ้าไม่มีพระเจ้าทุกสิ่งในชีวิตก็ไร้ความหมาย เป็นอนิจจัง

........เพลงซาโลมอน เพลงซาโลมอนเป็นเพลงยาวที่ให้เห็นภาพของความรักอันงดงามตามอุดมคติของมุนษย์และการแต่งงานใช้ชีวิตร่วมกัน ...

........อิสยาห์ อิสยาห์ได้เผยพระพระวจนะของพระเจ้าในอาณาจักรยูดาห์ช่วงสมัยของกษัตริย์อุสซียาห์ โยธาม อาหัส และเฮเซคียาห์ เขาร้องเตือนประชาชนซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าเยรูซาเลมกับยูดาห์จะถูกพิพากษาลงโทษเพราะความชั่วช้า(ความผิดรุนแรง)ของพวกเขา ในบทที่39
เขาพยากรณ์ว่า คนอิสราเอลจะถูกกวาดต้องไปบาบิโลน แต่เขายังให้ความหวังว่าราชอาณาจักรจะฟื้นตัวใหม่หรือได้เอกราชอีครั้ง ตั้งแต่บทที่ 40 เรื่อยมาผู้เผยพระวจนะให้คำประเล้าประโลมใจโดยหยิบยกเอาพันธะสัญญาต่างๆของพระเจ้ามากล่าวคือ ..
1.)คนที่ถูกกวาดต้อนไปจะได้กลับเยรูซาเลมอีก
2.)ผู้รับใช้ที่กรปรด้วยความชอบธรรมจะต้องทนทุกข์และจะมาประธานความรอดให้
3.)พระเจ้าจะสถาปนาราชอาณาจักรใหม่ที่กอปรด้วยความเที่ยงธรรม

........เยเรมีย์ เยเรมีย์เหมือนกับอิสยาห์ คือเป็นคนหนุ่มที่พระเจ้าทรงเรียกให้ไปร้องเตือนคนยูดาห์เกี่ยวกับความชั่วช้าของพวกเขา20 ปีแรกของเขา
อยู่ใต้การปกครองของโสิยาห์ กษัตริย์ผู้ซึ่งพยายมโน้มนำประชาชนชาวยูดาห์กลับมาหาพระเจ้า แต่หลังจาก แต่หลังจากนี้ต่อมาเยเรมีห์ต้องเผชิญอันตราย จากผู้นำทางการเมืองและศาสนาที่แค้นเคืองเยเรมีห์เนื่องด้วยถ้อยคำที่เขาประกาศ พระเจ้าทรงปกป้องเยเรมีห์ไว้ ดังนั้น เขาจึงยังยงสามารถร้องเตือน
คนชั่วช้าและปลอบประโลมใจคนที่เชื่อพึ่งพระเจ้าต่อไป หลังจากเยูซาเลม ถูกทำลาย เยเรมีห์เลือกอยู่กับประชาชนที่เหลือ และเดินทางไปอียิปต์กับพวกเขาด้วย ...

........บทเพลงคร่ำครวญ หนังสือบทเพลงคร่ำครวญเป็นคล้ายๆ บทเพลงที่ใช้ในงานศพ ผูเขียนอาจจะเป็นเยเรมีห
์ ซึ่งแสดงความเศร้าโศกเสียใจตอนที่เห็นเยรูซาเลมถูกทำลายเขาเขียนสารภาพความบาปของประชาชน และอธิษฐานขอพระเมตตาจากพระเจ้า ...


........เอสเสเคียล เล่มนี้ตั้งตามชื่อของผู้เผยพระวจนะเอเซเคียล ผู้เป็นปุโรหิตในเยรูซาเลม เขาถูกนำตัวไปยังกรุงบาบิโลนพร้อมกับชาวยิวคนอื่นๆ
ที่ถูกกวาดต้อนในปี 598 ก.ค.ศ.บทที่ 1-24 เป็นคำพยากรณ์เกี่ยวกับการทำลายเยรูซาเลมพังพินาศแล้วเอเซเคียลเริ่มป่าวประกาศถ่้อยคำ
ที่เป็นความหวังใหม่ของประชาชนชาวอิสราเอล ที่จะได้กลับสู่ถิ่นฐานเดิม

........ดาเนียล เป็นหนังสือที่กล่าวถึงชีวิตของดาเนียลและเพื่อน3คนที่ถูกจับไปเป็นเชลย เขาทั้งสี่ยังคงเชื่อฟังและนมัสการพระเจ้าต่อไป
แม้บางครั้งต้องเอาชีวิตเข้าเสี่ยง หกบทสุดท้ายของเล่มนี้ดาเนียลบรรยายถึงนิมิตที่เขาเห็นเกี่ยวกับอาณาจักรต่างๆในโลก
ก่อนที่อาราจักร อมตะชั่วนิรันดร์จะปรากฏขึ้นในที่สุด

........โฮเซยา โฮเซยาเป็นผู้เผยพระวจนะของอาณาจักรส่วนเหนือของอิสราเอลในรัชกาลของเยโรโบอัมที่2 บทที่ 1-3 กล่าวถึงความรักของ
โฮเซยากับภรรยาที่นอกใจเขา บทอื่นๆที่เหลือโฮเชยาใช้ประสบการณ์จากชีวิตสมรสของเขามาเป้นภาพพจน์ของความรักที่พระเจ้ามี
ต่อชาวอิสราเอลผู้ไม่ซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า

........โยเอล โยเอลเผยพระวจนะในรัชสมัยของกษัตริย์โยอาชเขาบรรยายถึงภัยพิบัติจากฝูงตั๊กแตนที่มาทำลายแผ่นดินยูดาห์ จากนั้นโยเอลเตือนประชาชนให้กลับ
ใจมาหาพระเจ้า และปรพกาศว่า"วันแห่งพระเจ้า"ใกล้มาถึง และจะมีการพิพากษายิ่งใหญ่กว่านี้อีก

........อาโมส อาโมสเป็นผู้เลื้ยงแกะที่พระเจ้าทรงเรียกมาเป็นผู้เผยพระวจนะตามหัวเมืองภาคเหนือของอิสราเอล เขาร้องประกาศว่าพระเจ้าจะพิพากษาลงโทษ
ประชาชนเพราะการที่พวกเขาหันหลังให้กับพระเจ้า ทารุณคนยากจน และดำรงชีวิตอยู่อย่างเห็นแก่ตัว

........โอบาดีห์ เป็นเล่มที่สั้นที่สุดของพระคัมภีร์ ซึ่งพยากรณ์กล่าวโทษชาวเอโดม
โอบาดีห์ป่าวประกาศว่าพระเจ้าทรงพิพากษาโทษของพวกเขาแล้ว และพยากรณ์ว่าประเทศของเขาจะถุกทำลาย

........โยนาห์ โยนาห์เะป็นผู้เผยพระวจนะที่พระเจ้าทรงเ้รียกให้ไป ประกาศยังต่างแดน คือ นครนีนะเวห์ โยนาห์พยายามหนีจากพระเจ้าแต่ถูกปลาใหญ่มหึมมา
กลืนเข้าไป เมือปลาสำรอกเขาไปไว้ที่ชายฝั่งโยนาห์ยอมเดินทางไปนีนะเวห์และตักเตือนประชาชน
เรื่องที่พระเจ้าจะพิพากษาลงโทษโยนาห์ได้เรียนรู้ว่าพระเจ้าจะให้อภุยกับทุกคนที่สำนึงผิดแม้พวกเขาจะไม่เคยรู้จักกับพระองค์เลยก็ตาม ...

........มีัคาห์ มีคาห์อาศัยอยู่ในชนบทเขตยูดาห์ในรัชกาลของอาหัสและเฮเซคียาห์ เขาเตือนว่าพระเจ้าจะพิพากษาลงโทษเยรูซาเลมและสะมาเรีย เพราะความผิดบาปของผุ้นำทั้งสองเมืองนั้น แต่มีพันธสัญญามาถึงเหล่าคนที่ไว้วางใจในพระเจ้าว่า พระองค์จะฟื้นฟูศิโยนใหม่และจะทำให้เป็นแผ่นดินแห่งสันติสุข เขาพยากรณ์ว่าจะมีผู้ปกครองมาเกิดที่เบธเลเฮม และอำนาจของเจาจะไม่มีวันสิ้นสุด ...

........นาฮูม นาฮูมเป็นหนังสือพยากรณ์กล่าวโทษนครนีนะเวห์เมืองหลวงของอัสซีเรีย นาฮูมบรรยายถึงความทารุณโหดร้ายของพวกอัสซีเรียในเวลาที่พวกเขาบุกเข้ายึดดินแดนต่างๆ เขาพยากรณ์ถึงการทำลายล้างนครนีนะเวห์และการล่มจมของอาณาจักรอัสซีเรีย

........ฮาบากุก เล่มนี้เขียนในรูปการสนทนาระหว่างพระเจ้ากับผู้เผยพระวจนะ ฮาบากุกเป็นฝ่ายถามพระเจ้าก่อนว่า ทำไม่พระองค์จึงปล่อยให้ความชั่วช้าทารุณดำเนินอยู่โดยที่พระองค์ไม่ยับยั้ง เมื่อพระเจ้าครัสตอบเขาว่าพระองค์จะส่งชาวบาบิโลนมาลงโทษชาวยูดาห์ ฮาบากุกนึกห่วงมากขึ้น เขาไม่เข้าใจว่า ทำไม่พระเจ้าถึงใช้ชาวบาบิโลนมาทั้งที่พวกนี้ชั่วช้ายิ่งกว่าคนยิวเสียอีก พระเจ้าตรัสตอบว่า"คนชอบธรรมจะดำรงชีวิตอยู่ด้วยความเชื่อ" และบอกว่าพวกบาบิฏลนจะถูกลงโทษเช่นเดียวกัน หนังสือฮาบากุกจบลงด้วยบทเพลงสรรเสริญ ...

........เศฟันยาห์ เศฟันยาห์เผยพระวจนะในรัชกาลดยสิยาห์เขาร้องเตือนว่าวันแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้าจะมาถึงยูดาห์และเยรูซาเลม และร้องเรียกให้คนอิสเราเอลกลับมาหาพระเจ้าทรงสัญญาว่าพระองค์จะนำประชากรของพระองค์กลับถิ่นฐานของพวกเขา ...

........ฮักกัย สิปแปดปีได้ผ่านไปนับตั้งแตพระราชาไซรัสออกกฤษฎีกาอนุญาตให้ชาวยิวกลับจากการเนรเทศ แต่พวกเขายังสร้างพระวิหารที่กรุงเยรูซาเลมไม่เสร็จ
ฮักกัยนำพระวจนะของพระเจ้าไปบอกว่าถึงเวลาแล้สที่จะสร้างพระนิเวสของพระเจ้าขึ้นมา และพระองค์จะให้พระนิเวศนี้เต็มด้วยสง่าราศี

........เศคาริยาห์ เศคาริยาห์เริ่มเผยพระวจนะหลังฮักกัยสองเดือนพระเจ้าใหเเศคาริยาห์เห็นนิมิตแปดอย่าง เพื่อหนุนใจพวกเขาให้สร้างพระวิหารให้เสร็จ
บทที่7 กับ 8 เป็นคำสั่งให้ประชาชนเชื่อฟังพระเจ้าด้วยการให้ความยุติธรรมและความ
เมตตาต่อกันและกัน บทที่9-14 พยากรณ์ถึงการเสด็จมาของกษัีตริย์แห่งศิฏยน "พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด"

........มาลาคี พระเจ้าใช้มาลาคีไปพูดกับคนยิวที่กลับจากการเป็นเขลย เขาเตือนประชาชนไม่ให้เพิกเฉยและดื้อดึงต่อพระเจ้า มิฉะนั้นพระองค์จะลงโทษพวก
เขา พระเจ้าประธานพระสัญญาทางมาลาคีว่า พระองค์จะช่วยคนเที่ยงธรรมให้รอด ...



พันธสัญญาใหม่
........มัทธิว ผู้เขียนพระกิตติคุณเล่มแรกคือมัทธิว ผู้เป็นหนึ่งในสาวกสิบสองคนของพระเยซู และเขียนขึ้นก่อนที่ชาวโรมจะทำลายกรุึงเยรูซาเลมในปี ค.ศ.70 มัทธิวเขียนพระกิตติคุณเล่มนี้สำหรับคนยิว เพื่อแสดงให้เห็นว่า พระเยซูคริสต์เป็นพระเมสิยาห์ตามที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ในพันธสัญญาเดิม เขายกคำพยากรณ์มาอ้างอิงหลายข้อ และชี้แจงให้ผุ้อ่านตระหนักว่าทุกอย่างเหล่านั้นสำเร็จเป็นจริงในชีวิตของพระเยซู นอกจากนั้นเขายังรวบรวมคำสอนของพระเยซูเกี่ยวกับแผ่นดินสวรรค์ไว้มากมายทีเดียว เพราะพวกยิวกำลังแสวงหาผู้ที่จะมาเป็นกษัตริย์ของพวกเ้ขา ตอนหนึ่งในหนังสือมัทธิวที่รู้จักกันดีคือตอนที่เทศนาบนภูเขา ซึ่งบ่งชี้ว่าพระเยซูเป็นบรมครูที่ยิ่งใหญ่

........มาระโก มาระโกผู้เขียนพระกิตติคุณเล่มนี้อาจเป็นคนแรกที่จดบันทึกเหตุการณ์ต่างๆในชีวิตของพระเยซูเอาไว้ เขาอาจเป็นคนเดียวกับผู้ที่ทำงานประกาศร่วมกับเปาโลและบารนาบัสมาหลายปี มาระโกเขียนพระกิตติคูณเล่มนี้ เพื่อให้คริสต์เตียนยุกแรกรู้ว่าพระเยซูทรงเป็นเช่นไรและทำไมพระองค์ต้องสิ้นพระชนม์ เขาชี้ให้เห็นว่าพระองค์ออกทำงานไม่หยุดหย่อน และทำสิ่งเหล่านั้นด้วยสิทธิอำนาจของพระองค์ หนึ่งในสามของเล่มนี้กล่าวถึงเหตุการณ์สัปดาห์สุดท้ายบนแผ่นดินโลกของพระองค์แล้วจบลงด้วยการสิ้นพระชนม์และการเป็นขึ้นมาจากความตายของพระองค์

........ลูกา นายแพทย์ลูกาผู้ร่วมเดินทางไปกับเปาโล เป็นผู่เขียนพระกิตติคุณเล่มที่สามนี้ ลูกาเกริ่นกล่าวไว้ในสี่ข้อแรกว่าเขาเขียนพระกิตติคุณเล่มนี้เพื่อให่เรารู้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องราวในชีวิตของพระเยซู พระกิตติคุณลเ่มนี้มีรายละเอียดมากที่สุด จัดเหตุการณ์ต่างๆในชีวิตของพระเยซูให้เป็นไปตามลำดับ และชี้ให้เห็นความรักของพระเยซูที่มีต่อคนทุกชนชั้น - มิใช่เพราะแต่คนร่ำรวยหรือคนสำคัญเท่านั้น แต่กับคนยากจน และคนที่สังคมดูหมิ่นด้วย ...

........ยอห์น พระกิตติคูณเล่มนี้เขียนโดยสาวกอีกคนหนึ่งที่"พระองค์ทรงรัก"คือยอห์น เขาเขียนขึ้นเพื่อ"ท่านทั้งหลายจะได้เชื่อว่า พระเยซูทรงเป็นพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า และเมื่อท่านมีความเชื่อแล้ว ท่านก็จะมีความเชื่อโดยพระนามของพระองค์"(ยอห์น 20:31)ยอห์นต้องการชี้ให้ผู้อ่านได้เห็นว่าคำตรัสของพระเยซูและการอัศจรรย์ที่ทรงกระทำพิสูจน์ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า เขาเลือกหยิบยกเฉพาะเหตุการณ์ที่แสดงว่าพระเยซูทรงเปี่ยมล้นด้วยฤทธิ์อำนาจในยามที่มนุษย์ไม่มีทางช่วยตัวเองได้ แต่ขณะเดียวกันเขาก็ชี้ให้เห็นว่า
พระเยซูเป็นมนุษย์ พระองค์เหนื่อยเป็น หิวเป็น และเสียใจเป็นเช่นเดียวกับพวกเรา .

........กิจการ หนังสือกิจการเป็นหนังสือที่ต่อจากลูกา เล่มนี้เป็นบันทึกข้อเท็จจริงถึงการเริ่มขขยายตัวของคริสต์จักร บางครั้งจิงเรียกว่า"กิจการของอัครทูต" ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นงานของอัครทูต2ท่านคือเปโตรกับเปาโล นอกจากนั้นอาจเรียกได้อีกชื่อหนึ่งว่า "กิจการของพระวิญญาณบริสุทธิ์" เพราะเล่มนี้บอกเราถึงการเสด็จมาและพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ หนังสือกิจการมีคำสอนเกี่ยวกับคริสตจักรสมัยแรก3ประการ คือ ...
1.)คริสคจักรยุคแรกสอนอะไร
2.)วิถีทางที่พวกยิวไม่ยอมรับคำสอนนี้ และวิถีทางที่พระเจ้าใช้พวกอัครทูตไปหาคนต่างชาติยอมรับพระกิตติคุณ
3.)วิถีทางที่ผู้มีอำนาจในท้องถิ่นกับรัฐบาลโรมปฏิบัติต่อคริสตจักยุคแรก

........โรม ดูเหมือนเปาโลเขียนจดหมายฉบับนี้ไปถึงชาวโรมตอนเขาเสร็จสิ้นการเดินทางเที่ยวที่3 เขากำลังจะกลับไปเยรูซาเลม และวางแผนแวะไปเยี่ยมกรุงโรมแล้วเลยไปเสปน(โรม15:23-25) หลังใหญ่ใจความของจดหมายฉบับนี้กล่าวถึงความชอบธรรม เปาโลสอนว่า
(1)ไม่มีมนุษย์คนใดเป็นผู้ชอบธรรมเลยสักคนเดียว
(2)พระเยซูคริสต์เป็นผู้ชอบธรรมสมบูรณ์ไม่มีที่ติ
(3)ถ้าเราเชื่อในพระเยซู เราจะได้รับการปลดปล่อยเป็นอิสระจากอำนาจบาป มีชีวิตใหม่ และได้กลับไปคืนดีมีความสัมพันธ์อันถูกต้องกับพระเจ้า
(4)เราควรมีชีวิตที่"บริสุทธิ์และเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า"

........1 โครินธ์ เปาโลเขียนจดหมายฉบับนี้ขณะอยู่ที่เมืองเอเฟซัส เพราะเขาได้ข่าวไม่เป็นมงคลเกี่ยวกับคริสตจักรโครินธ์พวกคริสเตียนที่นั่น
ไม่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัีน - แตกกันเป็นก๊กเป็นเหล่า และบางคนดำเนินชีวิตอยูในความบาปเปาโลเขียนจดหมายฉบับนี้ไปต่อว่าและส้่งสอนพวกเขาว่า
ควรจะัประพฤติตัวอย่างไร โครินธ์เป็นเมืองชั่วร้ายเมืองหนึง จึงยากสำหรับพวกคริสเตียนที่จะใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางคนเหล่านั้น โดยไม่ประพฤติเหมือนพวกเขา ในจดหมายฉบับนี้เปาโลพยายามให้บทเรียนสอนใจถึงชีวิตคริสเตียน เพื่อช่วยพวกเขาให้แยกความชั่วร้ายออกจากความดี

์ิ........2โครินธ์ เมื่อคริสเตียนที่โครินธ์ได้รับจดหมายฉบับแรกของเปาโล บางคนโกรธ แต่ส่วนมากสำนึกว่าพวกเขาทำผิด พวกเขาจึงส่งข่าวไปถึงเปาโลว่าพวกเขายินดีที่จะแก้ไขความประพฤติเสียใหม่ และฉบับนี้ก็เป็นอีกฉบับหนึ่งที่เปาโลเขียนตอบพวกเขามา ส่วนแรกบอกถึงความยินดีและความโล่งอกโล่งใจที่เห็นชาวโครินธ์เสียใจในการกระทำของตน และบัดนี้พวกเขากำลังปรับปรุงชีวิตให้เป็นที่พอพระทัยต่อพระเจ้า ส่วนที่สองของฉบับนี้คล้ายเป็นคำกล่าวโต้ตอบเหล่าคนที่โกรธเขาและให้ร้ายเขา ...

์........กาลาเทีย เปาโลเขียนจดหมายฉบับนี้ไปถึงคริสตจักรต่างๆที่ตั้งอยุ่ในแคว้นกาลาเทียของโรม คริสตจักรเหล่านั้นกำลังวุ่นวายเนื่องจากได้รับคำสอนผิดๆจากคนที่ฝังใจในลัทธิยิว คนเหล่านั้นเข้าไปสอนพวกคริสเตียนชาวกาลาเทียนว่าพวกเขาไม่รอดถ้าไม่เชื่อฟังพระเจ้าและประพฤติตามกฎเกณฑ์หมดในศาสนายิว
- เช่น การเข้าสุหนัต การรับประทานอาหารตามบทบัญญัติ และการถือวันเทศกาลของยิว เปาโลเขียนบอกพวกเขาว่า การเชื่อฟังและถือตามกฎเกณฑ์ต่างๆเหล่านั้นไม่ช่วยให้พวกเขารอดพ้นบาปได้ พวกเขาจะรับความรอดโดยการเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์อย่างเดียวเท่านั้น เขายังสอนด้วยว่าคริสต์เตียนมีเสรีภาำพที่จะดำเนินชีวิตในกฏแห่งความรัก มิใช่กฏของโมเสส ...

........เอเฟซัส เปาโลเขียนขณะติดคุกอยู่ที่กรุงโรม และจดหมายฉบับนี้อาจถูกส่งไปยังคริสจักรอื่นๆรอบเมืองเอเฟซัสด้วย เอเฟซัสสมัยนั้นเป็นเมือง
ใหญ่และสำคัญมาก จึงเป็นศูนย์กลางของคริสจักรอื่นๆที่อยู่รอบๆ - มิใช่อาคารสถานที่แห่งใดแห่งกนึ่ง แต่เป็นคริสจักรที่รวมคริสเตียนจากทุกยุคทุกสมัยไว้ด้วยกัน ซึ่งเราเรียกว่า "คริสตจักรสากล"เปาโลกล่าวว่าเนื่องจากคริสเตียนทุกคนต่างเป็นครอบครัวเดียวกันในพระเยซูคริสต์ พวกเขาควรแสดงความรักต่อกันและกัน

........ฟิลิปปี เปาโลเขียนขณะติดคุกอยู่ที่กรุงโรม พวกคริสเตียนที่ฟิลิปปีส่งเอปาโฟรดิอัสมาเยี่ยมพร้อมนำข้าวของมาฝากด้วย ขณะที่พักอยู่ในกรุงโรมเอปาโฟรดิอัสล้มป่วยลง และพวกคริสเตียนชาวฟิลิปปีพากันเป็นห่วงเป็นใย หลังจากเอปาฏฟรดิอัสอาการดีขึ้น เปาโลจึงส่งเขากลับฟิลิปปีพร้อมจดหมายนี้ แม้เปาโลจะเขียนมาจากที่คุมขังก็ตาม แต่จดหมายฉบับนี้ก็เปี่ยมไปด้วยรักและชื่นชมยินดี เปาโลรู้สึกซาบซึ้งใจในความรักและความช่วยเหลือของพี่น้องชาวฟิลิปปีอย่างที่สุด

........โคโลสี โคโลสีเป็นฉบับที่สามที่เปาโลเขียนมาจากคุกในกรุงโรม ก่อนหน้านี้เอปาฟรัสเดินทางมาในกรุงโรมเพื่อแจ้งให้เปาโลทราบว่า มีผู้สอนเท็จมายังคริสจักรโคโลสีสอนว่าที่พวกเขาเชื่อเช่นนั้นยังไม่ครบถ้วน พวกเขาบอกว่าชาวโคโลสีต้องกราบไหว้ทูตสวรรค์และถือกฏกับพิธีต่างๆด้วย เปาโลจึงเขียนไปถึงชาวโคโลสีเพื่อต่อต้านผู้สอนเท็จพวกนี้ เขาเตือนพวกคริสเหล่านั้นให้รำรึกถึงพระเยซูทรงสูงสุดเหนือสรรพสิ่ง การสิ้นพระชนม์ก็เพียงพอแล้วที่จะนำเราให้ได้รับความรอดพ้นจากบาปโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งสิ่งใดอีกและโดยทางพระองค์เราจะเป็นอิสระจากกฏเกณฑ์
ทั้งหลายที่มนุษย์สร้างมา

........1 เธสะโลนิกา เปาโลก่อตั้งคริสต์จักรเมืองเธสะโลนิกาขึ้นในการเดินทางเที่ยวที่ 2 เขาอยู่สอนพวกเขาประมาณสามสัปดาห์ แต่ต่อมาเขาต้องหนีไปจากที่นั่นเพราะพวกยิวต่อต้านอย่างรุรแรง เปาโลเขียนจดหมายฉบับนี้จากเมืองโครินธ์ เพื่อหนุนใจคริสเตียนเมืองเธสะโลนิกาและสอนพวกเขาให้รู้ถึงคำสอนมากขึ้นด้วย เขายกย่องพวกเขาว่ากล้าหาญ และไม่ยอมทิ้งความเชื่อ"ทั้งๆที่ต้องเผชิญกับอุปสรรคมากมาย"เขาสอนพวกเขาว่า"ควรจะประพฤติอย่างไร จึงเป็นที่ชอบพระทัยของพระเจ้า และสอนถึงการเสด็จกลับมาครั้งที่สองของพระเยซูคริสต์ว่าเวลานั้นจะเป็นความลับหรือไม่มีผู้ใดล่วงรู้เลย ดังนั้นขอให้แต่ละคนทำงานให้เต็มที่จนกว่าวันนั้นจะมาถึง

........2 เธสะโลนิกา เปาโลเขียนจากโครินธ์ส่งตามฉบับที่หนึ่งไปโดยระยะเวลาห่างกันไม่นานเพื่อแก้ความผิดของบางคนเกี่ยวกับตัวเปาโล และการคิดว่าพระเยซูจะเสด็จมาในไม่ช้านั้น พวกเขาเอาแต่หยุดทำงานและนั่งรอพระเยซูเฉยๆ เปาโลบอกชาวเมืองเธสะโลนิดาอีกครั้งว่าการเสด็จมาครั้งที่สองของพระเยซูจะเป็นเช่นไร เขาเตือนให้พวกเขาทำงานหนักจนกว่าพระองค์จะมา

........1 ทิโมธี ทิโมธีเป็นสหายหนุ่มของเปาโลที่กลับใจมาเป็นคริสเตียนตอนที่เปาโลออกเดินทางเที่ยวแรก เขาไปกับเปาโลในการเดินทางเที่ยวที่สอง และจากนั้นเขาก็ช่วยงานเปาโลมาโดยตลอด ในเวลาที่เปาโลเขียนจดหมายฉบับนี้ ทิโมธีกำลังทำหน้าที่เป้นครูและผู้นำของคริสจักรเอเฟซัส ทิโมธีดูเด็กเกินไปสำหรับงานสำคัญอย่างนั้นเปาโลเขียนไปให้คำแนะนำเกี่ยวกับงานในหน้าที่ของเขาจดหมายฉบับแรกนี้สอนว่าสมาชิกคริสจักร์ควรปติบัติอย่างไร และผู้นำคริสจักรต้องมีคุณสมบัติอย่างไร

ีี่........2 ทิโมธี เมื่อเปาโลเขียนไปถึงทิโมธีเป็นฉบับที่สอง เขาถูกจำคุกที่กรุงโรมอีกครั้งหนึ่ง เขารู้ว่าครั้งนี้ไม่มีโอกาศรอดออกมาได้และเขาคงถูกประหารชีวิตในไม่ช้านี้เขาจึงอยากหนุนนำใจทิโมธี เพราะทิโมธีต้องรับช่ววงการเดินทางประกาศต่อหลังจากเปาโลสิ้นชีวิตแล้วเปาโลสอนทิโมธีมากขึ้นถึงเรื่องการนำคริสจักร เขาบอกทิโมธีให้ต่อต้านพวกครูสอนเทียมเท็จ และให้สัตย์ซื่อต่อคำสอนแท้จริงของคริสเตียน

........ทิตัส ทิตัสเป็นเพื่อนและผู้ชวยอีกคนของเปาโลเคยร่วมเดินทางไปกับคณะของเปาโลเป็นบางครั้ง ขณะที่ได้รับจดหมายนี้เขาทำงานในฐานะผู้นำคริสจักรที่เกาะครีต จดหมายฉบับนี้คล้ายคลึงกับอีกสองฉบับที่ถูกส่งไปถึงทิโมธีอย่างมาก เปาโลต้องการฝึกฝนทิตัสให้เป็นผู้นำคริสจักรที่ดี เขาสอนว่าควรประพฤติตนอย่างไร และงานที่ต้องรับผิดชอมมีอะไรบ้าง ...

........ฟีเลโมน ฟีเลโมนเป็นผู้นำคริสจักรที่เมืองโคโลสี และเป็นเพื่อนกับเปาโล ทาสของฟีเลโมนคนหนึ่งชื่อโอเนสิมัสขโมยเงินของนาย แล้วหนีไปยังกรุงโรมระหว่างอยู่ที่นั่นเขาพบกับเปาโล และกลับใจมาเป็นคริสเตียน เปาโลส่งเนสิมัสกลับไปหาฟีเลโมน พร้อมด้วยจดหมายฉบับนี้เปาโลขอฟีเลโมยกโทษให้โอสิเนมัสและปฏิบัติต่อเขาในฐานะพี่น้องในพระคริสต์ มิใช่ทาสที่หนีไป(ที่ต้องตายสถานเดียว)

........ฮีบรู จดหมายฉบับนี้เขียนขึ้นในสมัยที่คริสเตียนถูกข่มเหงและถูกฆ่าตายเพราะเชื่อในพระเยซู มีคริสเตียนชาวยิวบางคนคิดจะเลิกเป็นคริสเตียนและกลับไปอยู่ศาสนายิวหนังสือฮีบรูได้เขียนสอนชาวยิวเหล่านี้ว่า ความเชื่อตามทางของคริสเตียนดีกว่าความเชื่อตามลัทธยิวในทุกสถนาเล่มนี้ชี้ให้ผู่อ่านเห็นว่า พระเยซูทำให้ความเชื่อของพวกยิวบรรลุผลสำเร็จ โดยการถวายตัวพระองค์เองเป็นเครื่องบูชาครั้งสุดท้ายเนื่องจากบาปของมนุษย์ หลังจาการสิ้นพระชนม์แล้ว ไม่จำเป็นต้องถวายเครื่องบูชาดังที่กำหนดไว้ในพันธสัญญาเดิมอีกต่อไปบทที่ 11 - เป็นบทที่รู้จักกันดีที่รวบรวมวีรบุรุษแห่งความเชื่อสมัยพันธสัญญาเดิม - เป็นตัวอย่างที่ดีให้คริสเตียนได้เจริญรอยตามและเกิดความไว้วางใจในพระเจ้า

........ยากอบ หนังสือพันธสัญญาใหม่เจ็ดเล่มตั้งแต่ยากอบถึงยูดาจัดอยู่ในประเภทจดหมายทั่วไป ฉบับแรกเลยยากอบน้องชายของพระเยซูเป็นผู้เขียน เขาเป็นหนึ่งในผู้นำในคริสจักรที่เยรูซาเลม ยากอบเขียนจดหมายฉบับนี้เพื่อสอนถึงหลักปฏิบัติของคริสเตียน เขาเชื่อว่าผู้ที่มีความเชื่อแท้จริงจะสำแดงออกด้วยการประพฤติตนเเบบคริสเตียนเขาให้คำแนะนำที่สามารถนำไปใช้ในชีวิตจริงเช่นเรื่องความโกรธ การทะเลาะวิวาท การเห็นแก่หน้าคน การยับยั้ง การอวดตัว ความอดทน และการอธิษฐาน

........1 เปโตร เปโตร หนึ่งในสาวกสิบสองคนของพระเยซูเป็นผู้เขียนเขาฝากไปให้พวกคริสเตียนที่กระจัดกระจายอยู่ตามแคว้นต่างๆในเอเซียไมเนอร์ตอนเหนือ คริสเตียนเหล่านี้กำลังถูกข่มเหงเพราะความเชื่อ ดังนั้น เปโตรบอกพวกเขาว่าให้นึกถึงความทุกข์ทรมานของพรเยซูที่ต้องรับเพื่อพวกเขา และให้เอาแบบอย่างด้วยความกล้าหาญและไว้วางใจในพระเจ้า เขาให้เหตุผลว่าเพราะพระเจ้าทรงเลือกพวกเขาให้เป็นคนของพระองค์ และเนื่องจาพระเยซูได้รับความทุกข์ทรมานจนสิ้นพระชนม์แทนพวกเขา ฉะนั้น พวกเขาควรดำเนินชีวิตในวิถีทางที่พระเจ้าทรงพอพระทัย

........2เปโตร เปโตเขียนฝากไปให้คริสเตียนพวกเดียวกับฉบับแรก พวกเขาเหล่านี้กำลังตกอยู่ในอันตรายจากผู้สอนเท็จที่ชักนำให้หลงผิดไป เปโตรให้ข้อคิดว่าวิธีต่อต้านครูเทียมเท็จที่ดีที่สุดคือ เราต้องเติบโตขึ้นในชีวิตคริสเตียนทั้งในด้านความรู้และความเชื่อ เขาเตือนว่าพระเจ้าจะทำลายครูเทียมเท็จทั้งหลาย เปโตรยังยำ้อีกว่าพวกเขาควรมีชีวิตที่ บริสุทธิ์และดีงาม เพราะพระเยซูจะเสด็จกลับมาตามพระสัญญาแน่นอน

........1ยอห์น ยอห์นสาวกที่พระองค์ทรงรักและเป็นผู้เขียนพระกิตติคุณเล่มที่สี่ ได้เขียนจดหมายอีกสามฉบับต่อจากนี้ด้วยฉบับแรกเขียนเตือนคริสเตืยนทั้งหลายถึงอันตรายของครูผู้สอนเท็จที่พยายามชักนำพวกเขาให้หลงผิดไป ครูเหลานั้นสอนว่าพระเยซูทรงเป็นมนุษย์ ไม่ได้เป็นพระคริสต์หรือบุตรพระเจ้าแต่อย่างใด เพราะพระเจ้าจะไม่มาบังเกิดเป็นมนุษย ยอห์นเน้นความสำคัญที่คริสเตียนเราต้องรู้และเชื่อในเรื่องที่พระเยซูเป็นทั้งพระเจ้าและมนุษย์ และบอกพวกเขาว่าเมื่อพวกเขารักซึ่งกันและกันและเชื่อฟังพระบัญญัติของพระเจ้า พวกเขาก็แน่ใจใด้ว่าเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว

์........2 ยอห์น ยอห์นเขียนจดหมายฉบับนี้ส่งไปถึง สุภาพสตรีที่ทรงเลือกไว้ และบรรดาบุตรของท่าน เขาอาจจะหมายถึงสตรีีคริสเตียนคนหนึ่งกับครอบครัวของเธอ หรืออาจจะหมายถึงคริสจักรกับมวลสมาชิกก็ได้ ฉบับนี้ยอห์นเน้นถึงความสำคัญของการที่คริสเตียนจำต้องรักกันและกันเขากล่าวว่าการมีความรักหมายถึงการเชื่อฟังพระบัญญัติของพระเจ้า และพระบัญญัติของพระเจ้าบอกให้เราดำเนินชีวิตต้วยความรัก นอกจากนั้นยอห์นยังเตือนให้ระวังอันตรายจากครูสอนเท็จด้วย

........3 ยอห์น ยอห์นเเขียนถึงกายอัสเพื่อนของเขาและเป็นผู้นำคริสจักรส่วนหนึ่งในคริสจักรของกายอัสมีชายคนหนึ่งชื่อดิโอโตรเฟสเป็นผู้ขักขวางไมาให้ต้อนรับผู้นำข่าวของยอห์นมา และไม่ยอมรับความเป็นผู้นำของยอห์น เขาเขียนจดหมายฉบับนี้ไปยกย่องขอบคุณกายอัสที่ช่วยเหลือและติเตียนดิิโอโตรเฟรที่ไม่ให้ความร่วมมือ ยอห์นสัญญากับกายอัสว่าจะมาเยี่ยมเยียนคริสจักรแห่งนี้ในไม่ช้าเพื่อจัดกากับดิโอโครเฟสด้วยตัวเอง

........ยูดา ยูดาเป็นน้องชายพระเยซูเช่นเดียวกับยากอบ เขาเขียนเตือนพวกคริสเตียนให้ระวังครูสอนเท็จเหมือนกับหนังสือเปโตรฉบับที่สอง พวกครูเทียมทเ็จเหล่านี้ไม่เพียงแต่ปฏิเสธได้ว่าพระเยซูเป็นบุตรของพระเจ้าเพียงเท่านั้น พวกเขายังชักนำลูกของพระเจ้าให้กระทำบาปด้วย ยูดาเตือนว่าพระเจ้าจะลงโทษและทำลายครูเทียมเท็จเหล่านี้แบบเดียวกับที่พระองค์เคยลงโทษคนบาปในพันธสัญญาเดิม

........วิวรณ์ เป็นเล่มเดียวที่อยู่ในหมวดคำพยากรณ์ในพันธสัญญาใหม่หนังสือเล่มนี้เป็นเรื่อง้กี่ยวกับการอวสารของโลกนี้ และการเริ่ม ท้องฟ้าและแผ่นดินใหม่ อัครทูตยอห์นเขียนหนังสือวิวรณ์เล่มนี้ระหว่างถูกเนรเทศไปอยู่บาเกาะปัทมอส ขณะที่พระเยซูพระทานนิมิตให้ยอห์นเห็นสิ่งที่จะเกิดในอนาคต ยอห์นเขียนเล่มนี้ส่งไปถึงพวกคริสเตียนที่ถูกข่มเหงมีความไว้วางใจในพระเจ้าและเชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้ควาบคุมทุกสิ่งบาโลกนี้ นิมิตของยอห์นบ่งชี้ว่าพระเจ้าเป็นผู้ครอบครองเหนือคนและทุกสิ่ง - แม้แต่อำนาจรัฐบาลที่มีอำนาจล้นเหลือ - และพระองค์จะทรงพิพากษกลงโทษสิ่งชั่วร้ายทุกอย่าง นอกจากนั้นหนังสือวิวรณ์ยังให้ภาพของสวรรค์อันเป็นที่ซึ่งเราจะได้ไปอยู่ร่วมกับพระองค์ ...

วันพฤหัสบดีที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2551

40 วันสู่ชัยชนะ



เทศกาลเข้าสู่ธรรม หรือ 40 วันสู่ชัยชนะ เป็นช่วงเวลาที่เราจะ ติดสนิทกับพระเจ้า ใคร่ครวญ ไตร่ตรองสำรวจตัวเอง ถึงการดำเนินชีวิตในหนึ่งปีที่ผ่านมาว่าได้ดำเนินชีวิตอย่างมีคุณค่าในสายพระเนตรของพระเจ้าหรือไม่ ถ้าไม่ ก็เป็นโอกาสดีที่เราจะสำนึกในความผิดบาป กลับใจใหม่ และเริ่มต้นดำเนินชีวิตกับพระองค์อีกครั้ง

การเข้าสู่ธรรม
สัปดาห์ที่ 1 ส .สงบ
สัปดาห์ที่ 2 ส .สำรวม
สัปดาห์ที่ 3 ส.สำรวจตน
สัปดาห์ที่ 4 ส .สารภาพ
สัปดาห์ที่ 5 ส .สันติสุข
สัปดาห์ที่ 6 สัปดาห์แห่งการทนทุกข์
7 พระวาทะของพระเยซูคริสต์


คู่มือ “40วันสู่ชัยชนะ” ที่อยู่ในมือท่านเล่มนี้ ได้จัดขึ้นเพื่อเตรียมใจเข้าสู่เทศกาลอีสเตอร์ ซึ่งเป็นวันที่พระเยซูคริสต์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย เป็นวันแห่งชัยชนะเหนือความมรณา(Resurrection Day) ในช่วงเวลา 40 วันนี้ เราเรียกว่า เทศกาลเข้าสู่ธรรม ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Lent เทศกาลนี้เริ่มต้นที่วันพุธขี้เถ้า (Ash Wednesday) และในปี ค.ศ. 2008 นี้ วันพุธขี้เถ้าตรงกับวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ซึ่งนับจากวันนี้ไปเป็นระยะเวลา 40 วัน (ไม่นับวันอาทิตย์) ไปสิ้นสุดในวันเสาร์ที่ 22 มีนาคม เรียกวันเสาร์นี้ว่า “ วันเงียบ เตรียมพร้อมสำหรับอีสเตอร์ ” หรือ The Vigil of Easter

เทศกาลเข้าสู่ธรรม หรือ 40 วันสู่ชัยชนะ เป็นช่วงเวลาที่เราจะ ติดสนิทกับพระเจ้า ใคร่ครวญ ไตร่ตรองสำรวจตัวเอง ถึงการดำเนินชีวิตในหนึ่งปีที่ผ่านมาว่าได้ดำเนินชีวิตอย่างมีคุณค่าในสายพระเนตรของพระเจ้าหรือไม่ ถ้าไม่ ก็เป็นโอกาสดีที่เราจะสำนึกในความผิดบาป กลับใจใหม่ และเริ่มต้นดำเนินชีวิตกับพระองค์อีกครั้ง

หวังเป็นอย่างยิ่งว่า “คู่มือ 40วันสู่ชัยชนะเล่มนี้ จะมีส่วนในการเตรียมใจทุกท่านก่อนที่จะถึงวันเฉลิมฉลองการเป็นขึ้นมาจากความตายขององค์พระเยซูคริสต์ หรือวันอีสเตอร์ ซึ่งตรงกับวันอาทิตย์ที่ 23 มีนาคมนี้

คณาจารย์คริสตจักรสะพานเหลือง

40วันแห่งชัยชนะ
ตลอดระยะเวลา 40 วันนี้ สามารถแบ่งออกเป็น 2 ช่วง เวลา คือ การเข้าสู่ธรรม และการร่วมทนทุกข์ในสัปดาห์สุดท้าย

ก. การเข้าสู่ธรรม เป็นช่วงเวลาจัดไว้เป็นพิเศษมี 3 ขั้นตอน
1. อ่านพระคัมภีร์ ตาม คู่มือ “ 40 วัน สู่ชัยชนะ”
ใน 40 วันนี้ จะมีข้อพระคัมภีร์ประจำวัน ให้อ่านและใคร่ครวญ ตลอดจนข้อคิดที่ได้ในแต่ละวัน โดยใช้ 5 ส. ในการเข้าเฝ้าพระเจ้าเป็นพิเศษใน 5 สัปดาห์ ส่วนสัปดาห์ที่ 6 เป็นการเตรียมเข้าสู่สัปดาห์สุดท้าย เพื่อร่วมทนทุกข์กับองค์พระเยซูคริสต์ในสัปดาห์แห่งการทนทุกข์
สัปดาห์ที่ 1 ส. สงบ
สัปดาห์ที่ 2 ส. สำรวม
สัปดาห์ที่ 3 ส. สำรวจตน
สัปดาห์ที่ 4 ส. สารภาพบาป
สัปดาห์ที่ 5 ส. สันติสุข
สัปดาห์ที่ 6 สัปดาห์แห่งการทนทุกข์

2. อธิษฐานตามหัวข้อที่ได้กำหนดไว้ในคู่มือ“ 40 วัน สู่ชัยชนะ”
ตลอด 40 วัน มีหัวข้ออธิษฐานที่ได้จัดเตรียมให้ซึ่งสอดคล้องกับหัวข้อในแต่ละวัน เราสามารถเพิ่มหัวข้ออธิษฐานในเรื่องอื่นๆที่มีภาระใจเป็นพิเศษในช่วงนี้ได้ นอกจากนี้ในคู่มือยังมีตัวอย่างคำอธิษฐาน เช่น คำอธิษฐานตามแบบที่พระเยซูตรัสสอน คำอธิษฐานของเซนต์ฟรานซิสแห่งอาซิซี หลักข้อเชื่ออัครธรรมทูต รวมถึง 7 คำตรัสของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน

3. อดอาหารเพื่อระลึกถึงผู้อดอยาก ยากไร้ และด้อยโอกาส
การอดอาหารในช่วง 40 วันแห่งชัยชนะ มีจุดมุ่งหมายที่สำคัญคือ เป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้เรา ลด เลิก ละ ที่จะทำบาป หรือลดการใช้ชีวิตฟุ่มเฟือย ในขณะที่เราอดอาหาร เราก็ต้องใช้เวลาในการอธิษฐานถึงองค์พระผู้เป็นเจ้า ขอพระเจ้าเมตตาเรา และให้เรารู้จักคิดถึงผู้ที่ตกทุกข์ได้ยาก ไม่ว่าผู้ที่อดอยาก ยากไร้ ผู้ที่ด้อยโอกาส และผู้ที่อยู่ชายขอบสังคม ด้วยใจรักของพระเยซูคริสต์

ข. การเข้าร่วมทนทุกข์ในสัปดาห์สุดท้าย
เป็นการเตรียมเข้าสู่สัปดาห์สุดท้าย เพื่อร่วมทนทุกข์กับองค์พระเยซูคริสต์ในสัปดาห์แห่งการทนทุกข์ ( Passion Week) เป็นเวลา 6 วัน เริ่มต้นจากวันอาทิตย์ใบปาล์ม (Palm Sunday)
วันอาทิตย์ที่16 มีนาคม 2008 วันใบปาล์ม
เป็นวันที่พระเยซูคริสต์เสด็จเข้าสู่กรุงเยรูซาเล็มอย่างผู้มีชัยชนะ (ยอห์น12:12-19) คริสตจักรจะนมัสการพระเจ้าเพื่อระลึกถึงวันที่ประชาชนได้สรรเสริญพระเจ้า และตามเสด็จไปยังพระวิหาร เป็นขบวนแห่ไปด้วยเสียงโฮซันนา

วันจันทร์ที่ 17 มีนาคม 2008
เป็นวันที่พระเยซูเสด็จเข้าสู่กรุงเยรูซาเล็ม เพื่อชำระพระวิหาร (มาระโก 11:15-19)

วันอังคารที่ 18 มีนาคม 2008
เป็นวันที่พระเยซูคริสต์เจ้าประทานพระบัญญัติรักแก่เรา ( มัทธิว 22:37-40)

วันพุธที่ 19 มีนาคม 2008
เป็นวันที่พระเยซูคริสต์ได้รับการชโลมที่หมู่บ้านเบธานี (มัทธิว 26:6-13 )

วันพฤหัสที่ 20 มีนาคม 2008 วันสถาปนาพิธีมหาสนิท
เป็นวันนมัสการในเทศกาลขนมปังไร้เชื้อ หรือเทศกาลปัสกา (Passover) พระเยซูคริสต์ทรงรับประทานปัสการ่วมกับสาวกของพระองค์ เป็นวันที่พระเยซูทรงตั้งมหาสนิทศักดิ์สิทธิ์ (Holy Communion) และทรงมีรับสั่งให้สาวกถือปฎิบัติ จนกว่าพระองค์จะเสด็จกลับมาครั้งที่สอง (Second Coming ) (มาระโก 14:22-26)

วันศุกร์ที่ 21 มีนาคม 2008 ศุกร์ประเสริฐ
เป็นวันที่พระเยซูคริสต์ทรงถูกตรึงบนกางเขน (มาระโก 15:21-41)

วันเสาร์ที่ 22 มีนาคม 2008
เป็นวันที่สงบเงียบ ในพระธรรม 1 เปโตร 3:19 บันทึกว่า พระเยซูคริสต์ได้เสด็จไปประกาศพระวจนะแก่วิญญาณที่ติดคุกอยู่

วันอาทิตย์ที่ 23 มีนาคม 2008 วันอีสเตอร์
เป็นวันที่พระเยซูคริสต์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย พระองค์ทรงพระชนม์อยู่ และมีชัยชนะเหนือสรรพสิ่งทั้งปวง



วันที่ 1 ของ 40 วันสู่ชัยชนะ
วันพุธที่ 6 กุมภาพันธ์ 2008
“จิตใจของข้าพเจ้า สงบคอยท่าพระเจ้าแต่องค์เดียว เพราะความหวังของข้าพเจ้ามาจากพระองค์“ สดุดี 62:5

ข้อคิด “ความสงบทำเราได้พบกับพระเจ้า ที่นำความหวังมาสู่ชีวิตของเรา”
อธิษฐาน 1. ขอพระเจ้าให้เรามั่นคงอยู่ในความหวังของพระองค์ตลอดไป
2.ขอพระเจ้า ให้เรามีชีวิตที่ติดสนิทกับพระองค์

วันที่ 2 ของ 40 วันสู่ชัยชนะ
วันพฤหัสบดีที่ 7 กุมภาพันธ์
“จงสงบอยู่ต่อพระเจ้าและเพียรรอคอยพระองค์อยู่ อย่าให้ใจของท่านเดือดร้อนเพราะเหตุผู้ที่เจริญตามทางของเขาหรือเพราะเหตุผู้ที่กระทำตามอุบายชั่ว” สดุดี 37:7

ข้อคิด : การสงบและรอคอยพระเจ้า ทำให้ใจของเราไม่ตกอยู่ในหนทางของความชั่ว
อธิษฐาน1. ขอพระเจ้าช่วยเราให้จากพ้นจากการทดลองในเรื่องต่างๆ
2.ขอพระเจ้าประทานความสงบและวางใจในพระองค์อย่างแท้จริง

วันที่ 3 ของ 40 วันสู่ชัยชนะ
วันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2008“
“ โกรธก็โกรธเถิด แต่อย่าทำบาป จงคำนึงในใจเวลาอยู่บนที่นอนและสงบอยู่ ” สดุดี 4:4

ข้อคิด : ความโกรธไม่มีประโยชน์ต่อเราเลย แต่ จิตใจที่สงบช่วยให้เราไม่ทำบาป
อธิษฐาน1. ขอพระเจ้าให้เราตระหนักในความอ่อนแอของตนเอง
2. ขอพระเจ้าเสริมกำลังให้เรามีชัยชนะต่ออารมณ์โกรธ

วันที่ 4 ของ 40 วันสู่ชัยชนะ
วันเสาร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ 2008
“แต่ข้าพระองค์ได้สงบและระงับจิตใจของข้าพระองค์ อย่างเด็กที่หย่านมแล้ว สงบอยู่ที่อกมารดาของตน จิตใจของข้าพระองค์ สงบอยู่ภายในข้าพระองค์ เหมือนอย่างเด็กที่หย่านมแล้ว “ สดุดี 131:2

ข้อคิด : จิตใจที่สงบและบริสุทธิ์ เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงพอพระทัย
อธิษฐาน 1. ขอพระเจ้าประทานให้เรามีชีวิตที่งดงามถวายเกียรติยศแด่พระเจ้า
2. ขอพระเจ้าให้เราเรียนรู้ที่จะมีใจสงบเพื่อเข้าใจน้ำพระทัยพระองค์

สัปดาห์ที่ 1 ส .สงบ
สัปดาห์ที่ 1
ส . สงบ
ใช้เวลาในสัปดาห์แรกนี้เป็นเวลาส่วนตัวที่สงบเงียบ ทั้งเวลาและสถานที่ เพื่ออ่านพระคัมภีร์ใกล้ชิดกับพระเจ้า โดยละภารกิจและความวุ่นวายในเวลานั้น ตั้งไว้เป็นเวลาพิเศษเพื่อพระองค์

อาทิตย์ที่ 1
วันอาทิตย์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2008
“ ข้าพเจ้าจะสรรเสริญพระเจ้าตลอดไป คำสรรเสริญพระองค์อยู่ที่ปากข้าพเจ้าเรื่อยไป” สดุดี 34:1
ข้อคิด : ผู้ที่แสวงหาพระเจ้าจะไม่ขาดแคลนสิ่งดีใดๆจากพระองค์เลย
อธิษฐาน 1. ขอพระเจ้าประทานชีวิตที่ยำเกรงพระองค์ให้แก่เราตลอดเวลา
2. ขอพระเจ้าประทานจิตใจที่ถ่อมสุภาพให้แก่เราอยู่เสมอ

วันที่ 5 ของ 40 วันสู่ชัยชนะ
วันจันทร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2008
“ใจที่สงบให้ชีวิตแก่เนื้อหนัง แต่กิเลสกระทำให้กระดูกผุ” สุภาษิต 14:30
ข้อคิด : ความสงบเป็นผลดีต่อการงานทำให้ตั้งมั่นในสิ่งที่ถูกต้อง
อธิษฐาน 1. ขอพระเจ้าทรงสอนเราให้รู้จักมอบถวายงานของเราไว้กับพระองค์
2.ขอพระเจ้าอวยพร เพื่อนร่วมงานของเราให้ทำงานร่วมกับเราอย่างมีความสุข

วันที่ 6 ของ 40 วันสู่ชัยชนะ
วันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์ 2008
“…….จงนิ่งสงบอยู่ต่อพระเจ้า เพราะว่าพระองค์ทรงตื่นและเสด็จจากที่ประทับอันบริสุทธิ์ของพระองค์แล้ว “ เศคาริยาห์ 2:13
ข้อคิด : จงนมัสการพระเจ้า ด้วยท่าทีที่สงบและบริสุทธิ์
อธิษฐาน1. ขอพระเจ้าประทานท่าทีที่ถูกต้องในการนมัสการพระองค์
2. ขอพระเจ้าประทานให้พี่น้องสมาชิกทุกคนชื่นชมยินดีกับการนมัสการ

วันที่ 7 ของ 40 วันสู่ชัยชนะ
วันพุธที่ 13 กุมภาพันธ์ 2008
“ถ้าเป็นได้คือเท่าที่เรื่องขึ้นอยู่กับท่าน จงอยู่อย่างสงบสุขกับทุกคน” โรม 12:18
ข้อคิด : การดำเนินชีวิตอย่างสงบสุขของคริสเตียน มีส่วนทำให้สังคมเต็มไปด้วยความสงบสุข
อธิษฐาน 1. ขอพระเจ้าอวยพรให้คริสเตียนในเมืองไทยมีส่วนสร้างสรรทำให้เกิดความสงบสุขในสังคม
2.ขอพระเจ้าทรงเมตตาให้พี่น้องสมาชิกในคริสตจักรมีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

วันที่ 8 ของ 40 วันสู่ชัยชนะ
วันพฤหัสบดีที่ 14 กุมภาพันธ์ 2008
“อวสานของสิ่งทั้งปวงก็ใกล้จะมาถึงแล้ว เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงมีสติสัมปชัญญะและจงรู้จักสงบใจ
เพื่อแก่การอธิษฐาน” 1เปโตร 4:7
ข้อคิด : การดำเนินชีวิตอย่างคนมีปัญญา คือมีสติและวางใจในพระเจ้า
อธิษฐาน 1. ขอพระเจ้าสอนเราให้เราระแวดระวังในการดำเนินชีวิตอย่างมีสติปัญญา
2. ขอพระเจ้าทรงสร้างชีวิตที่มีวินัยในการติดสนิทกับพระเจ้า

วันที่ 9 ของ 40 วันสู่ชัยชนะ
วันศุกร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2008
“แต่ปัญญาจากเบื้องบนนั้นบริสุทธิ์เป็นประการแรก แล้วจึงเป็นความสงบสุข สุภาพและว่าง่าย เปี่ยมด้วยความเมตตาและผลที่ดี ไม่ลำเอียง ไม่หน้าซื่อใจคด” ยากอบ 3:17
ข้อคิด : ความสงบเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ดำเนินด้วยปัญญา
อธิษฐาน 1.ขอพระเจ้าประทานชีวิตที่สัตย์ซื่อต่อพระเจ้า และต่อผู้อื่นให้แก่เรา
2. ขอพระเจ้าประทานปัญญาจากเบื้องบนให้แก่เราเพื่อเราจะดำเนินชีวิตที่พอพระทัยพระเจ้า

วันที่ 10 ของ 40 วันสู่ชัยชนะ
วันเสาร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ 2008
“ท่านทั้งหลายจงสงบใจ จงระวังระไวให้ดี ด้วยว่าศัตรูของท่าน คือมาร วนเวียนอยู่รอบๆดุจสิงห์คำราม เที่ยวไปเสาะหาคนที่มันจะกัดกินได้” 1เปโตร 5:8
ข้อคิด : ใช้ความสงบเพื่อสยบมารร้าย และจะไม่ตกเป็นเหยื่อของมัน
อธิษฐาน 1) ขอพระเจ้าประทานกำลังให้เรามีชัยชนะต่อการทดลอง
2) ขอพระเจ้าประทานให้คนในครอบครัวของเราจะปลอดภัยจากสิ่งชั่วร้ายต่างๆ

สัปดาห์ที่ 2 ส .สำรวม
สัปดาห์ที่ 2
ส . สำรวม
สัปดาห์ที่ 2 ให้เราใช้เวลาในการสำรวมใจและกาย ระลึกถึงพระเยซูที่ทรงเข้าไปอยู่ในถิ่นทุรกันดารด้วยการอดอาหาร และมีชัยชนะต่อการทดลอง

อาทิตย์ที่ 2
วันอาทิตย์ ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2008
ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงสอนพระมรรคาของพระองค์แก่ข้าพระองค์ เพื่อข้าพระองค์จะดำเนิน
ในความจริงของพระองค์ ขอทรงสำรวมใจของข้าพระองค์ ให้ยำเกรงพระนามของพระองค์”
สดุดี 86:11
ข้อคิด : ผู้ที่รู้จักพระเจ้าจะถ่อมใจ และผู้ที่รู้จักตัวเองจะไม่หยิ่งผยอง
อธิษฐาน: 1. ขอพระเจ้าประทานให้เรามีใจที่ยำเกรงพระเจ้าและมีจิตใจที่สำรวมอยู่เสมอ
2. ขอพระเจ้าประทานกำลังให้เรามีดำเนินชีวิตตามความจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า

วันที่ 11 ของ 40 วันสู่ชัยชนะ
วันจันทร์ ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2008
“ ความยำเกรงพระเจ้า เป็นที่เริ่มต้นของปัญญา และซึ่งรู้จักองค์บริสุทธิ์ เป็นความรอบรู้ ” สุภาษิต 9:10
ข้อคิด : สติสัมปชัญญะช่วยเราดำเนินชีวิตอย่างรอบคอบและประสบความสำเร็จ
อธิษฐาน : 1.ขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับกำลังและสติปัญญาในการดำเนินชีวิตที่พระเจ้านำพาเสมอ
2. ขอพระเจ้าประทานให้เรามีจิตใจที่สำรวม ใช้เวลาในการอธิษฐาน เพื่อพร้อมเผชิญการทดลอง

วันที่ 12 ของ 40 วันสู่ชัยชนะ
วันอังคาร ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2008
“จงให้วาจาของท่านประกอบด้วย เมตตาคุณเสมอ ปรุงด้วยเกลือให้มีรส
เพื่อท่านจะได้รู้จักตอบให้จุใจแก่ทุกคน” โคโลสี 4:6
ข้อคิด : เกลือมีคุณสมบัติในการรักษาอาหาร และให้รสชาติฉันใด
คำพูดของคริสตชนควรจะมีความไพเราะ สุภาพ จริงใจ จับใจผู้ฟังฉันนั้น
อธิษฐาน: 1.ขอพระเจ้าช่วยให้เรามีท่าทีสำรวมในการใช้วาจาเพื่อเป็นการถวายเกียรติแด่พระเจ้า
2. ขอพระเจ้ายกโทษเราที่เราอาจใช้คำพูดของเราทำร้ายผู้อื่นทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ

วันที่ 13 ของ 40 วันสู่ชัยชนะ
วันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์ 2008
“ถ้าประชากรของเราผู้ซึ่งเขาเรียกกัน โดยชื่อของเรานั้นจะถ่อมตัวลง และอธิษฐานและแสวงหาหน้า
ของเรา และหันเสียจากทางชั่วของเขา เราก็จะฟังจากสวรรค์ และจะให้อภัยแก่บาป
ของเขาและจะรักษาแผ่นดินของเขาให้หาย” 2 พงศาวดาร7:14
ข้อคิด : พระเจ้าทรงต่อสู้ผู้ที่หยิ่งจองหอง แต่ทรงประทานพระคุณต่อผู้ที่ใจถ่อม
อธิษฐาน 1) ขอพระเจ้าช่วยเราให้มีท่าทีที่ถ่อมลงแสวงหาพระเจ้าอย่างสุดหัวใจ
2) ขอพระเจ้าประทานปัญญาให้เราไวต่อสิ่งชั่วร้ายและขออย่าให้เราเข้าสู่การทดลอง

วันที่ 14 ของ 40 วันสู่ชัยชนะ
วันพฤหัสบดี ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2008
“ดูเถิด เราใช้พวกท่านไปดุจแกะอยู่ท่ามกลางหมาป่า
เพราะฉะนั้นจงฉลาดเหมือนงู และไม่มีภัยเหมือนนกพิราบ” มัทธิว 10:16
ข้อคิด: จงเป็นคนที่เข้มแข็งไม่ใช้แข็งกระด้าง และจงเป็นคนที่อ่อนโยนไม่ใช่คนที่อ่อนแอ
อธิษฐาน 1. ขอพระเจ้าให้เราเป็นคนที่เข้มแข็ง และอ่อนสุภาพเหมือนพระเยซู
2. ขอพระเจ้าให้เรารู้จักใช้ความอ่อนโยนเป็นพยานเพื่อพระองค์

วันที่ 15 ของ 40 วันสู่ชัยชนะ
วันศุกร์ ที่ 22 กุมภาพันธ์ 2008
“แต่จงให้เป็นการประดับภายในจิตใจแต่งด้วยเครื่องประดับซึ่งไม่รู้เสื่อมสลาย คือด้วยจิตใจที่สงบและสุภาพซึ่งเป็นสิ่งที่ประเสริฐยิ่งในสายพระเนตรพระเจ้า” 1 เปโตร3:4
ข้อคิด มนุษย์มองคนที่ภายนอก แต่พระเจ้าทอดพระเนตรในจิตใจ
อธิษฐาน 1.ขอพระเจ้าสอนเราไม่ให้มองผู้อื่นเพียงแต่ภายนอก
2.ขอพระเจ้าช่วยให้เราสำแดงชีวิตที่งดงามทั้งภายในและภายนอกเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า

วันที่ 16 ของ 40 วันสู่ชัยชนะ
วันเสาร์ ที่ 23 กุมภาพันธ์ 2008
“ ….. เราชื่นชมยินดีในความทุกข์ยากของเราด้วย เพราะเรารู้ว่าความทุกข์ยากนั้นทำให้เกิดความอดทน และความอดทนทำให้เห็นว่าเราเป็นคนที่พระเจ้าทรงใช้ได้….” โรม 5:3-4
ข้อคิด : ความสงบ สยบปัญหา ความสำรวมแก้ปัญหาให้เป็นโอกาส
อธิษฐาน: 1. ขอพระเจ้าประทานใจที่สงบ อดทน ต่อสู้กับปัญหาต่างๆได้
2. ขอพระเจ้าประทานปัญญาให้เรารู้จักที่จะแก้วิกฤติให้เป็นโอกาส

สัปดาห์ที่ 3 ส.สำรวจตน
สัปดาห์ที่ 3
ส. สำรวจตน

ในสัปดาห์ที่ 3 เป็นช่วงเวลาพิเศษที่จะสำรวจตนว่ามีอะไรที่ พระเจ้าทรงประสงค์แต่เราไม่ได้กระทำ
มีอะไรที่ไม่ใช่น้ำพระทัยของพระเจ้า เรายังกระทำอยู่ ขอพระเจ้าช่วยเราให้สำรวจพบจุดบกพร่องของเราและพร้อมที่จะแก้ไข ปรับแต่ง ให้ดีขึ้น

อาทิตย์ที่ 3
วันอาทิตย์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2008
“อย่าประพฤติตามอย่างคนในยุคนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ แล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่
เพื่อท่านจะได้ทราบน้ำพระทัยของพระเจ้า จะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัยและอะไรดียอดเยี่ยม”
โรม 12: 2
ข้อคิด : เราได้กระทำใน สิ่งที่พระเจ้าทรงประสงค์มากน้อยเพียงใด
อธิษฐาน 1.ขอพระเจ้าปรับเปลี่ยนชีวิตจิตใจ ของเราใหม่ตามน้ำพระทัยของพระองค์
2.ขอพระเจ้าประทานกำลังให้เราสามารถดำเนินชีวิตทวนกระแสสังคมได้

วันที่ 17 ของ 40 วันสู่ชัยชนะ
วันจันทร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ 2008
“แต่ถ้าผู้ใดมีทรัพย์สมบัติในโลกนี้ และเห็นพี่น้องของตนขัดสนแล้วยังใจจืดใจดำไม่สงเคราะห์เขา ความรักของพระเจ้าจะดำรงอยู่ในผู้นั้นอย่างไรได้” 1 ยอห์น 3 :17
ข้อคิด เรารักเพื่อนบ้าน เสมือนรักตนเองหรือไม่
อธิษฐาน 1.ขอพระเจ้าสอนให้เราที่จะรู้จักรักคนอื่นโดยปราศจากเงื่อนไข
2. ขอพระเจ้าสอนเราให้มีใจแบ่งปันสิ่งดีๆ ให้กับพี่น้อง

วันที่ 18 ของ 40 วันสู่ชัยชนะ
วันอังคารที่ 26 กุมภาพันธ์ 2008
“ดังนี้แหละเราจึงรู้จักความรัก โดยที่พระองค์ได้ทรงยอมสละพระชนม์ของพระองค์เพื่อเราทั้งหลาย และเราทั้งหลายก็ควรจะสละชีวิตของเราเพื่อพี่น้อง” 1 ยอห์น 3:16

ข้อคิด รักพระเจ้า ทำดีกับพี่น้อง
อธิษฐาน 1.ขอพระเจ้าประทานกำลังให้เรากล้าที่จะกระทำสิ่งดีเพื่อพระเจ้า
2.ขอพระเจ้าสอนเราให้เรารักผู้อื่นด้วยการกระทำ

วันที่ 19 ของ 40 วันสู่ชัยชนะ
วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ 2008
“ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย ในที่สุดนี้ขอจงใคร่ครวญถึงสิ่งที่จริง สิ่งที่น่านับถือ สิ่งที่ยุติธรรม สิ่งที่บริสุทธิ์ สิ่งที่น่ารัก สิ่งที่ทรงคุณ คือถ้ามีสิ่งใดที่ล้ำเลิศ สิ่งใดที่ควรแก่การสรรเสริญ ก็ขอจงใคร่ครวญดู”ฟิลิปปี 4: 8

ข้อคิด : ชีวิตของเรางดงามดีแล้วหรือ ที่จะถวายแด่พระเจ้า
อธิษฐาน 1. ขอพระเจ้าให้เรามีชีวิตที่ดีงามเพื่อถวายเกียติแด่พระองค์
2. ขอพระเจ้าทรงตรวจสอบจิตใจของเราเสมอ เพื่อเราจะไม่กระทำบาปต่อพระองค์

วันที่ 20 ของ 40 วันสู่ชัยชนะ
วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ 2008
“ ข้าพเจ้าได้ต่อสู้อย่างเต็มกำลัง ข้าพเจ้าได้แข่งขันจนถึงที่สุด ข้าพเจ้าได้รักษาความเชื่อไว้แล้ว” 2 ทิโมธี 4:7
ข้อคิด : ความสัตย์ซื่อต้องใช้เวลาในการพิสูจน์
อธิษฐาน 1. ขอพระเจ้ารักษาความเชื่อของเราให้มั่นคงอยู่เสมอ
2.ขอพระเจ้าประทานความสัตย์ซื่อให้กับเราตลอดไป

วันที่ 21 ของ 40 วันสู่ชัยชนะ
วันศุกร์ที่ 29 กุมภาพันธ์ 2008
“ จงอุตส่าห์สำแดงตนว่าได้ทรงพิสูจน์แล้ว เป็นคนงานที่ไม่ต้องอายใช้พระวจนะแห่งความจริงอย่างถูกต้อง”
2 ทิโมธี 2 : 15
ข้อคิด : เราต้องถามตัวเองเสมอว่าเราเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงใช้การได้หรือไม่
อธิษฐาน 1. ขอพระเจ้าเปลี่ยนแปลงชีวิตเราเพื่อให้เป็นคนที่พระเจ้าทรงใช้การได้
2. ขอพระเจ้าอวยพรให้เรารับใช้ร่วมกับพี่น้องอย่างมีความสุข

วันที่ 22 ของ 40 วันสู่ชัยชนะ
วันเสาร์ที่ 1 มีนาคม 2008
“ แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน
แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้” (มัทธิว 6:33)
ข้อคิด เราได้ให้พระเจ้าเป็นที่หนึ่งในชีวิตของเราแล้วหรือ
อธิษฐาน 1.ขอมอบถวายชีวิตแด่พระเจ้า
2.ขอพระเจ้าสอนเราให้วางใจในสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้

สัปดาห์ที่ 4 ส .สารภาพ
สัปดาห์ที่ 4
ส . สารภาพ

สัปดาห์ที่ 4 เป็นสัปดาห์แห่งการสารภาพบาปกับพระเจ้า เมื่อเราทราบว่าเราได้กระทำผิดต่อพระเจ้า และต่อเพื่อนบ้าน จะเป็นการจงใจ หรือกระทำไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ตาม ขอการยกโทษตามพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์

อาทิตย์ที่ 4
วันอาทิตย์ที่ 2 มีนาคม 2008
“ เครื่องบูชาที่พระเจ้าทรงรับได้คือจิตใจที่ชอกช้ำ จิตใจที่สำนึกผิดและชอกช้ำนั้น
ข้าแต่พระเจ้า พระองค์มิได้ทรงดูถูก” สดุดี 51:17

ข้อคิดในวันนี้ พระเจ้าทรงให้อภัยแก่ทุกหัวใจที่ร่ำไห้ และทรงชูกำลังทุกคนที่อ่อนล้า
อธิษฐานเผื่อ 1. ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงให้อภัยความผิดบาปของเราในทุกเรื่อง
2. ขอบคุณพระเจ้าสำหรับความรักมั่นคงของพระเจ้าที่ไม่เคยหยุดยั้ง เป็นของใหม่อยู่ทุกเวลาเช้า

วันที่ 23 ของ 40 วันสู่ชัยชนะ
วันจันทร์ที่ 3 มีนาคม 2008
ถ้าผู้ใดว่า “ข้าพเจ้ารักพระเจ้า” และใจยังเกลียดชังพี่น้องของตน ผู้นั้นก็เป็นคนพูดมุสา
เพราะว่าผู้ที่ไม่รักพี่น้องของตนที่แลเห็นแล้ว จะรักพระเจ้าที่ไม่เคยเห็นไม่ได้ ” 1 ยอห์น 4:20

ข้อคิด : ความรักของเราต่อพระเจ้า เห็นได้จากความรักของเราต่อผู้อื่น
อธิษฐาน : 1. ขอพระเจ้ายกโทษให้เรา ในการกระทำที่เรามีต่อผู้อื่นที่ยังไม่ได้ช่วยเหลือ ไม่ได้ให้อภัยผู้อื่น
2. ขอพระเจ้าเมตตาที่เราจะรักผู้อื่นมากขึ้น และไม่ละเลยที่จะกระทำการดีเพื่อผู้อื่น

วันที่ 24 ของ 40 วันสู่ชัยชนะ
วันอังคารที่ 4 มีนาคม 2008
ข้าพเจ้าว่า “ข้าพเจ้าจะระแวดระวังทางของข้าพเจ้า เพื่อข้าพเจ้าจะไม่ทำบาปด้วยลิ้นของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะใส่บังเหียน
ปากของข้าพเจ้า ตราบเท่าที่คนอธรรมอยู่ต่อหน้าข้าพเจ้า” สดุดี 39:1

ข้อคิด : ขอให้กาย วาจา ใจ เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า
อธิษฐาน : 1. สารภาพกับพระเจ้าที่บ่อยครั้งคำพูดของเราทำให้ คนอื่นไม่สบายใจ ทำให้เกิดความบาดหมางใจ หรือ
ก่อให้เกิดความแตกร้าวภายในครอบครัวและในคริสตจักร
2. ขอพระเจ้าประทานให้เรามีความคิดในเชิงบวกและใช้วาจาที่ชื่นชมยินดีกับผู้อื่น

วันที่ 25 ของ 40 วันสู่ชัยชนะ
วันพุธที่ 5 มีนาคม 2008
“ ถ้าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรม ก็จะทรงโปรดยกบาปของเรา
และจะทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น ” 1 ยอห์น 1:9

ข้อคิด : การสารภาพบาปต่อพระเจ้านำมาซึ่งการชำระจากพระองค์เสมอ
อธิษฐาน 1. ขอพระเจ้าชำระความบาปในใจเรา โดยเฉพาะบาปเล็กน้อยที่ซ่อนเร้นอยู่
2. ขอพระเจ้าประทานสติปัญญาให้เราดำเนินชีวิตด้วยความระมัดระวังที่จะไม่กระทำความผิดบาป

วันที่ 26 ของ 40 วันสู่ชัยชนะ
วันพฤหัสที่ 6 มีนาคม 2008
“และขอทรงโปรดยกบาปผิดของข้าพระองค์ เหมือนข้าพระองค์ยกโทษผู้ที่ทำผิดต่อข้าพระองค์นั้น” มัทธิว 6:12

ข้อคิด พระเจ้าทรงให้อภัยคนบาปอย่างเรา เราควรให้อภัยพี่น้องที่เป็นคนบาปเหมือนเรา
อธิษฐาน 1. ขอพระเจ้าให้เรามีใจพร้อมให้อภัยผู้อื่นในทุกเรื่อง
2. ขอพระเจ้าอวยพรให้พี่น้องรักกันและให้อภัยแก่กันและกัน

วันที่ 27 ของ 40 วันสู่ชัยชนะ
วันศุกร์ที่ 7 มีนาคม 2008
“เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงหันกลับและตั้งใจใหม่เพื่อพระเจ้าจะทรงลบล้างความผิดบาปของท่านเสีย
เพื่อวาระพักผ่อนหย่อนใจจะได้มาจากพระพักตร์พระเจ้า” กิจการ 3:19

ข้อคิด : พระเจ้าไม่เคยทรงปฎิเสธผู้ที่หันกลับมาหาพระองค์
อธิษฐาน : 1. ขอบคุณพระเจ้าที่เฝ้ารอคอยการกลับมาของเราตลอดเวลา
2. ขอพระเจ้าให้เรายึดมั่นในพระสัญญาของพระองค์อยู่เสมอ

วันที่ 28 ของ 40 วันสู่ชัยชนะ
วันเสาร์ที่ 8 มีนาคม 2008
“ ข้าแต่พระเจ้าขอทรงสร้างใจสะอาดภายในข้าพระองค์ และฟื้นน้ำใจที่หนักแน่นขึ้นใหม่ภายในข้าพระองค์” สดุดี 51:10
ข้อคิด : พระเจ้าทรงพร้อมสร้างใจใหม่ให้กับทุกคนที่ขอพระองค์
อธิษฐาน : 1 ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงชำระใจเราให้สะอาด เป็นของใหม่อยู่เสมอ
2 ขอบคุณพระเจ้าสำหรับสวัสดิภาพและความมั่นคงอย่างอุดม

สัปดาห์ที่ 5 ส .สันติสุข
สัปดาห์ที่ 5
ส . สันติสุข
พระเยซูคริสต์ทรงตรัสไว้ว่า “ เรามอบสันติสุขไว้ให้ท่านทั้งหลาย สันติสุขของเราที่ให้แก่ท่านนั้น
เราให้ท่านมาเหมือนโลกให้ อย่าให้ใจของท่านวิตกและอย่ากลัวเลย” ยอห์น 14:27 ดังนั้นสัปดาห์ที่ 5 จึงเต็มไปด้วยสันติสุขและสันติภาพในชีวิต

อาทิตย์ที่ 5
วันอาทิตย์ที่ 9 มีนาคม 2008
“ ฝ่ายผลของพระวิญญาณนั้นคือ ความรัก ความปลาบปลื้มใจ สันติสุข ความอดกลั้นใจ
ความปรานี ความดี ความสัตย์ซื่อ ความสุภาพอ่อนน้อม การรู้จักบังคับตน
เรื่องอย่างนี้ไม่มีธรรมบัญญัติห้ามไว้เลย ” กาลาเทีย 5:22-23

ข้อคิด : “ผลของพระวิญญาณสำแดงด้วยชีวิตที่ดีงาม
อธิษฐาน 1 ขอพระเจ้าประทานให้ชีวิตเรามีผลของพระวิญญาณโดยเฉพาะอย่างยิ่งสันติสุขในชีวิต
2 ขอพระเจ้าประทานชีวิตที่เกิดผลแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์แก่สมาชิกในคริสตจักร

วันที่ 29 ของ 40 วันสู่ชัยชนะ
วันจันทร์ที่ 10 มีนาคม 2008
“ บุคคลผู้ใดสร้างสันติ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าพระเจ้าจะทรงเรียกเขาว่าเป็นบุตร ” มัทธิว5:9

ข้อคิด : พระเจ้าปรารถนาให้เราเป็นผู้สร้างสันติสุขในทุกที่ และ ทุกโอกาส
อธิษฐาน 1. ขอพระเจ้าประทานความรักและสันติสุขในครอบครัวให้แก่พี่น้องในคริสตจักร
2 ขอพระจ้าประทานสันติภาพและสันติสุขแก่สังคมไทย

วันที่ 30 ของ 40 วันสู่ชัยชนะ
วันอังคารที่ 11 มีนาคม 2008
“ เรามอบสันติสุขไว้ให้แก่ท่านทั้งหลาย สันติสุขของเราที่ให้แก่ท่านนั้น เราให้ท่านไม่เหมือนโลกให้
อย่าให้ใจของท่านวิตกและอย่ากลัวเลย ” ยอห์น14:27

ข้อคิด: สันติสุขในพระคริสต์เสริมสร้างชีวิตให้มั่นคง
อธิษฐาน 1. ขอพระเจ้าประทานสันติสุขให้กับพี่น้องของเราในการทำงานแต่ละวันอย่างดีและมีประสิทธิภาพ
2. ขอพระเจ้าประทานสันติสุขให้กับเพื่อนร่วมงานและคนรอบข้างที่เราต้องเกี่ยวข้องด้วย

วันที่ 31 ของ 40 วันสู่ชัยชนะ
วันพุธที่ 12 มีนาคม 2008
“ เราได้บอกเรื่องนี้แก่ท่าน เพื่อท่านจะได้มีสันติสุขในเรา ในโลกนี้ท่านจะประสบความทุกข์ยาก
แต่จงชื่นใจเถิดเพราะว่าเราได้ชนะโลกแล้ว ” ยอห์น 16:33

ข้อคิด : สันติสุขในพระเจ้าจะเด่นชัดขึ้นท่ามกลางความทุกข์ยาก
อธิษฐาน 1. ขอพระเจ้าให้เรากล้าเผชิญความทุกข์ยากลำบากโดยพึ่งในพระคุณพระเจ้า
2.ขอพระเจ้าประทานชัยชนะต่อความทุกข์ยากลำบากให้แก่เรา

วันที่ 32 ของ 40 วันสู่ชัยชนะ
วันพฤหัสบดีที่ 13 มีนาคม 2008
“ ….สันติสุขแห่งพระเจ้า ซึ่งเกินความเข้าใจ จะคุ้มครองจิตใจและความคิดของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์ ”
ฟีลิปปี4:7
ข้อคิด : สันติสุขนำมาซึ่งความสุขใจและชีวิตที่เกิดผล
อธิษฐาน 1. ขอพระเจ้าประทานให้เรารู้จักนำสันติสุขไปสู่ผู้อื่น
2. ขอบคุณพระเจ้าสำหรับสันติสุขของพระองค์ที่อยู่กับเราเสมอ

วันที่ 33 ของ 40 วันสู่ชัยชนะ
วันศุกร์ที่ 14มีนาคม 2008
“ ขอให้องค์พระเจ้าแห่งสันติสุข ทรงให้ท่านเป็นคนบริสุทธิ์หมดจดและทรงรักษาทั้งวิญญาณ จิตใจและร่างกายของท่านไว้ให้ปราศจากการติเตียน จนถึงวันที่พระเยซูคริสตเจ้าของเราเสด็จมา ” 1เธสะโลนิกา5:23

ข้อคิด : ความหวังใจในการเสด็จกลับมาของพระเยซูคริสต์ก็เป็นความสุขในจิตใจ
อธิษฐาน 1. ขอพระเจ้าประทานสันติสุขในการดำเนินชีวิตและรอคอยการเสด็จกลับมาของพระเยซูคริสต์
2. ขอพระเจ้าประทานชีวิตที่ดีงามให้แก่เราตลอดไป

วันที่ 34 ของ 40 วันสู่ชัยชนะ
วันเสาร์ที่ 15มีนาคม 2008
“ บุคคลผู้สนใจในพระวจนะจะพบของดี และคนที่วางใจในพระเจ้าจะสุขสบาย ” สุกาษิต 16:20

ข้อคิด : ความวางใจในพระเจ้าคือสันติสุขที่แท้จริง
อธิษฐาน 1. ขอพระเจ้าให้เรารักในการศึกษาพระวจนะของพระองค์ เพื่อจะเรียนรู้จักน้ำพระทัยของพระองค์
2. ขอพระเจ้าทรงสอนให้เราที่จะวางใจในพระองค์ในทุกสถานการณ์ของชีวิต

สัปดาห์ที่ 6 สัปดาห์แห่งการทนทุกข์
สัปดาห์ที่ 6
สัปดาห์แห่งการทนทุกข์
สัปดาห์สุดท้าย เพื่อร่วมทนทุกข์กับองค์พระเยซูคริสต์ในสัปดาห์แห่งการทนทุกข์ ( Passion Week)

อาทิตย์แห่งการทนทุกข์และชัยชนะ
วันอาทิตย์ที่ 16 มีนาคม 2008
“ฝ่ายฝูงชนซึ่งเดินไปข้างหน้ากับผู้ที่ตามมาข้างหลัง ก็พร้อมกันโห่ร้องว่า “โฮซันนา แก่ราชโอรสของดาวิด ขอให้
ท่านผู้ที่เสด็จมาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงพระเจริญโฮซันนา ในที่สูงสุด” มัทธิว 21:9

ข้อคิด พระเจ้ายิ่งใหญ่ แต่ทรงถ่อมสุภาพ สมควรแก่การยกย่อง สรรเสริญอย่างยิ่ง
อธิษฐาน 1. ขอพระเจ้าประทานใจที่ถ่อมสุภาพแก่เรา
2.ขอพระเจ้าประทานใจที่สรรเสริญพระเจ้าแก่เรา

วันที่ 35 ของ 40 วันสู่ชัยชนะ
วันจันทร์ที่ 17 มีนาคม 2008
พระองค์ตรัสกับเขาว่า “มีพระวจนะเขียนไว้ว่า นิเวศของเราเขาจะเรียกว่า เป็นนิเวศอธิษฐาน
แต่เจ้าทั้งหลายมากระทำให้เป็น ถ้ำของพวกโจร” มัทธิว 21:13

ข้อคิด พระเจ้าบริสุทธิ์ ชีวิตของเราต้องบริสุทธิ์
อธิษฐาน 1. ขอพระเจ้าทรงชำระจิตใจ ความคิด และการกระทำของเรา
2. ขอพระเจ้าทรงปกป้องรักษา ให้ชีวิตของเราบริสุทธิ์ เป็นที่ถวายเกียรติยศแด่พระองค์

วันที่ 36 ของ 40 วันสู่ชัยชนะ
วันอังคารที่ 18 มีนาคม 2008
“ พระเยซูทรงตอบเขาว่า“จงรักพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของเจ้าด้วยสุดใจสุดจิตของเจ้า และด้วยสิ้นสุดความคิดของเจ้า ข้อที่สองก็เหมือนกัน คือ จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง” มัทธิว 22:37, 39

ข้อคิด เราทั้งหลายรัก ก็เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน
อธิษฐาน 1. ขอพระเจ้าประทานความรักแก่เรา เพื่อเราจะรักพระเจ้ามากยิ่งขึ้น
2. ขอพระเจ้าประทานกำลังแก่เรา ที่สามารถรักและให้อภัยแก่ผู้ที่ทำผิดต่อเรา

วันที่ 37ของ 40 วันสู่ชัยชนะ
วันพุธที่ 19 มีนาคม 2008
“ด้วยว่าคนยากจนมีอยู่กับท่านเสมอ และท่านจะทำการดีแก่เขาเมื่อไรก็ทำได้
แต่เราจะไม่อยู่กับท่านเสมอไป” มาระโก 14:7

ข้อคิด จงกระทำดี เพื่อถวายเกียรติยศสูงสุดแด่พระเจ้าในขณะที่ยังมีโอกาสอยู่
อธิษฐาน 1. ขอพระเจ้าทรงสอนให้เรารู้จักใช้โอกาสที่มีอยู่รับใช้พระเจ้าอย่างสัตย์ซื่อ
2. ขอบคุณพระเจ้าที่ประทานโอกาสรับใช้พระองค์

วันที่ 38 ของ 40 วันสู่ชัยชนะ
วันพฤหัสบดีที่ 20 มีนาคม 2008
“…โอพระบิดาของข้าพระองค์ ถ้าเป็นไปได้ขอให้ถ้วยนี้ เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์เถิด แต่อย่างไรก็ดี อย่าให้เป็น
ตามใจปรารถนาของข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์” มัทธิว 26:39

ข้อคิด น้ำพระทัยของพระเจ้าและแผนการของพระองค์ต่อชีวิตของเราดีที่สุด
อธิษฐาน 1. ขอพระเจ้าประทานใจที่ยอมจำนนกับพระเจ้าให้กับเรา
2. ขอพระเจ้าประทานกำลังให้เราชนะความทุกข์ยากลำบากได้

วันที่ 39 ของ 40 วันสู่ชัยชนะ
วันศุกร์ที่ 21 มีนาคม 2008
“เอลี เอลี ลามาสะบักธานี” แปลว่า “พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์
ไฉนทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย” มัทธิว 27:46

ข้อคิด พระเยซูคริสต์ทรงทนทุกข์ทรมาน สิ้นพระชนม์บนกางเขนก็เพื่อเรา
อธิษฐาน 1. ขอบพระคุณพระเจ้าที่สิ้นพระชนม์ไถ่ความผิดบาปของเรา
2. ขอพระเจ้าทรงช่วยเราให้ดำเนินชีวิตสมกับพระคุณของพระองค์

วันที่ 40 ของ 40 วันสู่ชัยชนะ

วันเสาร์ที่ 22 มีนาคม 2008
“เมื่อเขากล่าวคำหยาบคายต่อพระองค์ พระองค์ไม่ได้ทรงกล่าวตอบเขาด้วยคำหยาบคายเลย
เมื่อพระองค์ทรงทนทุกข์ พระองค์ไม่ได้ทรงมาดร้าย แต่ทรงมอบเรื่องของพระองค์
ไว้แก่พระเจ้าผู้ทรงพิพากษาอย่างยุติธรรม” 1 เปโตร 2:23

ข้อคิด มอบชีวิตและทุกสิ่งไว้กับพระเจ้าเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
อธิษฐาน 1. ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงนำพาชีวิตของเราอย่างดีเสมอ
2. ขอพระเจ้าทรงสอนเราให้ไว้วางใจในพระองค์ตลอดเวลา

วันอีสเตอร์
วันอาทิตย์ที่ 23 มีนาคม 2008
“….พวกท่านแสวงหาคนเป็นในพวกคนตายทำไมเล่า พระองค์ไม่อยู่ที่นี่ แต่ทรงเป็นขึ้นมาแล้ว จงระลึกถึงคำที่พระองค์ได้ตรัสกับท่านทั้งหลาย เมื่อพระองค์ยังอยู่ในแคว้นกาลิลี” ลูกา 24:5-6

ข้อคิด พระเจ้าที่เราเคารพบูชา ทรงพระชนม์อยู่
อธิษฐาน 1. ขอบคุณพระเจ้าที่ประทานความมั่นใจว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าองค์เที่ยงแท้
2. ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงดำรงอยู่กับเราตลอดเวลา

พระวาทะของพระเยซูคริสต์
7 พระวาทะของพระเยซูคริสต์เจ้าบนกางเขน ก่อนสิ้นพระชนม์

วาระที่ 1 “โอพระบิดาเจ้าข้า ขอโปรดอภัยโทษเขาเพราะว่าเขาไม่รู้ว่าเขาทำอะไร” ลูกา 23:34
วาระที่ 2 “ เราบอกความจริงแก่เจ้าว่า วันนี้ เจ้าจะอยู่กับเราในเมืองบรมสุขเกษม” ลูกา 23:43
วาระที่ 3 “ หญิงเอ๋ย จงดูบุตรของท่านเถิด” “ จงดูมารดาของท่านเถิด” ยอห์น 19:26,27
วาระที่ 4 “ เอลี เอลี ลามาสะบักธานี” (พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ไฉนทรงทอดทิ้งข้า
พระองค์เสีย) มัทธิว 27:46
วาระที่ 5 “ เรากระหายน้ำ” ยอห์น 19:28
วาระที่ 6 “สำเร็จแล้ว” ยอห์น 19:30
วาระที่ 7 “พระบิดาเจ้าข้า ข้าพระองค์ฝากวิญญาณจิตของข้าพระองค์ไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์” ลูกา 23:46

วันอังคารที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ซามูเอล


บทที่ 4 ซามูเอล
จะกล่าวเฉพาะที่มีอยู่ในพระคัมภีร์ ชีวิตของซามูเอลเริ่มต้นตั้งแต่ 1 ซมอ 1:20 ถึง 1 ซมอ 28:20 ลักษณะการอธิบายต่อไปนี้ จะอธิบายตามบทในพระคัมภีร์ และบางครั้งบางตอนไม่เกี่ยวกับชีวิตของซามูเอลโดยตรง แต่ข้อพระคำในระหว่างนั้นสำคัญจะหยิบยกมาด้วย โดยเฉพาะข้อความที่ผู้อ่านพระคัมภีร์แล้ว อาจจะเข้าใดผิด คำแปลภาษาไทยทำให้เข้าใจเป็นอื่น

เริ่ม 1: 20 ฮันนาห์ ให้กำเนิดซามูเอล เมื่อเด็กหย่านม นางนำไปถวายแด่พระเจ้า ที่พระนิเวศของพระเจ้าที่เมืองชิโลห์(จำชื่อนี้ไว้ให้ดี) หีบพันธสัญญา อยู่ที่นี่ด้วยเมืองนี้อยู่ทางเหนือของเยรูซาเล็มไม่กี่สิบกิโลเมตร ในข้อ 28 สังเกต นางฮันนาห์พูดว่า "ให้ยืม" นางถวายบุตรให้อยู่ในพระนิเวศตลอดชีวิตของซามูเอล ตลอดชีวิตของซามูเอล พระเจ้าโปรดปรานมาก นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่อยากให้ท่านถวายบุตรของท่านแด่พระเจ้าตั้งแต่ยังเป็นทารก ถ้าท่านต้องการให้บุตรของท่านอยู่ในความโปรดปรานของพระเจ้า นางฮันนาห์เป็นหมัน แต่พระเจ้าทรงอวย พรให้มีลูกได้ถึง 6-7 คน ใน 2:20-21 บอกว่านางมีบุตรเป็น ชาย 3 หญิง 2 รวมซามูเอลด้วยเป็น 6 คน แต่ใน 2:5 นางร้องเพลงว่า มีบุตร 7 คน อาจจะตายไปคนหนึ่ง หรืออาจจะมี 7 คนจริงๆก็ได้ หลังจาก 2:21 ในการทรงประทานบุตร แม้ในทุกวันนี้ ก็เป็นเรื่องง่ายมากสำหรับพระเจ้า และสำหรับเราทุกคนที่เชื่อ ถ้า ท่านเชื่อใน บทที่ 3 (ที่ข้าพเจ้าเป็นผู้บันทึก) ข้าพเจ้าจะพูดกับท่านว่า เด็กทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้ เป็นการอนุญาตของพระเจ้าทั้งสิ้น ถ้าท่านเป็นคู่สามี ภรรยาที่ติดลูกง่าย และท่านขอพระเจ้าว่าอย่ามีลูกอีกเลย ท่านก็อาจจะไม่มี โดยไม่ต้องคุมกำเนิด

2:11 ในตอนนั้น เอลีเป็นปุโรหิต สังเกตุว่าเอลีไม่ได้เป็นผู้พยากรณ์ แต่ซามูเอลเป็นทั้ง 2 อย่าง เอลีเป็นอาจารย์ของซามูเอล 2:12-17 บอกว่า บุตรของเอลีสองคน ใช้พระเจ้าหากิน พระเจ้าไม่พอพระทัย เมื่อท่านอ่านเรื่องของซามูเอล ข้าพเจ้าอยากให้ท่านสังเกตุ ท่าทีของซามูเอลที่มีต่อพระเจ้าให้ดีและเปรียบเทียบกับตัวท่านกับพระเจ้าในปัจจุบันด้วยทั้งในเรื่อง การทรงนำของพระเจ้า และเรื่องงานรับใช้ และการปฏิบัติเมื่อได้รับการทรงนำจากพระเจ้า ข้อ 22-25 เอลี ตักเตือนบุตรสองคน แต่หลังจากนั้นเอลีไม่ได้จัดการสิ่งใดให้เด็ดขาด บุตรทั้งสองยังคงทำชั่วเหมือนเดิม และพระเจ้าประหารทั้งสอง (ในบทถัดไป) ตอนซามูเอลมีลูกสองคน ซามูเอลให้ไปทำหน้าที่ปุโรหิตที่เมืองอื่นบุตรทั้งสองของซามูเอลก็ทำชั่วลักษณะเดียวกันกับบุตรสองคนของเอลี แต่ซามูเอลได้จัดการเรียบร้อยดี เข้าใจว่าซามูเอลได้ปลดบุตรทั้งสองเป็นคนธรรมดา ในกรณีทั้งสองนี้ เอลี ถูกพระเจ้าทำโทษด้วยในเรื่องนี้ แต่ซามูเอลไม่ถูกพระเจ้าทำโทษ (บทถัดๆไป) ขีดเส้นใต้ข้อ 25 คำพูดเอลีนี้ดี ถ้ามนุษย์ทำผิดกับมนุษย์ พระเจ้าจะไกล่เกลี่ยให้ แต่ถ้ามนุษย์ทำผิดกับพระเจ้า ใครจะไกล่เกลี่ยให้ ใครจะเป็นทนายให้ ข้อ 26 กุมารซามูเอลก็เติบโตขึ้นและเป็นที่ชอบมากขึ้นเฉพาะพระเจ้าและต่อหน้าคนทั้ง ปวงด้วยคำว่าชอบมากในคิงส์เจมส์ใช้ คำว่า favour อาจแปลได้ว่า เป็นที่โปรดปราน เพราะปัจจุบันคนไทยใช้คำว่าโปรดปรานบ่อย และในคำเผยพระวจนะก็ปรากฏคำนี้มาก รวมทั้งตรัสภายในกับบางคนก็ใช้คำนี้มาก

ข้อที่ 27-36 มีผู้รับใช้ของพระเจ้า ในพระคัมภีร์ไม่บอกว่าเอลีรู้จักเขามาก่อนหรือไม่ ผู้รับใช้นี้มาหาเอลีและเผยพระวจนะกล่าวโทษเอลี เรื่องบุตรทั้งสองของเขา ขีดเส้นในข้อ 29 คำว่า "และให้เกียรติแก่บุตรทั้งสองของเจ้าเหนือเรา" ให้ เกียรติบุตรเหนือพระเจ้า ข้อ 36 บางคนที่พระเจ้าทำโทษและตีสอน จะกลับมาและขอเป็นผู้รับใช้ เพื่อจะให้มีกิน เหมือนในปัจจุบันนี้แหละ

บทที่ 3:1 ในสมัยนั้น พระคำของพระเจ้ามีมาแต่น้อย ไม่มีนิมิตบ่อยนัก คำว่า "มีมาแต่น้อย" ในคิงส์เจมส์ใช้คำว่า "precious" แปลว่า ล้ำค่า และคำว่า "ไม่มีนิมิตบ่อยนัก" ใช้คำว่า "no open vision" หมายถึงว่า นิมิตนั้นไม่ได้ประทานแก่บุคคลทั่วไป เฉพาะผู้รับใช้ของพระเจ้าเท่านั้น แต่ปัจจุบันเรามีพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่สามารถให้คำเผยฯได้บ่อย และให้นิมิตแก่คริสเตียนได้

ข้อที่ 2-9 พระเจ้าพูดกับซามูเอล เป็นครั้งแรกในชีวิตของซามูเอล เข้าใจว่า ซามูเอลอายุประมาณ 20 ปี สังเกตข้อ 3 "ซามูเอลนอนอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า ที่ที่หีบของพระเจ้าอยู่ที่นั่น" ซามูเอลอาจนอนอยู่ในห้องเดียวกันกับที่หีบพันธสัญญาตั้งอยู่ ข้าพเจ้าจึงแนะนำพี่น้องเสมอว่า ให้อยู่จำเพาะพระพักตร์พระเจ้าตลอดเวลา ให้นึกเสมอๆ ไม่ว่าจะนั่งจะนอน จะขับรถ กำลังแปลงฟัน กำลังจะ นอนหลับ ให้นึกว่ากำลังนอนอยู่ต่อหน้าบัลลังก์ของพระเจ้า พระเจ้าทรงตรัสเรียกซามูเอล ในข้อ 4 การทรงนำในตอนนี้ เป็นเสียงที่ตังหนักแน่น จึงสามารถทำให้ซามูเอลตื่นขึ้นมาได้ เป็นเสียงที่ได้ยินกับหู (อาจได้ยินในวิญญาณเท่านั้น) เหมือนเสียงที่เราพูดจากับเพื่อนสองคน ซามูเอลคิดว่าเอลีเรียก จึงเดินไปหาเอลี อีกห้องหนึ่ง แต่เอลีบอกว่าไม่ได้เรียกซามูเอลจึงกลับไปนอน เกิดขึ้นอย่างนี้สามครั้ง ในข้อที่ 8 "เอลีจึงหยั่งรู้ได้ว่า พระเจ้าทรงเรียกเด็กนั้น" คำว่า "หยั่งรู้" คิงส์ เจมส์ใช้คำว่า "perceives" แปลว่า รู้สึก เอลีรู้สึกได้ว่า คำนี้เป็นการทรงนำอย่างหนึ่งของพระเจ้า ในพยานภายใน เอลีไม่เคยได้ยินเสียงตรัสของพระเจ้า เอลีเป็นเพียงปุโรหิต ไม่ใช่ผู้พยากรณ์ แต่เอลีก็มีการทรงนำโดยพยานภายใน คำว่า " perceives" นี้ ใช้กับเปาโล เมื่อเปาโลเป็นนักโทษ จะถูกนำลงเรือ เปาโลพูดว่า ข้าพเจ้ารู้สึก(perceives)ว่า การไปครั้งนี้จะมี..........

ข้อ 10 "พระเจ้าเสด็จมาประทับยืนอยู่" ตั้งแต่ครั้งแรกที่พระเจ้าทรงเรียก ซามูเอล พระเจ้าอาจมาประทับยืนอยู่แล้ว แต่ซามูเอลมองไม่เห็นในครั้งแรกๆ พระเจ้าทรงตรัสบอกซามูเอล ถึงเรื่องที่พระองค์จะทรงลงโทษเอลี ด้วยเรื่องบุตรของเขาทั้งสอง ในข้อ 13 พระเจ้าใช้คำว่า "และเขาก็มิได้ห้ามปราม" เอลีเพียงแต่ตักเตือน แต่ไม่ได้ห้ามปราม ในข้อ 14 เป็นเรื่องที่น่ากลัวสำหรับคริสเตียนทุกวันนี้ด้วย" ความบาปชั่วของพงศ์พันธุ์เอลีนั้นจะลบล้างเสียด้วยเครื่องสัตวบูชา และของถวายไม่ได้เป็นนิตย์" ท่านอาจจะบอกว่า ปัจจุบันท่านมีพระเยซูคริสต์เป็นผู้กลางแล้ว อภัยให้ได้ทุกเรื่อง ข้อนี้ไม่จริงเสมอไป ในพระคัมภีร์ใหม่มีพูดถึงเรื่องบาปที่นำไปสู่ความตาย และพูดถึงว่า อย่าอธิษฐานเผื่อ เพราะอธิษฐานเผื่อพวกเขาก็ไม่มีประโยชน์ ในพระคัมภีร์เดิม ก็มีประโยคว่า อย่าอธิษฐานเผื่อพวกเขา (ในที่นี้จะไม่อ้างอิงและอธิบายมากนัก เพราะจะทำให้ยาวเกินไป) สังเกตว่า พระเจ้าทรงเสด็จมาตรัสกับซามูเอลครั้งแรกในชีวิตของซามูเอล พระเจ้าก็ตรัสเรื่องหนักๆแล้ว เพราะฉะนั้น ถ้าท่านเป็นผู้หนึ่งที่พระเจ้าจะทรงตรัสกับท่านเป็นครั้งแรก ให้เตรียมตัวเตรียมใจ และอย่าตกใจ ข้อ 15-17 เอลีคาดคั้นซามูเอลว่า พระเจ้าตรัสอะไร ซามูเอลจึงต้องบอกทุกอย่าง เอลีพูดในข้อ 17 ว่า ขอพระเจ้าทรงกระทำตามที่พระองค์เห็นชอบเถิด ถ้าเอลีวิงวอนขอพระเจ้างดโทษกับเขา พระเจ้าอาจจะอภัยให้เขาก็เป็นได้ แต่เขาไม่ได้ขอ

ข้อ 19 "และซามูเอลก็เติบโตขึ้น และพระเจ้าทรงสถิตกับท่าน มิให้วาจาของท่านตกไปเปล่าแต่สักคำเดียว" พระเจ้าทรงสถิตกับท่าน ในสมัยก่อนวันเพนเตครอส วันที่พระเจ้าทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์แก่คริสตชน พระวิญญาณของพระเจ้าไม่ได้สถิตอยู่ในวิญญาณของเรา พระเจ้าสถิตอยู่ภายนอก หรือที่เรียกว่า สวมทับ (พระเจ้าเคยให้คำเผยพระวจนะในเรื่องนี้ด้วย โดยไม่ได้ถาม แต่ไม่มีคำว่า สวมทับ) ประโยคว่า "มิให้วาจาของท่านตกไปเปล่าแต่สักคำเดียว" สิ่งนี้ เป็นความยิ่งใหญ่ในชีวิตของซามูเอล หมายความว่า คำที่ออกมาจากปากของซามูเอลจะสำเร็จทั้งสิ้น แสดงว่าซามูเอลมีการทรงนำโดยพยานภายในอย่างมาก และโดยการเสด็จมาปรากฏและตรัสอย่างมากด้วย ข้าพเจ้าหวังให้ท่านแสวงหาพระเจ้า มุ่งหวัง ให้ถึงขั้นนี้ บางครั้งคำที่ออกมาจากปากของซามูเอลหรือของท่าน ก็ตามไม่ได้เป็นน้ำพระทัยเริ่มต้นจากพระเจ้า แต่พระเจ้าก็จะทรงโปรดกระทำให้สำเร็จตามนั้น แต่ต้องถูกน้ำพระทัย พูดง่ายๆว่า ถูกใจนั่นเอง เหมือนอย่างชีวิต ของเอลียาห์ และ เอลีชา

บทที่ 4 คนฟีลิสเตียยึดหีบพันธสัญญา ข้อที่ 3 "ทำไมพระเจ้าจึงทรงให้เรา พ่ายแพ้...." คนสมัยนี้ก็พูดเหมือน "ทำไมพระเจ้าให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น" ก็เพราะท่านทำไม่ถูกน้ำพระทัย ไม่ถูกแผนการของพระเจ้า ทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตร หรือ พระเจ้าอาจมีแผนการที่ดีกว่า สายตาของพระเจ้ายาวไกลกว่าท่าน มากกว่า ท่านเป็นล้านๆเท่า พวกอิสราเอลก็ไปนำหีบพันธสัญญามาจากเมืองชิโลห์ นำหน้าทัพแต่ก็ยังแพ้อยู่ดี คริสเตียนทุกวันนี้ อย่าคิดว่าท่านรับมรดกพันธสัญญาทั้งสิ้นของพระเจ้าแล้ว ท่านก็จะทำทุกอย่างได้ตามความนึกคิดของท่าน ตามเนื้อหนังของท่าน บุตรทั้งสองของเอลี ก็อยู่และตามหีบพันธสัญญาไป และตายในการสู้รบครั้งนี้เอง (ข้อที่ 11) สังเกตพระคำในช่วงนี้ว่า เมื่อเขาไปเอาหีบพันธสัญญาที่เมืองชิโลห์นั้น เอลีและซามูเอลยังอยู่ ถ้าท่านเป็นเอลีหรือเป็นซามูเอล (ยังหนุ่ม) ท่านจะขัดขวางพวกเขาไม่ให้เอาหีบพันธสัญญาไปไหม

ข้อ 13 เอลีนั่งคอยอยู่ที่ข้างถนน เป็นห่วงเรื่องหีบพันธสัญญา ไม่ได้เป็นห่วงบุตร ตอนนี้เอลี อายุ 98 ปี (ข้อ 15) ข้อ 18 เมื่อเขากล่าวถึงหีบพันธสัญญา เอลีก็หงายหลัง ล้มไปคอหักตาย "เพราะท่านชรามากแล้วและตัวก็หนัก" แสดงว่า เอลีเป็นคนอ้วน (มีคำเผยพระวจนะ ช่วงนี้ วันพฤหัสที่ 16-3-95 ใน file: C:50316sm.thr)

บทที่ 5 คนฟีลิสเตียยึดหีบไป อ่านให้ดีในช่วงต้นที่พระดาโกนล้มลงต่อหน้า หีบของพระเจ้าแล้วพระหัตถ์ของพระเจ้าทรงทำลายคนฟีลิสเตียอย่างมาก จนข้อ 12 "และเสียงร้องของชาวเมืองนั้นก็ขึ้นไปยังพ้าสวรรค์" ประโยคนี้คนต่างด้าว อาจร้องทูลขอความเมตตาต่อพระเจ้าของอิสราเอล ก่อนหน้านี้เสียงร้องโอดครวญ ไม่ถึงสวรรค์ ต่อเมื่อทูลขอเป็นกิจจะลักษณะจึงถึงสวรรค์ คริสเตียนอย่านั่งพึมพำนั่งบ่นให้พระเจ้า หรือวางใจอย่างเดียว ให้นั่งลงอธิษฐานทูลขอออกพระนามพระเจ้า เป็นทางการด้วย

บทที่ 6 คืนหีบ ข้อที่ 8 เขาเอาเครื่องทองคำวางไว้ในหีบอีกใบหนึ่ง เป็นหีบสำหรับใส่ของมีค่าสมัยก่อน แล้วเอาหีบใบนี้วางไว้ข้างๆหีบแห่งพันธสัญญา เมื่อหีบบนเกวียนกลับมาที่ชาวเมืองเบธเชเมช และเลวีเชิญหีบลง (ข้อ 14-15) หีบพันธสัญญาอยู่กับคนฟีลิสเตีย 7 เดือน (ข้อ 1) ผู้ที่ไม่ใช่คนเลวีที่ชำระบริสุทธิ์ แล้วแตะต้องหีบไม่ได้ แต่อาจเคลื่อนย้ายหีบได้ โดยไม้คาดสองอัน ซึ่งสร้างในสมัยโมเสส เพราะมีปรากฏว่าคนที่แตะต้องหีบตายในสมัยดาวิด

บทที่ 6:19 "พระองค์จึงทรงประหารชาวเบธเชเมช เพราะว่าเขาทั้งหลายได้มองหีบแห่งพระเจ้า พระองค์ได้ทรงประหารเสีย 70 คน และ 50,000 คน และ ประชาชนก็ไว้ทุกข์" ข้อพระคำข้อนี้ จะทำให้หลายคนงง ถ้าอ่านพระคำเรื่อยมา คำถามก็คือ ทำไมแค่มองก็ตายหรือคนฟีลิสเตียมองมาตั้งนาน ไม่เห็นบอกว่าต้องตาย ชาวเบธเชเมชก็เป็นคนอิสราเอล ประโยค "เขาทั้งหลายได้มองหีบแห่งพระ เจ้า" คิงส์เจมส์ใช้คำว่า "because they have looked into the ark of the Lord" แปลว่า "เพราะว่าพวกเจ้าได้มองเข้าไปในหีบแห่งพระเจ้า" แสดงว่า ชาวเบธเชเมช มากกว่า 70 คน ได้เปิดหีบแห่งพระเจ้า และมองเข้าไป พระเจ้าจึงทรงประหารเสีย 70 คน และประหารชาวเมืองคนอื่นๆอีก 50,000 คน ในข้อพระคำ "และประชาชนก็ไว้ทุกข์" คิงส์เจมส์ใช้คำว่า lanmented แปลว่า เศร้าโศก แสดงว่าเสียใจที่กระทำอย่างนั้น

บทที่ 7 หีบพันธสัญญาย้ายมาอยู่ที่เมือง คีริยาทเยอาริม (ทั้งเมือง เบธเชเมช และ เมืองคีริยาทฯ อยู่ทางเหนือของเยรูซาเล็ม และอยู่ห่างไปไม่เท่าไรนัก อยู่ต่ำกว่าเมืองชิโลห์) อยู่ที่เมืองคีริยาทฯ 20 ปี (ข้อ 2) ข้อที่ 3 ซามูเอลพูดว่าพระต่างด้าว คำนี้คิงค์เจมส์ใช้คำว่า the strange gods แปลว่า พระจ้าวแปลกๆ "และปักใจของท่านตรงต่อพระเจ้า" (prepare your heart unto the Load) ภาษาอังกฤษคำนี้ดี แปลว่า จงเตรียมใจของท่านต่อพระเจ้า ส่วนใหญ่คริสเตียน ทั่วไปไม่ค่อยมี ไม่ว่าที่บ้านหรือที่โบสถ์

ซามูเอลนัดประชุมคนอิสราเอลที่เมืองมิสปาส์ ข้อที่ 5 ซามูเอลนัดประชุมที่ไร เมืองมิสปาห์ทุกที อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเยรูซาเล็ม ประมาณ 10- 20 กม. ในข้อที่ 6 มีคำว่า และตักน้ำมาเทออกถวายแด่พระเจ้า คำนี้เราไม่ค่อยเห็นบ่อยนัก เหมือนการกรวดน้ำในบางศาสนา สิ่งเหล่านี้ วิญญาณชั่วลอกเลียนแบบไปจากพระเจ้าทั้งนั้น ตรงกับการสำแดงของพระเจ้าที่ให้กับผู้พยากรณ์ของพระเจ้าว่า วิญญาณชั่วชอบเลียนแบบของพระเจ้า รวมทั้งอูริมกับทูมมิม ที่บางนิกายทำเป็นไม้คู่หนึ่ง นำมาประกบกัน สำหรับเสี่ยงทายว่า ใช่หรือไม่ใช่ และสิ่งใดที่วิญญาณชั่วเอาไปสำแดงหรือเลียนแบบมากแล้ว พระเจ้าจะพยายามให้สิ่งเหล่านั้นไม่ปรากฏในทางของพระเจ้า อย่างเช่นวันเกิดและวันสิ้นพระชนม์ของ พระเยซูคริสต์เจ้า เป็นวันเดียวกัน พระเจ้าก็ไม่ทรงให้ปรากฏในพระคัมภีร์ของพระองค์เลย และไม่ทรงให้รู้ด้วยว่า เป็นวันเดือนปีที่แน่นอน มีแต่คาดการณ์กันไปเอง

ข้อ 5 ซามูเอลพูดว่า ข้าพเจ้าจะอธิษฐานต่อพระเจ้าเพื่อท่าน คำขอบางคน พระเจ้าได้ยิน แต่ไม่สนใจ เพราะเขาชั่วร้าย หรือบางคนมีท่าทีที่ไม่ถูกต้องต่อพระเจ้า โดยเฉพาะคริสเตียนในปัจจุบัน เพราะฉะนั้น บางครั้งผู้อื่นขอให้อธิษฐานแทนเขา จงอธิษฐานเผื่อหรือแทนเขาเถอะ

ข้อ 10 ขณะที่ซามูเอลกำลังถวายเครื่องบูชา คนฟิลิสเตียก็ใกล้เข้ามา ซามูเอลไม่ใช่นักรบอย่างโยชูวา แต่ดูเหมือนว่าซามูเอลมิได้กลัวเลย แล้วพระเจ้าก็ทรงส่งฟ้าร้องสู้คนฟิลิสเตีย คนฟิลิสเตียก็พ่ายแพ้ ถ้าท่านจำได้อีกเหตุการณ์หนึ่ง ใน 1 พกษ บทที่ 29 เยเซเบลขู่ว่าจะฆ่าเอลียาห์ เอลียาห์หนีสุดชีวิต ไปภูเขาโฮเรบ อดข้าวอดน้ำ 40 วัน พระเจ้าตรัสกับเอลียาห์ด้วยประโยคนี้สองครั้ง "เอลียาห์ เจ้าทำอะไรอยู่ที่นี่" แล้วพระเจ้าสำแดง การอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ให้ดูสามอย่าง พระเจ้าแสดงให้เอลียาห์เห็นว่า พระเจ้าทำการอัศจรรย์ให้ได้ ไม่เห็นต้องหนีเลย พระเจ้าจึงถามว่า ทำอะไรอยู่ที่นี่ เราไม่ได้ให้เจ้ามาที่นี่ แสดงให้เห็น 2 เหตุการณ์ ที่คริสเตียนควรพิจารณาอยู่ เมื่อท่านพบปัญหาที่ล่อแหลม พระเจ้าทรงขนาบตัวทำลายให้ กับซามูเอลตลอดชีวิตของซามูเอล(ข้อ 13) จงดูตัวอย่างซามูเอลเถอะ ท่าทีของ ท่าน เพื่อว่าพระเจ้าจะทรงปกป้องท่านจากศัตรูและความยากลำบาก ตลอดชีวิตของท่านทีเดียว

ข้อ 15-17 ซามูเอลรับใช้ตลอดชีวิตของท่าน ไม่ต้องเลือกตั้งใหม่ เหมือนคนสมัยนี้ แม้แต่เรื่องกรรมการของคริสตจักร ข้าพเจ้าจึงมีความเห็นว่า ถ้าเขาทำงานของเขาดีพอสมควรแล้ว ควรให้เขาอยู่ตลอดชั่วชีวิตของเขา ถ้าเขาไม่ลาออกเอง "และซามูเอลก็เที่ยวไปโดยรอบทุกปีเป็นประจำ"เวียนไปสั่งสอนเหมือนกลุ่มเซลล์ที่ท่านต้องเวียนไปสั่งสอน ซามูเอลสั่งสอนอยู่ 3 เมืองคือ เบธเอล กิลลาล และมิสปาห์ ทั้งสามเมืองอยู่ทางด้านเหนือของเยรูซาเล็ม อาจจะเฉียงบ้าง เป็นรูปสามเหลี่ยม โดยมีเมืองรามาห์ บ้านของซามูเอลอยู่ตรงกลาง และซามูเอลได้สร้าง แท่นบูชาที่เมืองของท่านด้วย (สร้างห้องนมัสการในบ้านของคุณด้วย) ในเมืองเหล่านี้ มีโรงเรียนผู้รับใช้อยู่ โดยเฉพาะเป็นโรงเรียนผู้เผยพระวจนะหรือผู้พยากรณ์ ถ้าท่านอ่านพระคัมภีร์และสังเกตดีๆ จะพบคำว่า "หมู่ผู้เผยพระวจนะ" มากมายหลายแห่ง จนถึงสมัยของเอลีชา และท่านจะเห็นซามูเอลสอนผู้เผยพระ วจนะในบทถัดๆไป บทที่ 8 คนอิสราเอลร้องกษัตริย์ (สำหรับตามคำเผย พระวจนะใน ฉธบ 17: 14-20) ซามูเอลแก่แล้ว อายุประมาณ 60 ปี (ถ้านับจากตอนที่พระเจ้าตรัสกับซามูเอลครั้งแรก ซามูเอลอายุ 20 ปี) ซามูเอลมีบุตรสองคน และซามูเอลให้ไปทำหน้าที่วินิจฉัยที่เมืองเบเออร์เซบา เมืองนี้อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ ห่างจากเยรูชาเล็ม หลายสิบกิโลเมตร (ข้าพเจ้าไม่ได้เอาระยะทาง เป็นกิโลเมตร หรือไมล์ที่ค่อนข้างแน่นอนให้ท่าน เพื่อไม่ต้องการให้มีรายละเอียดต้องจดจำมากจนเกินไป แต่ที่ต้องอธิบายว่าอยู่ห่างกันมากน้อยเท่าไร เพื่อให้เปรียบเทียบกับเมืองไทยในปัจจุบัน ว่าท่านรับใช้ใกล้ไกลแค่ไหน ข้าพเจ้ากำลังบอกว่า ไม่ต้องไปไกลหรอก แต่ทำให้ดีที่สุด) ในข้อ 3 แต่บุตรชายของซามูเอล ไม่ได้ทำตัวดีเหมือนซามูเอล "ได้เลี่ยงไปหากำไร เขารับสินบน และบิดเบือน ความยุติธรรมเสีย" สมัยนี้ก็มีผู้รับใช้อย่างนี้เยอะโดยเฉพาะประเทศที่มีคริสเตียนมาก อย่างเช่นในอเมริกา เอาเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาช่วย ให้ดูเหมือนว่าเป็นการอัศจรรย์ของพระเจ้า ข้อ 4-5 คนอิสราเอลเห็นความชั่วของบุตรซามูเอล ก็มาหาซามูเอลที่บ้าน (เมืองรามาห์) ถ้าท่านเป็นคริสเตียนธรรมดา อย่าเชิญผู้รับใช้มาอธิษฐานเผื่อท่านที่บ้าน จงไปหาผู้รับใช้ที่บ้านของเขา

บทที่ 8:6 เป็นตอนที่สำคัญ "เมื่อคนอิสราเอลพูดว่า ขอตั้งพระราชาให้วินิจฉัย เราทั้งหลาย ก็กระทำให้ซามูเอลไม่พอใจ" ให้ท่านไปย้อนอ่าน ฉธบ 17:14-20 โมเสสกล่าวกับคนอิสราเอลว่า "แล้วท่าน(คนอิสราเอล)จะกล่าวว่า เราจะตั้งกษัตริย์ไว้เหนือเราเหมือนประชาชาติอื่นซึ่งอยู่รอบเรา" ท่านอย่าเพิ่งเข้าใจว่า พระเจ้าพอพระทัยให้มีกษัตริย์นะ ประโยคนี้พระเจ้าพยากรณ์ว่า ชนชาติของพระ องค์จะพูดอย่างนี้ (ในปัจจุบันนี้ท่านจะพบว่าประเทศส่วนใหญ่ไม่มีกษัตริย์ มีแต่ผู้วินิจฉัย คือประธานาธิบดี หรือนายกรัฐมนตรี) ข้อ 15 ประโยคท้าย "ท่านอย่าตั้งคนต่างด้าวซึ่งมิใช่พี่น้องของท่านให้อยู่เหนือท่าน" ความหมายในปํจจุบันก็คือ ถ้าไม่จำเป็น อย่าเลือกคนจากที่อื่นมาเป็นศิษยาภิบาลของท่าน หรือกรรมการของท่าน ข้อที่ 16-20 จะบอกว่า อย่าให้คนอื่นที่มาเป็นกษัตริย์นั้น ร่ำรวย มีภรรยามาก เกรงว่าจิตใจของเขาจะหักเห (ข้อ 17) หันเหจริงๆอย่างดาวิด และซาโรมอน ให้กรรมการหรือศิลยาภิบาลของท่าน อ่านระเบียบ อยู่เป็นประจำ (ข้อ 18-19) และต้องไม่ลืมปฏิบัติตามข้อพระคัมภีร์ เพื่อว่าจิตใจของเขาจะมิได้พองขึ้นสูงกว่าพี่น้องของตน(ข้อ20)

กลับมาที่ 1 ซมอ 8:6 คิดว่าซามูเอลรู้เรื่องคำเผยฯข้างต้นไหม คิดว่ารู้ ถ้าเราอ่านคัมภีร์ไปเรื่อยๆ เราจะคิดว่า ซามูเอลไม่น่าโกรธเลย จะต้องสำเร็จตามคำเผยที่ให้ไว้กับโมเสส คิดว่าการโกรธของซามูเอลนี้ เป็นการทรงนำใน พยานภายใน และตรงน้ำพระทัย เมื่อซามูเอลโกรธ ซามูเอลก็ไม่ได้ทำอะไรโดยพลการ แต่ได้ทูลอธิษฐานต่อพระเจ้า เป็นผู้รับใช้สมัยนี้ ถ้าโกรธ ไม่ถูกใจ จะไม่ยอมทำให้ตามที่ขอ แถมไม่แสวงหาน้ำพระทัยในเรื่องนั้นๆด้วย ข้อที่7 พระเจ้าให้ ซามูเอลฟังพวกเขา "เพราะว่าเขามิได้ละทิ้งเจ้า ( not rejected thee) แต่เขาทั้งหลายได้ละทิ้งเรา( but they have rejected me) ไม่ให้เราเป็นกษัตริย์เหนือ เขา" แปลได้อีกอย่างหนึ่งว่า "ฟังเขาเถอะ เขามิได้ไม่เอาเจ้า แต่เขาไม่เอาเราพระเจ้า" ข้อ 8 เขาได้ละทิ้งเรา และปรนนิบัติพระอื่น เขาจึงกระทำเช่นเดียวกันต่อเจ้าด้วย(ถ้าเขารักพระเจ้าสิ้นสุดใจของเขา เขาก็จะรักศิษยาภิบาลด้วย ถ้าเขารักศิษยาภิบาลด้วยสิ้นสุดใจของเขา เขาอาจไม่รักพระเจ้าจริง)

ข้อที่ 10-18 ซามูเอลทำตามพระเจ้าบอก คืออธิบายให้ฟังว่า มีกษัตริย์แล้วจะเป็นอย่างไร แต่คนอิสราเอลก็ยังบอกว่า จะขอมีกษัตริย์(ข้อ 19 ) ข้อที่ 18 บอกว่า ถ้าเกิดอะไรขึ้น พระเจ้าจะไม่ทรงตอบท่านในวันนั้น ถ้าท่านผิดน้ำพระทัย พระเจ้าจะไม่ทรงตอบท่าน เผยพระวจนะอย่างไร คำตอบก็ไม่ตรงสักที ข้อ ที่ 22 "พระเจ้าตรัสกับซามูเอลว่า จงฟังเสียงของเขาทั้งหลายเถิด และจงตั้งกษัตริย์องค์ หนึ่งให้เขา" พระเจ้าสั่งให้ซามูเอลตั้งกษัตริย์ให้คนอิสราเอล แต่ท่านสังเกตุว่า ในบทต่อๆไป ซามูเอลไม่ได้วิ่งไปทั่วอิสราเอลเพื่อหากษัตริย์ และดูเหมือนว่าซามูเอลก็ไม่ได้กระวนกระวายในเรื่องนี้ ทั้งๆที่เป็นเรื่องใหญ่ แต่พระเจ้าทรงพาซาอูล ให้มาถึงต่อหน้าซามูเอลเลย

อ่าน บทที่ 9:1-14

มีชายคนหนึ่งเผ่าเบนยามิน ชื่อ คีช บุตรของอาบีเอล ผู้เป็นบุตรของเศโรร์ บุตรของเบโครัท บุตรของอาหิยาห์ คนเผ่าเบนยามิน เป็นคนร่ำรวย
ท่านมีบุตรชายคนหนึ่ง ชื่อ ซาอูล เป็นผู้ใหญ่เต็มตัวรูปงาม ไม่มีชายคนใดในหมู่คนอิสราเอลที่จะงามกว่าเขา เขาสูงกว่าประชาชนทั้งหลาย ตั้งแต่บ่าขึ้นไป
ฝ่ายฝูงแม่ลาของคีชบิดาของซาอูลหายไป คีชจึงกล่าวแก่ซาอูลบุตรของตนว่า "ลุกขึ้น เอาคนใช้คนหนึ่งไปกับเจ้า เพื่อไปหาลา"
เขาทั้งสองก็ผ่านแดนเทือกเขาแห่งเอฟราอิม ผ่านเข้าแผ่นดินชาลิชา เขาหาลาไม่พบ เขาก็ผ่านข้ามแผ่นดินชาอาลิม แต่ลาไม่อยู่ที่นั่น แล้วเขาผ่านเข้าแผ่นดินของคนเบนยามิน แต่ก็หาลาไม่พบ
เมื่อเขามาถึงแผ่นดินศูฟ ซาอูลจึงพูดกับคนใช้ผู้ซึ่งอยู่กับท่านว่า "มาเถิด ให้เรากลับไป เกรงว่าบิดาของข้าจะเลิกกังวลเรื่องลา และมาร้อนใจด้วยเรื่องของเรา"
แต่คนใช้ตอบท่านว่า "ดูเถิด มีคนของพระเจ้าคนหนึ่งในเมืองนี้ เป็นคนที่เขานับถือกันมาก สิ่งที่ท่านกล่าวนั้นเป็นไปตามที่กล่าวนั้นทุกอย่าง ขอให้เราไปที่นั่น ชะรอยท่านจะบอกเราถึงทางซึ่งเราควรดำเนิน"
แล้วซาอูลพูดกับคนใช้ของท่าน ว่า "แต่ดูเถิด ถ้าเราไปเราจะเอาอะไรไปให้ชายผู้นั้น เพราะขนมปังในย่ามของเราก็หมดแล้ว เราไม่มีของขวัญที่จะนำไปให้แก่คนของพระเจ้า เรามีอะไรบ้าง"
คนใช้ตอบซาอูลอีกว่า "ผมมีเงินอยู่หนึ่งเสี้ยวเชเขล และผมจะให้แก่คนของพระเจ้า เพื่อจะบอกหนทางให้แก่เรา"
(ในอิสราเอลสมัยเดิม เมื่อคนใดจะไปทูลถามพระเจ้า เขากล่าวว่า "มาเถิด ให้เราไปหาผู้ทำนายกัน" เพราะผู้ที่ในสมัยนี้เราเรียกว่า ผู้เผยพระวจนะนั้น ในสมัยเดิมเขาเรียกว่า ผู้ทำนาย)
และซาอูลจึงพูดกับคนใช้ของท่าน ว่า "พูดดีนี่ มาให้เราไปกันเถิด" เขาทั้งสองจึงไปที่เมืองซึ่งคนของพระเจ้าอยู่
ขณะเมื่อเขาขึ้นภูเขาไปยังเมืองนั้น เขาพบพวกผู้หญิงสาวออกมาตักน้ำ จึงถามว่า "ผู้ทำนายอยู่ที่นี่หรือ"
เธอทั้งหลายตอบว่า "อยู่นี่ ดูเถิด ท่านเพิ่งขึ้นหน้าท่านไป จงรีบเข้าเถิดท่านเพิ่งมาในเมืองเมื่อกี้นี้ เพราะว่าวันนี้ประชาชนทำการถวายสัตวบูชา ณ ปูชนียสถานสูง
พอท่านทั้งสองเข้าไปถึงในเมือง ท่านทั้งสองจะพบก่อน ที่ผู้ทำนายขึ้นไปรับประทานอาหาร ณ ปูชนียสถานสูง เพราะว่าประชาชนจะไม่รับประทานจนกว่าท่านจะมาถึง เพราะท่านจะต้องมาอวยพรแก่เครื่องสัตวบูชา ภายหลังผู้ที่ได้รับเชิญจึงรับประทาน ขึ้นไปเถิด ท่านทั้งสองจะพบทันที"
เขาทั้งสองก็ขึ้นไปยังเมืองนั้น ขณะเมื่อเขาเข้าไปในเมือง ดูเถิด ซามูเอลกำลังเดินออกมาจะไปยังปูชนียสถานสูงนั้น
ข้อ 12-13 มีคำว่า ปูชนียสถานสูง(high place) หมายถึง สถานนมัสการที่สำคัญที่สุดในเมืองนั้น ตั้งแต่ข้อ 15 เป็นต้นไป ซามูเอลใช้ของประทานถ้อยคำอันประกอบด้วยความรู้อย่างมาก พระเจ้าบอกซามูเอลล่วงหน้าหนึ่งวันว่า พระเจ้าจะส่งชายผู้หนึ่งที่พระเจ้าจะให้มาเป็นกษัตริย์ มาให้ซามูเอลในเวลาเดียวกันนี้ (พระเจ้าไม่ได้บอกซามูเอลว่าชื่ออะไร) บางครั้งเรา อย่าไปถามพระเจ้ามากจนเกินไป ทำให้วิญญาณชั่วมันรู้หมด ข้อ 17 เมื่อซามูเอลเห็นซาอูล พระเจ้าก็ตรัสบอกซามูเอลว่า "คนนี้แหละ"

ซามูเอลได้พูด เรื่องลาที่ซาอูลตามหา และพูดเรื่องอิสราเอลมุ่งหมายตัวซาอูล แต่ซาอูลยังไม่เข้าใจ สังเกตุว่าซามูเอลยังไม่พูด ชัดเจนเรื่องตั้งซาอูลเป็นกษัตริย์ จนกระทั่งวันรุ่งขึ้น พูดกันเป็นการลับ

9:22 เป็นเรื่องน่าสนใจสำหรับคริสตจักรปัจจุบันด้วย"....เข้าไปในห้องโถงให้ นั่งในตอนต้นที่นั่งสำหรับผู้ที่รับเชิญ ซึ่งมีประมาณ 30 ที่นั่ง" ในคริสตจักรของเรา ควรจะกันที่ไว้สำหรับบุคคลที่เหมาะสม คือ ผู้ที่มีความเชื่อสูง มีความเชื่อแบบ เดียวกันกับเรา หรือเป็นผู้รับใช้ที่ยอบรับหรือเป็นผู้เผยพระวจนะ ผู้พยากรณ์ ครู บาอาจารย์ หรือกรรมการคริสตจักร ผู้นำคริสตจักร ผู้ที่เกี่ยวข้องเท่านั้น และอื่นๆ ที่เห็นสมควร เหตุผลหลัก ไม่ใช้เพราะแบ่งแยก แต่เพื่อทำให้พระเจ้าทรงพอพระทัย และทำให้พระเจ้าทรงเครื่องไหวในสถานที่นั้น และฤทธิ์เดชของพระเจ้าจะทำการได้มากยิ่งขึ้น ท่านจะเห็นการอัศจรรย์มากขึ้น และเด่นชัด มิสคูแมนส์ ผู้รับใช้ ใหญ่ในยุค ปี 1950 ไม่ยอมให้บุคคลอื่นนั่งแถวหน้าสุดเลย ยกเว้นคนที่ท่านได้ กำหนดไว้ เพื่อพระวิญญาณของพระเจ้าจะทรงนำท่านอย่างมาก ในการเทศนา และการวางมือ

ในข้อ 23-24 ซามูเอลยังได้จัดเตรียมอาหารไว้ล่วงหน้าแล้ว สำหรับซาอูล

หลังจากนั้น ซาอูลและคนของเขา ได้ไปนอนที่บ้านของซามูเอล นอนบนดาดฟ้า (ข้อ 26) เมื่อซามูเอลไปส่งซาอูล ซามูเอลให้คนของซาอูล เดินไปข้างหน้าก่อน แล้วจึงบอกซาอูลเรื่องกษัตริย์ และเจิมซาอูล

บทที่ 10:1-6 ซามูเอลเจิมตั้งซาอูลแล้ว ได้บอกซามูลด้วยของประทานถ้อยคำอันประกอบด้วยความรู้ ถึงหมายสำคัญ สามอย่างที่เขาจะพบในวันนั้น ซามูเอลพูดละเอียดมาก โดยเฉพาะในข้อที่ 3 และหมายสำคัญทั้งสามอย่างเกิดขึ้นกับซามูลในวันนั้น เหตุที่ซามูเอลให้หมายสำคัญแก่ซาอูล เพื่อสำแดงให้ซาอูลเชื่อว่าซามูเอลเป็นคนของพระเจ้าจริง การเจิมตั้งเป็นกษัตริย์เป็นมาจากพระเจ้าจริง ข้าพเจ้าอยากเห็นผู้พยากรณ์ที่ชัดเจนอย่างซามูเอลนี้เกิดขึ้นในคริสตจักรของเรา

ข้อ 7 "เมื่อหมายสำคัญเหล่านี้เกิดแก่ท่านแล้วจงกระทำอะไรตามแต่มีโอกาสเถิด เพราะพระเจ้าทรงสถิตกับท่าน" เราพบในภายหลังว่า ซาอูลทำอะไรก็ไม่ใช่ถูกต้องตามแผนการและน้ำพระทัยพระเจ้าเสมอไป อาจเพราะความโง่เขลาและขาดความเข้าใจในพระเจ้า แม้ว่าซามูเอลจะเป็นผู้เผยพระวจนะให้ซาอูลว่า ต้อง ทำอะไร อย่างไร เขาก็ยังทำไม่ถูกต้องและครบถ้วนตามที่ทรงบัญชา ซาอูลก็มีเนื้อหนังอยู่ไม่น้อยทีเดียว ข้าพเจ้ายกพระคำข้อนี้ให้ท่านดู เพราะว่าข้าพเจ้าเอง คิดว่าตัวเองพบว่า คริสเตียนจำนวนมากถือว่าตัวเองมีพระวิญญาณบริสุทธิ์ พูดในส่งที่ตัวเองคิดว่าตัวเองถูก โดยเฉพาะผู้รับใช้ที่เป็นคริสเตียนมานาน และผู้เผยพระวจนะ (ข้าพเจ้าอยู่ในท่ามกลางผู้เผยพระวจนะเป็นสิบคน) บางครั้งพวกนี้ทำให้ข้าพเจ้ามีปัญหาเข้ามาถึงตัวโดยไม่จำเป็น บางครั้งคำเผยพระวจนะของพวกเรา ก็ช้ากว่าการทรงนำพยานภายในข้าพเจ้าตั้งหลายเดือน ข้าพเจ้าขอบอกตรงนี้ว่า ถ้าผู้เผยพระวจนะที่ยอมรับโดยทั่วไปแล้ว เคยเผยฯถูกต้องมา 1000 ครั้ง ติดต่อกัน ไม่ได้หมายความว่า ครั้งที่ 1001 ของเขาจะไม่ถูกวินิจฉัย

ข้อที่ 9 เมื่อซาอูลจากซามูเอลมา พระเจ้าประทานวิญญาณอีกอันหนึ่งให้แก่ซามูล ไม่ได้หมายความว่า พระเจ้าประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้กับซาอูล และ หมายสำคัญทั้งสามก็เกิดขึ้นกับซามูลในวันนั้น หมายสำคัญสองอันแรกไม่ได้ บรรยายไว้

ข้อ 10 เมื่อซาอูลพบหมู่ผู้เผยพระวจนะ พระวิญญาณลงมาสวมทับซามูล ซาอูลก็เผยพระวจนะ สมัยก่อนวันเพ็นตาครอส พระวิญญาณไม่ได้สถิตอยู่ภายในวิญญาณของเรา เหตุการณ์นี้เราใช้ในการสร้างผู้เผยพระวจนะภายในคริสตจักรของเราด้วย โดยให้ผู้ที่เหมาะสม อยู่ท่ามกลางผู้เผยพระวจนะหลายๆคน ผู้ที่เหมาะสมนี้ ไม่ใช่ว่าใครก็ได้ ในพระคำตอนนี้ หมู่ผู้เผยพระวจนะเป็นนักเรียนของซามูเอล ในเวลานั้นพวกเขาอาจเผยพระวจนะพร้อมๆกัน การเผยฯพร้อมกันไม่ผิด(จะเขียนเรื่องนี้ในบทความอื่น) ข้อที่ 12 คำว่า "บิดา" หมายถึง อาจารย์ ข้อ 14 ลุงของซาอูล คือ อับเนอร์( ดู บทที่ 14:50 ) ภายหลังมาเป็นแม่ทัพของซาอูล

ข้อ 17 ซามูเอลเรียกประชุมอิสราเอลที่เมืองมิสปาห์ อีก ข้อ 19-22 เป็น เหตุการณ์ที่น่าสนใจเกี่ยวกับการทรงนำของพระเจ้า อิสราเอลมี 12 เผ่า และแต่ละเผ่ายังประกอบด้วยหลายๆตระกูล แต่ละตระกูลมีคนจำนวนมาก ซามูเอล เรียก 12 เผ่าเข้ามาใกล้ จับฉลากได้เผ่าเบนยามิน ให้ตระกูลต่างๆของเบนยามินมาใกล้ เลือกได้ตระกูลมัตรี จากตระกูลมัตรี เลือกได้ ซาอูลเป็นกษัตริย์

ทำไมซามูเอลต้องทำอย่างนี้ในเมื่อพระเจ้าบอกแล้วและให้เจิมตั้งซาอูล แล้วถ้าซามูเอลบอกประชาชนว่า พระเจ้าทรงเจิมตั้งซาอูลเป็นกษัตริย์ ประชาชนก็คงเชื่อ เพราะซามูเอลเป็นที่นับถื่อมากอยู่แล้ว เขาทำอย่างนี้เพื่อเป็นการแสดงความบริสุทธิ์ใจ และอีกเหตุผลหนึ่งอยู่ในคำเผยฯข้างล่างนี้ชัดเจนอยู่แล้ว

อีกคำถามหนึ่ง คือ ซามูเอลใช้วิธีจับฉลากเลีอกกษัตริย์แบบนี้ ไม่กลัวพลาดหรือ ถ้าจับฉลากไม่ได้เผ่าเบนยามิน ก็ไม่ได้ซาอูล แล้วจะทำอย่างไร ถ้าท่านเป็นซามูเอล ท่านกลัวเรื่องนี้ไหม ถ้าท่านอ่านพระคัมภีร์ช่วงนี้ให้ดี ท่านจะเห็นว่าซามูเอลไม่มีความวิตกกังวลเลย

ข้าพเจ้าเชื่อว่า คำว่าจับฉลากนั้น หมายถึงโดยใช้อูริมและทูมมิม เรื่องนี้พระเจ้าทรงปิดซ่อนไว้ในโบราณกาล แต่ไม่ได้ปิดซ่อนสำหรับสมัยนี้(โปรดอ่าน สอน 8 บทที่ 2 เรื่องอูริมและทูมมิม) เหตุการณ์การใช้ฉลากหรือบางทีใช้แค่คำว่า เลือกได้ มีมากในพระคัมภีร์ เชื่อแน่ว่าส่วนใหญ่เกี่ยวกับอูริมและทูมมิม ซามูเอลมีอูริมและทูมมิมของแท้ อยู่ในมือ และเขาเคยใช้อยู่เป็นประจำ และส่องแสงให้ รู้ถูกหรือผิด ไม่ใช่การจับอูริมหรือทูมมิมขึ้นมาอันใดอันหนึ่ง ก็ถือว่าเป็นหัวหรือก้อย และการเรียกอิสราเอล 12 เผ่า มาเพื่อดูการทรงนำของพระเจ้าที่แท้จริง เพื่อจะบอกว่า เขาไม่ได้โกหก เป็นการสำแดงความบริสุทธิ์ใจอย่างหนึ่งด้วย เรื่องเหล่านี้ พระเจ้าปิดซ่อนไว้ตั้งแต่สมัยโมเสส ไม่ได้บันทึกไว้ว่าความเป็นมาอย่างไร จึงไม่แปลกที่ พระคัมภีร์ตอนหลังนั้น ไม่ได้กล่าวชัดเจน

ข้อ 21-24 เขาหาซาอูลไม่พบ ซามูเอลสำแดงของประทานถ้อยคำอันประกอบด้วยความรู้อีกครั้งหนึ่ง เมื่อพระเจ้าบอกว่า ซาอูลแอบซ่อนอยู่ที่ใด

ข้อ 25 น่าสนใจสำหรับคริสตจักรสมัยนี้ด้วย เมื่อซามูเอลแจ้งสิทธิและอำนาจ ของพระราชาให้อิสราเอลฟังแล้ว "...ท่านบันทึก(คำเหล่านั้นที่ท่านพูด) ไว้ใน หนังสือและวางถวายแด่พระเจ้า" ท่านจะบอกว่าการรับใช้ในคริสตจักรปัจจุบันนี้ ไม่ต้องทำรายงานก็ได้ ไม่ได้ คริสตจักรทั่วไปอาจทำรายงานเพื่อมนุษย์ แต่คริสตจักรฝ่ายวิญญาณจะต้องทำรายงานเพื่อพระเจ้า

ศุกร์ 3-2-95 21:25 น. คำเผยพระวจนะโดยอัจฉรีย์

ลูกเอ๋ย สิ่งหนึ่งที่เป็นลักษณะโด่ดเด่นที่เจ้าทั้งหลายจะต้องรู้จักยึดและปฏิบัติตาม บรรพบุรุษของเจ้าคือซามูเอล ซึ่งเขาเป็นคนของพระเจ้าที่ถูกต้องและชัดเจนที่สุดในน้ำพระทัยของเราลูกเอ๋ย ลักษณะที่โด่ดเด่นของเขาเจ้าทั้งหลายจะต้องพึงรักษาและปฏิบัติตาม นั่นคือการไม่โอ้อวดในสิ่งใดๆ ที่ในตัวของเขามีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นถ้อยคำใดๆ ที่เขาให้กับผู้หนึ่งผู้ใด ก็จะเกิดขึ้นกับบุคคลนั้น และระหว่างเขากับคนเหล่านั้นเท่านั้นเองลูกเอ๋ย เหมือนดังเจ้าทั้งหลายทุกคน ขึ้นอยู่กับเราองค์พระผู้เป็นเจ้า คือเจ้ากับเราเท่านั้นเองลูกเอ๋ย ลักษณะของซามูเอลเจ้าจะเห็นในลักษณะเช่นนี้อย่างชัดเจน การที่เขาได้เจิมและเขาได้พูดกล่าวถ้อยคำของเราองค์พระผู้เป็นเจ้ากับซาอูลว่า ซาอูลคือผู้ที่พระเจ้าได้เจิมตั้งไว้เป็นกษัตริย์ของชนชาติอิสราเอลลูกเอ๋ย เหล่านี้เขารู้กับซาอูล แต่เวลาหมายสำคัญหมายกำหนดการที่ดำเนินออกมาท่ามกลางสายตาประชาชนนั้นลูกเอ๋ย เขาดำเนินการอย่างบริสุทธิ์และขาวสะอาด ให้คนทั้งหลายได้เห็นถึงความจริง และสิ่งที่ยิ่งใหญ่นั้น ไม่ว่าการใดๆก็ตาม จะต้องเกิดขึ้นตามน้ำพระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้า ถ้อยคำใดที่เราตรัสออกไปจะต้องเกิดตามนั้น ไม่ว่าเจ้าจะเดินอยู่ในรูปลักษณ์ลักษณะการใดก็ตาม ดำเนินวิถีทางใดก็ตาม ทุกอย่างจะเป็นบทสรุปออกมานั้น เหมือนตอนจบที่เราแจ้งไว้ทั้งสิ้นลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญที่เจ้าจะพึงปฏิบัติก็คือ อย่าโอ้อวดในสิ่งใดๆ ที่มีจากเราองค์พระผู้เป็นเจ้า คนทั้งหลายจะเข้ามาหาเจ้าเองลูกเอ๋ย เพราะเขารู้ว่า เจ้ามีถ้อยคำของเราองค์พระผู้เป็นเจ้า เจ้ามีสิ่งดีจากเราองค์พระผู้เป็นเจ้าประทานให้กับเจ้าทั้งหลายทุกคน ผู้ที่มีของประทานในเราลูกเอ๋ย สิ่งสำคัญอย่าโอ้อวดในสิ่งใดๆทั้งสิ้นลูกเอ๋ย ทำทุกอย่างตามน้ำพระทัยของเรา ตามถ้อยคำของเราที่ส่งมาและบัญชามาสู่ยังเจ้าทั้งหลายทุกคนลูกเอ๋ย นี่คือลักษณะที่ชัดเจน และสามารถพิสูจน์ได้ทั้งสิ้น ในเวลาเดียวกัน การกระทำอย่างนั้นก็คือการพิสูจน์ตัวของเขาเองว่า ถ้อยคำที่เขาได้กล่าวกับซาอูลนั้น เป็นความจริง และเจ้าจงรู้เถิดว่า ซาอูลยิ่งเพิ่มความเกรงกลัวในซามูเอลมากขึ้นลูกเอ๋ย เพราะเขาเห็นแล้วว่า ซามูเอลบอกกับเขาเช่นนั้น แต่แล้วการปฏิบัติอีกลักษณะหนึ่ง นำบรรดาประชาชนมาอย่างมากมาย แต่สุดท้ายผลสรุป ก็ต้องออกมาอยู่ที่ตัวของเขา มันทำให้ความชัดเจนในเราองค์พระผู้เป็นเจ้า เพิ่มพูนกับซาอูลโดยเฉพาะ และ เป็นอย่างชัดเจนและชัดแจ้งลูกเอ๋ย การเหล่านี้นั้นจึงสร้างความยำเกรงในเราองค์พระผู้เป็นเจ้าให้เกิดในซาอูลอย่างมากมายลูกเอ๋ย นี่คือลักษณะหนึ่งที่เราบอกให้เจ้ารู้จักที่จะสังเกตุ และเข้าใจในสิ่งทั้งหลายทุกอย่างที่เรานำพาให้กับเจ้าเวลานี้ ลูกเอ๋ย มันมิได้แตกต่างกันเลยลูกเอ๋ย และสิ่งสำคัญพวกเจ้าทั้งหลายทุกคนได้รับสิ่งดีจากเราองค์พระผู้เป็นเจ้า การทรงนำจากเราองค์พระผู้เป็นเจ้านั้น ชัดเจนและแม่นยำยิ่งกว่าซามูเอลยิ่งนักลูกเอ๋ย เราบอกเจ้าให้เข้าใจในเวลาเหล่านี้ เพราะฉะนั้นจงเก็บรักษาสิ่งดีที่เราให้กับเจ้าทั้งหลายทุกคนเอาไว้ แล้วนำออกมาสร้างความจำเริญให้กับพระกายของเรา ตามน้ำพระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้าเถิดลูกเอ๋ย โดยเฉพาะพระบิดาเจ้าผู้ทรงสถิตฟ้าสวรรค์ เพราะทั้งสิ้นเหล่านี้ล้วนเป็นน้ำพระทัยของพระองค์ และ พระประสงค์ของพระองค์ และแผนการทั้งสิ้นของพระองค์ ที่จะนำพาบรรดาประชากรของพระองค์ สู่ความสว่างและสดใสอย่างแท้จริงลูกเอ๋ย

ศุกร์ 3-2-95 21:25 น. คำเผยพระวจนะโดยพิมพ์พรรณ

การที่ซาอูลต้องหนีไปหลบซ่อนหน้านั้น ไม่ใช่ว่าเขาจะมีความอายหรอกลูกเอ๋ย ในการที่หลบซ่อนหน้านั้น เพราะจิตวิญญาณของเขารู้อยู่แล้วว่า เขาจะต้องได้เป็นกษัตริย์เหนือชนชาติอิสราเอล การที่หลบซ่อนหน้านั้น เพราะเขามีความยำเกรงและถ่อมใจในเราองค์พระผู้เป็นเจ้าลูกเอ๋ย แต่ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ใด ฉายแสงแห่งความเป็นกษัตริย์ของเขา ก็ยังเปล่งออกมาลูกเอ๋ย

___________จบคำเผยฯ___________

บทที่ 11 ซาอูลรบกับอัมโมน

บทที่ 12:1 ซามูเอลพูดว่า "ข้าพเจ้าได้ฟังเสียงของท่านทุกเรื่อง" ตามที่พระเจ้าบัญชาซามูเอล ท่านที่เป็นคนของพระเจ้าก็ต้องทำเช่นนี้เช่นกัน ข้อ 2 ซามูเอลบอกว่า เขาชราแล้ว ตอนนี้ซามูเอลมีอายุประมาณ 60 ปี "...และดูเถิด บุตรของข้าพเจ้าก็อยู่กับท่านทั้งหลาย" ประโยคนี้หมายความได้หลายอย่าง อาจหมายถึงบุตรทั้งสองของซามูเอลที่คดโกงให้อยู่ในการพิจารณาดูแลของคนอิสราเอล หรือ บุตรได้เป็นประชาชนธรรมดาแล้ว โดยซามูเอลได้ปลดจากการเป็นปุโรหิต อ่านจนถึง ข้อ 18 ในข้อ 11 คำว่า "เยรุบบาอัล" หมายถึง "กิเดโอน" ข้อ 17 ซามูเอลพูดว่า "ข้าพเจ้าจะร้องทูลต่อพระเจ้า ขอพระองค์จัดส่งฟ้าร้องและฝน" ข้อ 18 "และพระเจ้าทรงส่งฟ้าร้องและฝนมาในวันนั้น ประชาชนก็เกรงกลัวพระเจ้าและซามูเอลยิ่งนัก"

ข้อ 20 ซามูเอลพูดกับอิสราเอลว่า "ท่านทั้งหลายได้กระทำความชั่วนี้ทั้งสิ้นจริงๆแล้ว" กระทำชั่วอะไร "คือขอให้มีพระราชาสำหรับคนอิสราเอล" (ข้อ 19)

ข้อ 23 เป็นคำถ่อมใจและทำที่ดี "อย่าให้ข้าพเจ้ามีวี่แวว ที่จะหยุดอธิษฐานเพื่อท่าน เกรงว่าข้าพเจ้าจะทำบาปต่อพระเจ้า"

บทที่ 13:1 แปลจากคิงส์เจมส์ได้ดังนี้ "เมื่อซาอูลขึ้นครองราชสมบัติ 1 ปี และเมื่อพระองค์ทรงปกครอง อิสราเอล 2 ปี" ในข้อ 2 เมืองมิคราซ อยู่ทางเหนือของเยรูซาเล็ม 9 ไมล์ บทน้เป็นความล้มเหลวของซาอูล ซาอูลคัดเลือกทหารได้ 3,000 คน (ข้อ 2) ไม่ได้ใช้วิธีเกณฑ์อย่างคราวแรก (บทที่ 11:6-8) ทั้งขู่และเกณฑ์มารบได้ 330,000 คน ในจำนวน 3,000 คน แบ่งทหารให้โยนาธาน ลูกชายของซาอูล 1,000 คน ข้อที่ 5 ฟีลิสเตียมีรถรบและพลม้า 36,000 "และกองทหารนั้นก็มากมายเหมือนทรายที่ฝั่งทะเล" รวมทั้งหมดอาจหลายแสนคน ในข้อที่ 8 ซาอูลคอยซามูเอลที่กิลกาล 7 วัน เพื่อถวายเครื่องเผาบูชาแด่พระเจ้า พระคัมภีร์ทั้งไทยและอังกฤษ อ้างอิงถึง การนัดหมายเมื่อครั้ง 1 ซมอ 10:8 ตอนที่ซามูเอลเจิมตั้งซาอูลเป็นกษัตริย์สองต่อสอง แต่ข้าพเจ้าเชื่อว่า เป็นการนัดหมายคนละอันกัน เป็นการนัดใหม่อีกครั้งหนึ่ง

เมื่อซาอูลคอยซามูเอลอยู่ 7 วัน ซามูเอลก็ยังไม่มา ซาอูลจึงถวายเครื่องเผาบูชาเอง อาจจะเป็นวันที่ 8 หรือวันที่ 7 นั่นเอง พระคัมภีร์ไม่ได้บอก ความตอนนี้เป็นที่น่าสนใจสำหรับคริสเตียนปัจจุบันด้วย และซาอูลได้ทำผิดหลายอย่าง หนึ่งไม่รอคอยพระเจ้าให้ถึงที่สุด คือ รอคอยซามูเอล ถ้าวันที่เผาเครื่องบูชาเป็นวันที่ 7 ตอนเย็น ซาอูลยิ่งแย่ใหญ่ สอง ซาอูลไม่มีหน้าที่เผาเครื่องบูชาแด่พระเจ้า

สังเกตุว่า ซาอูลซึ่งเป็นกษัตริญืยังคำนับซามูเอล (ข้อ 10) ซาอูลเป็นบุคคลที่น่าสงสารและโง่เขลา เมื่อซามูเอลตำหนิเขา เขาก็พูดโต้ตอบแบบโง่ๆซื่อๆ (ข้อ 11-13) ซาอูลกลัวฟีลิสเตีย เพราะฟีลิสเตียตั้งทัพอยู่มิคมาช ซาอูลอยู่ที่กิลกาล (อยู่เหนือทะเลเกลือ) (อยู่ทางตะวันออกของเยรูซาเล็ม) สองเมืองนี้จึงห่างกันไม่กี่สิบกิโลเมตร การครั้งนี้เองทำให้ซามูเอลเผยพระวจนะในข้อ 14 ว่า "แต่บัดนี้ราชอาณาจักรของท่านจะไม่ยั่งยืน" สังเกตุว่า ยังไม่ได้พูดว่าถอดออกจากการเป็นกษัตริย์

ยังไม่ทันรบ จากทหาร 3,000 คน ก็เหลือแค่ 600 คน (ข้อ 15) อาวุธก็ไม่ค่อยมี (ข้อ 19-23)

เมื่อเราอ่าน บทที่ 14 เราจะรู้สึกว่าไม่มีอะไร ธรรมดาๆ แต่บทนี้มีความสำคัญสำหรับชีวิตของคริสเตียน ในปัจจุบันนี้ ถึงการทรงนำของพระเจ้า ที่จริงบทนี้ไม่เกี่ยวกับซามูเอล

โยนาธานกับทหารอีกคนหนึ่ง ได้แอบออกไปค่ายของกองทัพฟีลิสเตีย โดยไม่ให้ซาอูลรู้ ในข้อ 3 อาหิยาห์ เหลนของเอลี (เชื้อสายของเอลี) อยู่กับซาอูล ทำหน้าที่เป็นปุโรหิตให้ซาอูล

ข้อ 8 โยนาธานพูดว่า เขาจะแสดงตัวให้ศัตรูเห็น ถ้าศัตรูพูดว่า ให้โยนาธานยืนอยู่ตรงนั้น เดี๋ยวจะลงไปรบกัน โยนาธานก็จะยืนอยู่ตรงนั้น แต่ถ้าศัตรูพูดว่า ให้โยนาธานปีนเขาขึ้นมาแล้วรบกัน โยนาธานก็จะขึ้นไปด้วยความยินดี อธิบายง่ายๆก็คือ โยนาธานขอหมายสำคัญจากพระเจ้า ถ้าศัตรูพูดว่า ยืนอยู่นั่น แสดงว่า เขาแพ้แน่ ถ้าศัตรูพูดว่า ขึ้นมาซิ แสดงว่า พระเจ้าจะทรงช่วยโยนาธานให้ชนะ ข้อ 10 คำว่า "...เป็นสัญญาแก่เรา" คิงส์เจมส์ใช้คำว่า sign แปลว่า หมายสำคัญ โยนาธานมีแค่สองคน จะขึ้นไปสู้รบกับคนฟีลิสเตียทั้งกองทัพ โยนาธานมีความเชื่อว่าถ้าพระเจ้าอยู่ฝ่ายเขา เขาจะชนะได้ และเพราะความเชื่อของโยนาธานนี้เอง พระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานขอนี้ เมื่อศัตรูพูดกับเขาว่า ขึ้นมาซิ โยนาธานได้พูดด้วยความเชื่ออีกครั้งที่สองว่า "...พระเจ้าทรงมอบเขาไว้ในมืออิสราเอลแล้ว" (ข้อ 12) ข้อ 13 "คนเหล่านั้นก็ล้มตายหน้าโยนาธาน" พระเจ้าอาจเป็นผู้ทำลายคนเหล่านั้น ไม่ใช่โยนาธาน พระเจ้าส่งแผ่นดินไหว (ข้อ 15) ทำให้คนฟีลิสเตียตกใจและพ่ายแพ้ (ทั้งหมดเป็นการทำการของพระเจ้า ดูในข้อ 23) พระเจ้าไม่ได้ทรงช่วยแค่โยนาธานตอนแรก ยังช่วยจนได้ชัยชนะอย่างเด็ดขาด

ข้อ 16 กองทัพของซาอูลได้ยินเสียงวุ่นวายในกองทัพของฟีลิสเตีย เมื่อตรวจดูรู้ว่า โยนาธานและผู้ถืออาวุธของโยนาธานหายไป ข้อ 18 ซาอูลให้นำหีบพันธสัญญามา เพื่อใช้นำหน้ากองทัพ ข้อ 19 ซาอูลกำลังคุยอยู่กับปุโรหิต คือ อาหิยาห์ เชื่อว่ากำลังจะขอการทรงนำจากพระเจ้า อาจจะขอการทรงนำโดยการเผยพระวจนะ ว่าจะทำอย่างไรดี หรืออาจจะรวมทั้งของการทรงนำโดยอูริมและทูมมิม เพราะข้อ 19 ซาอูลพูดว่า หดมือไว้ก่อน (withdraw thine hand) ปุโรหิตจะมีถุงผ้าห้อยอยู่ที่หน้าอก บรรจุอูริมและทูมมิม (ดูในโมเสส ตอนที่แต่งตัวอาโรน) ซาอูลกำลังขอการทรงนำ แต่ได้ยินเสียงโกลาหลมากขึ้นก็ไม่ขอการทรงนำแล้ว ออกไปรบเลย (ระวังชีวิตคริสเตียนของท่านให้ดี เมื่อท่านพบปัญหาชีวิตที่วุ่นวาย จนท่านไม่แสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้า หรือ แสวงหาการทรงนำของพระเจ้า หรือแสวงหาเพียงนิดเดียว) เมื่อออกรบ พระเจ้าทรงช่วยอีก (ช่วยเพราะเห็นแก่ความเชื่อของโยนาธาน) ข้อ 20 "...ดาบของทุกคนก็ต่อสู้เพื่อนของตน" ทหารของซาอูลมีแค่ 600 คน เมื่อกองทัพเข้าปะทะกัน พระเจ้าทรงจัดให้ทหารแต่ละคน ไปปะทะดาบกับคนที่ตัวเองเคยรู้จัก เป็นคนอิสราเอลที่เคยถูกจับถูกเกณฑ์ไปอยู่กับคนฟีลิสเตีย และพระเจ้าให้หันกลับใจมาเข้ากับพวกอิสราเอล (กองทัพซาอูล) (ข้อ 21) คนอิสราเอลที่นอกจาก 600 คนแล้ว ที่ซ่อนอยู่ก็ออกมาช่วยรบด้วย และ ข้อ 23 "พระเจ้าทรงช่วยกู้อิสราเอลในวันนั้น" เพราะความเชื่อของโยนาธาน

แต่ซาอูลยังไม่พอใจ จะตามฆ่าศัตรูอีก (ข้อ 24) โดยออกคำสั่งว่า ไม่ให้ใครกินอาหารใดๆจนกว่าจะเสร็จงาน แต่ทหารอ่อนเพลียมากแล้ว โยนาธานไม่รู้เรื่องคำสั่งนี้ จึงรับประทานน้ำผึ้ง (ข้อ 27) โยนาธานรู้ทีหลัง พูดว่า "บิดาของข้ากระทำให้แผ่นดินลำบาก" (ข้อ 29) จะยิ่งแย่แค่ไหน ถ้าสมาชิกคริสเตียนในคริสตจักรพูดว่า "ท่านทำให้พี่น้องต้องลำบาก" เพราะคำสั่งที่ใช้การไม่ได้ ทำให้ทหารที่หิวโซของเขาต้องทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องในสายพระเนตรของพระเจ้า โดยดื่มเลือดแทนน้ำ (ข้อ 32) ถ้าท่านเป็นผู้ปกครองคริสตจักร ให้ระมัดระวังคำสั่ง หรือกฎระเบียบของท่านให้ดี อย่าทำให้สมาชิกต้องเลี่ยงไปทำอย่างอื่น อย่างอื่นนั้น อาจไม่เป็นที่ชอบในสายพระเนตรของพระองค์ เมื่อซาอูลรู้เข้า พูดว่า เจ้าได้ประพฤติอย่างทรยศแล้ว" (ข้อ 33)

ศุกร์ 24-2-95 20:50 น. คำเผยพระวจนะโดยอัจฉรีย์

นี่แหละคือการสำแดงที่เราได้สำแดงให้เจ้าทั้งหลายทุกคน ได้เห็นถึงการทรงนำของเราองค์พระผู้เป็นเจ้า เห็นถึงความแตกต่างของมนุษย์แต่ละคนที่ได้รับการทรงนำของเราองค์พระผู้เป็นเจ้า และเห็นถึงการเมินเฉย และละเมิดในการทรงนำ และนั่นหมายถึงสิ่งที่เราได้สัญญาให้กับเจ้าทั้งหลายทุกคนลูกเอ๋ย ลักษณะต่างๆ เราได้แยกแยะให้เจ้าได้เห็น ได้ยินและได้ฟัง ด้วยตาและหูของเจ้าในเวลาเหล่านี้ เพราะฉะนั้นจงรู้เถิดว่าทุกคนที่เคลื่อนไหวกับการทรงนำของเราองค์พระผู้เป็นเจ้า จะต้องมีความชัดเจนในเราองค์พระผู้เป็นเจ้าลูกเอ๋ย ไม่ทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดคลุมเครือกับเราองค์พระผู้เป็นเจ้า ดังเช่น ซาอูล ที่ได้กระทำต่อเราองค์พระผู้เป็นเจ้า การสำแดงท่าทางของเขา ดูว่าเขาเชื่อฟังเราลูกเอ๋ย แต่การปฏิบัติของเขา ไม่มีสิ่งใดเลยที่สำแดงถึงการเชื่อฟังเราลูกเอ๋ย ทุกครั้งทุกขั้นตอนที่เรานำพาให้กับเขา นำสิ่งดีให้กับเขา เขาจะละเมิดและขัดขวางเสมอ และโดยยืนและคิดว่า นั่นคือ ความคิดและความรู้สึกที่ถูกต้องจำเพาะพระพักตร์ของเราลูกเอ๋ย ดังเช่นการที่เราให้เขารอคอย วันวาระที่ซามูเอลจะมาหาเขา 7 วันเขาแล้วถึง 7 วัน เขายังไม่พบ ในสิ่งเหล่านี้ว่า ซามูเอลจะเคลื่อนไหวเข้ามาลูกเอ๋ย นี่ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ให้เห็นแล้วว่า การเพียรสงบใจรอคอยองค์พระผู้เป็นเจ้านั้น ต้องกระทำจริงๆลูกเอ๋ย ซามูลตัดสินใจทำทุกสิ่งทุกอย่างก่อนที่วาระของเราองค์พระผู้เป็นเจ้าจะมาถึง นั่นคือซามูเอลมาถึงเขาลูกเอ๋ย นี่คือสิ่งหนึ่งที่สำแดงอย่างชัดเจนว่า การเฝ้าสงบใจที่จะรอคอยเรา หามีไม่ลูกเอ๋ย เพืยงแค่การเหล่านั้นดำเนินไป 7 วันเท่านั้น ความรู้สึกในการที่จะสงบในการรอคอยเราก็สูญเสียไปลูกเอ๋ย เหล่านี้คือเนี้อหนังทั้งสิ้น ดังที่เราได้สั่งสอนกับเจ้าเสมอว่า จงสงบใจที่จะรอคอยเราและสิ่งสำคัญความบกพร่องในตัว ของซาอูลมีอย่างมากมายเจ้าจะต้องฟังและเจ้าจะต้องระลึกเอาไว้เป็นตัวอย่างในจิตวิญญาณของเจ้าลูกเอ๋ย ไม้ทั้งท่อนอยู่ในตาของเขา เขาหามองเห็นไม่ลูกเอ๋ย ทุกครั้งที่ดำเนินการทุกอย่าง ความคิดไม่ถูกต้อง การกระทำที่ไม่ถูกต้องในสายพระเนตรของเราลูกเอ๋ย แม้แต่การที่เหล่าพลของเขา นำแกะนำสัตว์ต่างๆที่ริบมา ฆ่ารับประทานเสีย สิ่งเหล่านั้นซาอูลก็ไม่รู้ว่าสาเหตุทั้งหมดที่เกิดขึ้นในเวลาเหล่านั้น มาจากตัวของเขา เป็นเหตุให้มีการวิบัติเกิดขึ้นลูกเอ๋ย เขากลับมองเห็นว่า สิ่งเหล่านั้นเป็นความผิดของพวกคนเหล่านั้นเอง แล้วเขาก็ตั้งแท่นบูชาเพื่อให้คนเหล่านั้น ได้ลบความผิดความบาป และได้ขออภัยในเราองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่ไม่ได้กล่าวสักถ้อยคำเดียวว่า ตัวของเขากระทำผิดต่อเราองค์พระผู้เป็นเจ้า มองแต่ว่านั่นคือความผิดของผู้อื่นลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้นในเวลาเหล่านี้ เราจึงบอกให้เจ้าเห็นอย่างชัดเจนว่า จงดูตัวของเจ้าทุกคนลูกเอ๋ย เริ่มต้นสิ่งใดก็ตามกับเราองค์พระผู้เป็นเจ้า จงอยู่ที่ตัวของเจ้ากับเราองค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ต้องวัดตัวของเจ้ากับ ผู้หนึ่งผู้ใดทั้งสิ้นลูกเอ๋ย ไม่ต้องคิดว่า เหตุฉะนั้นสิ่งเหล่านี้ไม่เกิด เพราะผู้หนึ่งผู้นั้นทำในสิ่งเหล่านั้นลูกเอ๋ย ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวของเจ้ากับเราองค์พระผู้ เป็นเจ้าลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้นเราจึงบอกว่า บุตรรับประทานองุ่น บิดาไม่จำเป็นต้องเข็ดฟันลูกเอ๋ย (ยรม 31:29 อสค 18:2) เพราะฉะนั้นในเวลานี้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราองค์พระผู้เป็นเจ้า อยู่กับเจ้า สถิตอยู่กับเจ้าตลอดวันเวลา ทุกอย่างของการทรงนำของเราที่มีในเจ้าทั้งหลายทุกคนนั้น ขึ้นอยู่กับเฉพาะตัวบุคคลลูกเอ๋ย

ข้อ 36 ซาอูลพูดขอความเห็นกับทหารว่า ควรจะตามฟีลิสเดียไปหรือไม่ ทหารบอกว่า แล้วแต่ท่าน ปุโรหิตบอกว่า ให้ถามพระเจ้า เมื่อซาอูลถามพระเจ้า พระเจ้าไม่ตอบ (ข้อ 37) ยิ่งแสดงให้เห็นว่าพระเจ้าทรงช่วยกู้เพราะโยนาธาน เมื่อพระเจ้าไม่ทรงตอบ ข้อ 38 ซาอูลกลับหันมาเล่นงาน คนที่กินอาหารตอนสู้รบ (ข้อ39) คือโยนาธาน แต่ไม่เห็นมีทหารที่กินเนื้อและเลือดในข้อ 32 รวมอยู่ด้วยเลย ประชาชนไม่เล่นด้วยกับซาอูล ข้อ 40-42 ซาอูลขอการทรงนำจากพระเจ้า เรื่องโยนาธาน โดยวิธีอูริมและทูมมิม ในพระคัมภีร์ใช้คำว่า ฉลาก ผลคือ โยนาธานผิด แต่เราทั้งหลายเห็นแล้วว่า โยนาธานไม่ได้ผิด อธิบายได้ว่าอูริมและทูมมิม ในมือของปุโรหิตของซาอูลเป็นของปลอม ทำเทียมเลียนแบบ (ตามคำเผยฯ สั่งสอนโดยพระเจ้า อ่านบทที่ 2) เพราะมีของแท้เพียงคู่เดียว และอยู่ในมือของซามูเอล

บทที่ 15 พระเจ้าทรงให้โอกาสซาอูลทำพระราชกิจที่สำคัญให้พระองค์ แต่ซาอูลไม่รู้ว่าสำคัญแค่ไหน พระเจ้าจะทรงให้คำเผยพระวจนะของพระองค์สำเร็จ ที่พระองค์ทรงตรัสไว้แล้ว 500 ปี ใน อพย 17:14 และ กดว 24:20 พระเจ้าจึงทรงใช้ให้ซามูลเอลไปหาซาอูล แล้วเผยพระวจนะว่า ข้อ 2-3 "เราลงโทษอามาเลขในการที่สกัดทางอิสราเอล เมื่อเขาออกจากอียิปต์" ให้ซาอูลไปทำลายล้างอามาเลข ในคิงส์เจมส์ข้อ 2 คำตรัสหนักกว่า แปลได้ดังนี้ "เราจำได้ ถึงสิ่งที่อามาเลขกระทำต่ออิสราเอล ว่าพวกเขาวางตัวอย่างไร รอคอยอิสราเอลตามทาง ที่อิสราเอลได้ออกมาจากอียิปห์" (I remember that which Amalek did to Israel, how he laid wait for him in the way, when he came up from Egypt)

ข้อ 4-9 ซาอูลทำตามพระบัญชา แต่ไม่สมบูรณ์ ไม่ครบถ้วน ข้อที่ 6 ซาอูล บอกให้คนเคไนต์อยู่ในอามาเลข ออกไป เพื่อไม่ถูกทำลายไปด้วย โปรดอ่าน อพย 18:9-19 และ กดว 10:29-32 เข้าใจว่าคือ คนมีเดียน

ข้อที่ 10 ซามูเอลอยู่บ้านไม่รู้เรื่อง จนพระเจ้ามาตรัสบอก เรื่องที่ซาอูลกระทำการไม่สำเร็จ ข้อที่ 11"...ซามูเอลก็โกรธ จึงร้องทูลต่อพระเจ้าคืนยังรุ่ง" หมายความว่า ซามูลเอลทุกข์ใจที่ถ้อยคำของพระเจ้าไม่สำเร็จครบถ้วน ไม่ได้สนใจเรื่อง อามาเลข เขาอธิษฐานเฝ้าพระเจ้าทั้งคืน ข้อ 11 ประโยคแรก "เราเสียใจแล้ว ที่....." คิงส์เจมส์ใช้คำว่า "It repenteth me..." It หมายถึงเหตุการณ์นั้น me หมายถึงพระเจ้า repent แปลได้หลายอย่าง แปลว่า กลับใจ, หันกลับ, เสียใจ ประโยคนี้ แปลว่า "มันทำให้เรากลับพระทัย" ที่เราตั้งซาอูลเป็นกษัตริย์ พูดง่ายๆ ว่า เปลี่ยนใจ (ดูบทความเรื่อง พระเจ้ากลับพระทัย)

ต่อจากนั้นซามูเอลก็ไปต่อว่าซาอูล ซาอูลยังเถียงอยู่ 2-3 ครั้ง สุดท้ายอ้างว่า เอาของมาเพื่อถวายต่อพระเจ้า (ข้อ 21) ซามูเอลพูดในข้อ 23 เป็นคำดี ควรขีดเส้นใต้ไว้ พอซามูเอลพูดว่าพระเจ้าทรงถอดซาอูลจากการเป็นกษัตริย์ ซาอูลจึงเลิกเถียง คราวนี้กลัว พูดขออภัย และในข้อความขออภัย ก็ยังโยนความผิดให้คนอื่นด้วย โดยพูดว่า เพราะกลัวประชาชน (ข้อ 24-25) การขอทรงอภัยของซามูล ไม่ได้มาจากใจของเขาเอง

ซาอูลขอให้ซามูเอลกลับไปพร้อมกับเขา เพื่อนมัสการพระเจ้า (ข้อ 25) ซามูเอลไม่ไป ซาอูลยึดชายเสื้อซามูเอลไว้ (ข้อ 27) ซามูเอลบอกซาอูลว่า พระเจ้าไม่เปลี่ยนใจอีกแล้ว ข้อ 29 ใช้คำว่า กลับใจ 2 ครั้ง คิงส์เจมส์ใช้คำว่า repent แต่ซาอูลก็ขอร้องให้ซามูเอลกลับไปกับตน (ข้อ 30) เพื่อไม่ให้เสียหน้าของซาอูล ซามูเอลยอมกลับไปด้วย เพราะเห็นแก่แผ่นดินอิสราเอล และประชาชนอิสราเอล (ข้อ 31)

ข้อ 32-33 ซามูเอลกระทำให้ถ้อยคำของพระเจ้าสำเร็จ แทนซาอูล โดยฆ่าอากัก ซามูเอลไม่ใช่นักรบ ไม่ใช่ทหาร ปรนนิบัติพระเจ้าในพระนิเวศน์ตั้งแต่เด็ก แต่ซามูเอลก็สามารถฟันอากักเป็นท่อนๆ ต่อพระพักตร์พระเจ้าได้ การฟันสัตว์สำหรับเป็นเครื่องเผาบูชา กับฟันคนเป็นท่อนๆ ความรู้สึกย่อมไม่เหมือนกัน เหมือนการกินเนื้อคน กับเนื้อสัตว์ ย่อมต่างกัน และนี่เป็นครั้งเดียวในชีวิตของซามูเอลที่ทำหน้าที่อย่างโยชูวา ในคริสตจักร สมาชิกอย่าคิดว่า ศิษยาภิบาลที่เปี่ยมล้นด้วยเมตตาของพระเจ้า เขาไม่กล้าทำอะไรที่เด็ดขาดกับท่าน ถ้าท่านทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องในสายพระเนตร

ข้อ 35 "ซามูเอลไม่มาพบซาอูลอีกจนวันสิ้นชีพ" "...และพระเจ้าทรงกลับ พระทัยที่ได้ทรงกระทำให้ซาอูลเป็นกษัตริย์เหนืออิสารเอล" ประโยคนี้คล้ายกันกับ ข้อ 11 แต่ภาษาอังกฤษแปลว่า เสียใจ คิงส์เจมส์ ข้อ 11 "It repenteth me that I Have set up Saul to be king" ข้อ 35 เขียนว่า " the Load repented that he had made Saul king over Israel"

บทที่ 16 ข้อ 1 พระเจ้าตรัสกับซามูเอลว่า "เจ้าจะทุกข์ใจอีกนานเท่าใด" แล้วพระเจ้าก็ทรงใช้ซามูเอลไปหาเจสซี เพื่อเจิมตั้งดาวิดเป็นกษัตริย์ แต่พระเจ้า ยังไม่ได้บอกซามูเอลว่า ชื่อ ดาวิด ข้อที่ 2 ซามูเอลทูลพระเจ้าว่า ถ้าซาอูลรู้เรื่องว่า ตนจะไปเจิมตั้งคนอื่นเป็นกษัตริย์ ซาอูลต้องฆ่าซามูเอลแน่ ซามูลเอลพูดถึงธาตุแท้ ของซาอูล และพระเจ้าก็ไม่ปฏิเสธ พระเจ้าได้เลี่ยงไม่ใช่การโกหก โดยให้ซามูเอลบอกว่า จะไม่ถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้า

ผู้รับใช้บางคนบอกว่า พระเจ้าจะทำการและบอกเขาถึงวินาทีวาระที่จะทรงสำแดง บางคนบอกว่า พระเจ้าบอกล่วงหน้าตลอด ท่านเห็นแล้วว่า พระเจ้า ใช้ทั้งสองวิธีผสมกัน ตามความเหมาะสม

ข้อ 7 มนุษย์มองแต่ภายนอกไม่สามารถมองถึงข้างในได้แม้แต่ซามูเอล ถ้า พระวิญญาณของพระเจ้าไม่ได้บอกว่าท่าน ท่านจะไม่รู้เลย เมื่อท่านอ่านถึงข้อ 10 ให้ท่านรู้ว่า บุตรของเจสซีมีทั้งหมด 8 คน รวมทั้งดาวิดด้วย (1 ซมอ 17:12) ข้อ 11 ซามูลเอลพูดว่า เราจะไม่ยอมนั่งถ้างานของพระเจ้านี้ยังไม่เสร็จ ข้อ 12 เมื่อ ดาวิดมาต่อหน้าซามูเอล พระเจ้าก็ทรงตรัสกับซามูเอลให้เจิมตั้งดาวิดเป็นกษัตริย์ ซามูเอลก็เจิมดาวิดต่อหน้าพี่ชายของดาวิด สังเกตว่า ซามูเอลไม่พูดว่า เจิมตั้งดาวิดเป็นกษัตริย์ ดาวิดและคนอื่นๆรู้แต่ว่า พระเจ้าทรงเจิม

ศุกร์ 3-3-95 22:00 น. คำเผยพระวจนะโดยอัจฉรีย์

ลูกเอ๋ย เจ้าทั้งหลายทุกคน ก็รู้ตนเอง รู้แก่ใจ รู้แก่จิตวิญญาณของเจ้าเองอยู่แล้วว่า เจ้าทั้งหลายทุกคนมีหน้าที่เช่นไรในเราองค์พระผู้เป็นเจ้า และเจ้าสามารถกระทำสิ่งใดได้ ในเราองค์พระผู้เป็นเจ้าลูกเอ๋ย หน้าที่ของเจ้า คือนำข่าวดีไปยังคนยากจน สิ่งเหล่านี้เจ้าทั้งหลายเอง หยั่งลึกอยู่แล้วในจิตวิญญาณของเจ้า และหน้าที่ที่เจ้าสามารถกระทำได้ลูกเอ๋ย คนป่วย คนเจ็บป่วย จะหายโรคได้ คนตายจะฟื้นได้ สิ่งเหล่านี้เจ้ากระทำได้ลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้นจงเชื่อเถิดว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่ดำเนินอยู่ในชีวิตและจิตวิญญาณของเจ้านั้น ดำเนินได้เหมือนอย่างเราองค์พระผู้เป็นเจ้าลูกเอ๋ย เพราะตลอดวันเวลานั้นการทรงสถิตของเราแน่นแฟ้นอยู่กับพวกเจ้าทั้งหลายทุกคน จงให้จิตวิญญาณของเจ้านั้น แน่วแน่และตระหนักอยู่เสมอว่า เจ้ามีพระวิญญาณบริสุทธิ์ของเรา สถิตอยู่กับเจ้า เมื่อเจ้าจะกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด และรู้สึกว่ามันเป็นความบกพร่อง และมันเป็นความไม่ถูกต้อง ก็จงหันกลับอย่างรวดเร็ว และกระทำการขอการทรงชำระจากเรา อย่างรวดเร็วลูกเอ๋ย แล้วทุกสิ่งทุกอย่างของเจ้าจะเข้าสู่วาระเดิมและเป็นปกติในเราองค์พระผู้เป็นเจ้าทั้งสิ้นลูกเอ๋ย ระลึกอยู่เสมอว่า พระวิญญาณของเรา คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเจ้าของเจ้าเป็นความบริสุทธิ์ที่สุดลูกเอ๋ย ไม่มีสิ่งใดที่จะบริสุทธิ์เทียบเทียมกับเราได้ ฉะนั้นพวกเจ้าทั้งหลายทุกคนก็มีความบริสุทธิ์ได้ จำเพาะพระพักตร์ของเราองค์พระผู้เป็นเจ้า นั่นคือจิตวิญญาณของเจ้า จะต้องแน่วแน่และยึดมั่น และตรงต่อเวลากับเราองค์พระผู้เป็นเจ้าเสมอลูกเอ๋ย คำว่าตรงต่อเวลากับเรา ก็คือการวางระเบียบในชีวิตของพวกเจ้าทั้งหลายทุกคน ที่ดำเนินอยู่ในชีวิตและจิตวิญญาณของเจ้า ควบไปกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ของเรา นั่นหมายถึงว่า เจ้าจะต้องมั่นคงทำตัวของเจ้า ให้มีลักษณะเหมือนอย่างพระลักษณะของเราทั้งสิ้น เหมือนดังที่เราบอกกล่าวกับเจ้ามาโดยตลอดลูกเอ๋ย บรรดาบุคคลต่างๆบรรพบุรุษของเจ้าที่เจ้าได้ร่ำเรียน ได้ศึกษา ได้รู้ ถึงเหตุที่เขา สะดุดและล้มพลาดในเราองค์พระผู้เป็นเจ้า เจ้าก็เห็นอย่างชัดเจนแล้ว แต่ละบุคคลนั้นลักษณะจิตวิญญาณของเขา หรืออุปนิสัยใจคอของเขาเป็นเช่นไรลูกเอ๋ย การกลับพระทัยของพระเจ้า การเปลี่ยนแปลงในทุกสิ่งทุกอย่างของเราบังเกิดขึ้นได้ เพราะฉะนั้น ทุกอย่างเป็นวาระและเป็นตัวอย่างที่ดีที่จะสั่งสอนเจ้าอยู่แล้วในเวลาเหล่านี้ จงระลึกถึงสิ่งเหล่านี้ และตระหนักให้ชัดเจนในจิตวิญญาณของเจ้าเถิดลูกเอ๋ย บรรพบุรุษของเจ้าแต่ละคนนั้น มีวิถีทางและการดำเนินชีวิต นั้น แตกต่างกันลูกเอ๋ย คนใดก็ตามที่ติดสนิทอยู่ในเราองค์พระผู้เป็นเจ้า เจ้าก็จะเห็นว่าตลอดวันเวลาของเขา มีการทรงนำของเรา การกู้ของเรา การปลดปล่อยของเรา เกิดขึ้นในชีวิตของเขาเสมอลูกเอ๋ย และตลอดชีวิตของเขานั้น จะมีแต่คำว่าปลอดภัยทั้งสิ้น เจ้าก็ได้เห็นแล้วในสิ่งเหล่านี้ ในบรรดาชีวิตของบรรพบุรุษของเจ้าแต่ละคน ดังนั้นที่เจ้าได้ศึกษาและได้ร่ำเรียนกันในวันนี้นั้นลูกเอ๋ย เราก็จะให้เจ้าเห็นชัดเจนขึ้นว่า บรรพบุรุษของเจ้า คือซาอูลนั้น กระทำตนในลักษณะเช่นไร อุปนิสัยของเขาลูกเอ๋ย เป็นคนที่เห็นแก่ตัว นี่คือประการสำคัญ เห็นแต่ประโยชน์ของตน แต่หานึกถึงคนอื่นหรือผู้หนึ่งผู้ใดไม่ลูกเอ๋ย เห็นแต่หน้าตาของตัวเอง เห็นแต่เกียรติของตน เป็นคนดื้อดึง และเป็นคนไม่ยอมรับผิดในตัวเอง ชอบมองผู้อื่นว่าเป็นผู้ที่กระทำผิด สิ่งเหล่านี้ซาอูลไม่มีส่วนดีใดๆเลยลูกเอ๋ย ไม่มีส่วนดีใดๆเลยในสายพระเนตรของเราองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะฉะนั้นการแก้ไขและการเปลี่ยนแปลงจึงยากนักลูกเอ๋ย ซาอูลประกอบกิจในจิตวิญญาณของเขา มีแต่เนื้อหนังทั้งสิ้นลูกเอ๋ย ไม่มีลักษณะของพระวิญญาณเราเลยลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้นเราองค์พระผู้เป็นเจ้า เราจึงบอกกับเจ้าเสมอมิใช่หรือว่า พระวิญญาณของพระเจ้าจะสถิตอยู่กับมนุษย์นั้น ตลอดกาลเป็นไปไม่ได้ลูกเอ๋ย เพราะมนุษย์เป็นแต่เนื้อหนัง เพราะฉะนั้นเจ้าก็เห็นแล้วว่า ผู้ใดที่ดำเนินด้วยเนื้อหนังตลอดวันเวลา การสถิตอยู่ของเรา จะไม่มีและจะไม่เกิดขึ้นกับผู้นั้นเลยลูกเอ๋ย และในเวลาเหล่าน้ เจ้าเองก็ได้ศึกษาเล่าเรียนแล้วว่า ซาอูลในอดีตกาลนั้นเป็นเช่นใดลูกเอ๋ย เขาห่วงหน้าตาห่วงเกียรติยศ ห่วงชื่อเสียงของเขา และสิ่งสำคัญ ด้วยการห่วงชื่อเสียง ห่วงหน้าตา ห่วงเกียรติยศนี้เอง ทำให้เขามีความมุ่งหมายในใจว่า เขาแคกับประชาชน มากกว่าที่จะคำนึงถึงเราองค์พระผู้เป็นเจ้าของเขาลูกเอ๋ย เขาไม่ได้มองความสำคัญของพระเจ้า ไม่ได้มองคำสั่งสอน หรือคำบัญชาของเราว่า เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่เหนือชีวิตและจิตวิญญาณของเขาลูกเอ๋ย และตลอดวันเวลา เขาก็รู้ว่า สิ่งใดที่ซามูเอลบอกกล่าวกับเขาว่า บัดนี้พระเจ้าตรัสบอกแล้วว่า ซาอูลกระทำผิดเช่นไร แต่ซาอูลไม่เคยหันกลับที่จะคุกเข่า หรือสารภาพความผิดบาปกับเราเลยลูกเอ๋ย เพียงแต่พูดว่า ทำผิดไปแล้ว ทำบาปไปแล้ว ขอให้ซามูเอลยกโทษให้ลูกเอ๋ย สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไร ซามูเอลคือคนของเรา ไม่สารถทำการสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ เกินคำบังคับบัญชาของเราองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะฉะนั้น เจ้าทั้งหลายทุกคนก็จงเห็นด้วยชัดเจนเถิดว่า อย่าหวังพึงสิ่งใดในมนุษย์ลูกเอ๋ย จงหวังพึงสิ่งเดียวจากเราองค์พระผู้เป็นเจ้า พักพิงในเราเท่านั้นองค์พระผู้เป็นเจ้า แล้วเจ้าจะอยู่รอดปลอดภัยเสมอลูกเอ๋ย และเจ้าก็จะเห็นว่า บรรดาผู้ที่เราได้แต่งตั้งและเจิมไว้นั้นลูกเอ๋ย โดยเฉพาะผู้ที่มีของประทาน ในการทรงสถิตของเรา ในการทรงนำของเราหรือบรรดาผู้ที่เผยพระวจนะของเราลูกเอ๋ย เจ้าจะเห็นอย่างชัดเจนแล้วว่า ลักษณะของบรรดาบุคคลเหล่านี้ เขาจะมีการทรงนำของเรา แม้สิ่งดใเขาจะกระทำผิดพลาด เราพระเจ้าก็จะตักเตือนในทันที เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่ออกมาผ่านทางเขา จะไม่มีคำว่าผิดพลาดใดๆทั้งสิ้นลูกเอ๋ย ซามูเอลเป็นตัวอย่างให้เจ้าเห็นแล้วว่า แม้ความระลึกความนึกคิดของเขา ในเวลาเหล่านั้น มีความรู้สึกสิ่งใดขึ้นมา เราพระเจ้าก็บอกกล่าวว่า สิ่งเหล่านี้ยังไม่ใช่ นี่ไม่ใช่การทำนำของเรา และนี่ไม่ใช่เป็นสิ่งที่เราพระเจ้าพอพระทัย ซามูเอลก็จะรับรู้ในทันทีกลูกเอ๋ย เป็นฉันนั้นแหละ พวกเจ้าเองก็มีลักษณะเช่นนี้เหมือนกันในเวลาเหล่านี้ เพราะเราบอกแล้วว่า ผู้ใดที่อยู่ในการทรงนำของเรา จะไม่มีคำว่าล้มพลาดลูกเอ๋ย แม้ความคิดของเจ้าจะมีเหตุผลเกิดขึ้นขัดแย้ง แต่เราพระเจ้าจะเตือนกับเจ้าในทันที เราบอกกับเจ้าแล้วมิใช่หรือว่า ถ้ามีเหตุการณ์ร้ายหรือมีเหตุการณ์ใด ที่ไม่ถูกต้องเราพระเจ้าจะตักเตือนเจ้าในทันที ในลักษณะเช่นเดียวกับซามูเอล และผลที่ออกมา มันจะไม่มีคำว่าผิดพลาด หรือล้มพลาดใดๆเลยลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้น จงรู้เถิดว่า การทรงนำของพระเจ้า มีกับเจ้าตลอดวันเวลาลูกเอ๋ย ซาอูลเป็นผู้ที่ใช้การไม่ได้เลยในสายพระเนตรของเรา เราต้องบอกกับเจ้าด้วยคำที่ว่า ไม่มีสิ่งใดเลยลูกเอ๋ย แม้แต่สิ่งเดียว ที่ใช้การได้ในสายพระเนตรของเรา แม้กระทั่งการสร้างที่เป็นที่ระลึก เขาก็สร้างเป็นที่ลึกให้กับตัวของเขาเอง เมื่อวาระที่เขาไปยังภูเขาคารเมลลูกเอ๋ย เจ้าก็เห็นแล้วว่าสิ่งเหล่านี้ ซาอูลนั้น ชื่นชมและยกย่องให้แต่เกียรติของตัวเอง หาระลึกถึงเราองค์พระผู้เป็นเจ้า ที่ดึงเขาขึ้นมา ที่ฉุดเขาขึ้นมาไม่ลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้นเจ้าจะต้องพิจารณาในเหตุผลเหล่านี้ ในสิ่งเหล่านี้ให้ชัดเจนเถิดลูกเอ๋ย แล้ววาระต่างๆในเราองค์พระผู้เป็นเจ้า จะบริบูรณ์อย่างครบถ้วนในชีวิตของพวกเจ้าทั้งหลายทุกคนลูกเอ๋ย พิจารณาและใคร่ครวญทุกสิ่งทุกอย่างด้วยเหตุผล แต่อย่างเอาเหตุผล มาวัดและตัดสินในเราองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะเราบอกความจริงให้เจ้ารู้ว่าทุกวันเวลา ตลอดวันเวลาเหล่านี้นั้น การทรงนำของเราชัดเจนกับชีวิตของพวกเจ้าอย่างมากมายลูกเอ๋ย ไม่มีหรอกลูกเอ๋ยที่เจ้าในผู้หนึ่งผู้ใด จะไม่ได้รับการทรงนำของเรา เรามีการทรงนำของเราให้กับเจ้าทั้งหลายทุกคนลูกเอ๋ย แต่ผู้ใดจะมีการทรงนำของเราเด่นชัดมากมายเพียงใดนั้น เจ้าเองก็เข้าใจแล้วว่า พระเจ้าของเจ้ามีลักษณะเช่นใดลูกเอ๋ย เราเลือกสรรผู้ใด เราก็เลือกสรรผู้นั้น และถ้าเราเรียกใช้ผู้ใด เราก็เรียกใช้ผู้นั้น และถ้าผู้นั้นสัตย์ซื่อกับเรามากมายเพียงไร สัตย์ซื่อเล็กน้อยกับเราแค่ไหน พื้นฐานของเขาให้ความสัตย์ซื่อกับเราอย่างมากมายตลอดวันเวลา เพราะฉะนั้นจงรู้เถิดว่า การไว้วางใจจากเราองค์พระผู้เป็นเจ้า จะบังเกิดกับผู้นั้นมากมาย และทุกสิ่งทุกอย่างเราจะประสิทธิ์ประสาทให้เพิ่มพูนและบริบูรณ์ขึ้น ตลอดวันตลอดเวลา เพราะในเรา ในเราองค์พระผู้เป็นเจ้า จะมีแต่คำว่าจำเริญขึ้น นั่นก็คือสูงขึ้นในทางเดียว จะไม่มีคำว่าต่ำลงลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้นเจ้าทั้งหลายทุกคนจะต้องพินิจพิจารณาในทุกสิ่ง ในถ้อยคำแม้แต่จุดเล็กจุดน้อยของเราในเวลาเหล่านี้ว่า สิ่งดีสิ่งสารพัดประโยชน์ที่เรามอบให้กับพวกเจ้าหลายคนนั้น มีค่าและบริบูรณ์ที่สุดแล้วลูกเอ๋ย จงรักษาสิ่งเหล่านี้เอาไว้ให้มั่นคงในจิตวิญญาณของเจ้า ถ้าเจ้ารู้จักเราให้มากขึ้น จงฝึกฝน จงละเอียดรอบคอบ และจงขวนขวาย และจงแสวงหาเราลูกเอ๋ย เพียรรอคอยเรา และเจ้าจะเห็นวาระแห่งการทรงนำของเราว่า เราทรงนำเจ้าในลักษณะเช่นใดลูกเอ๋ย อย่ากระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด ปะปนกับการแสวงหาเราเป็นอันขาดลูกเอ๋ย ถ้าเจ้าจะแสวงหาเรา เจ้าต้องแสวงหาเราจริงๆ อย่านำเราไปปะปนกับสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะเราบริสุทธิ์ บริสุทธิ์ เกินกว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดจะเข้ามาปะปนกับเราได้ และเราจะไม่ยอมให้สิ่งหนึ่งสิ่งใด มาปะปนกับเราเป็นอันขาด ลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้นตลอดวันเวลา ถ้าเจ้าอยากรู้จักเรา และอยากเข้าใจเราให้มากกว่านี้ จงแสวงหาเรา แล้วเจ้าจะพบเรา ลูกเอ๋ย (จบคำเผยฯ๗

ตั้งแต่ 1 ซมอ 16:14 ถึง 1 ซมอ 19:17 ไม่มีเรื่องซามูเอล

1 ซมอ 19:18-24 ดาวิดหนีการตามฆ่าของซาอูล มาหาซามูเอลที่บ้านเมืองรามาห์ ซาอูลรู้เรื่อง ส่งคนมาเพื่อจัดดาวิดที่บ้านซามูเอล เมื่อคนของซาอูลมาถึง เห็นนักเรียนของซามูเอลกำลังเผยพระวจนะอยู่ (เผยพระวจนะพรอมกัน) โดยซามูเอลยืนเป็นหัวหน้าเขาทั้งหลาย (ข้อ 20) คิงส์เจมส์ "Samuel standing as appointed over them" แปลว่า "ซามูเอล ยืนกำหนดพวกเขา (เผยพระวจนะ)" เป็นการฝึกนักเรียนให้เผยพระวจนะ เผยพร้อมกัน พระคัมภีร์ใน 1 โครินธ์ บทที่ 14 บอกว่าให้เผยทีละคน เพื่อให้ทุกคนได้ฟัง เพื่อให้ผู้ฟังจำเริญขึ้น แต่ไม่ได้ห้ามเผยพร้อมกัน การเผยพระวจนะพร้อมกัน ไม่ผิดพระคัมภีร์ ส่วนใหญ่ใช้ในการฝึกฝน ข้าพเจ้าเคยทูลถามพระเจ้า พระเจ้าตรัสโดยผ่านผู้เผยพระวจนะ ว่า ไม่ถือว่าผิดพระคัมภีร์ เราจะพบการเผยพระวจนะพร้อมกัน ในสมัยโมเสสด้วย และพบในสมัยดาวิดนี้ เป็นจำนวนมาก ที่หมู่ผู้เผยพระวจนะ เผยพร้อมกัน

เมื่อคนของซาอูลเห็นซามูเอล พระเจ้าก็ให้พระวิญญาณของพระองค์ สถิตกับคนของซาอูล พวกเขาก็เผยพระวจนะ พระเจ้าทรงช่วยดาวิดและซามูเอล ซาอูลส่งคนมา 3 เที่ยว พวกเขาก็เผยพระวจนะหมด ซาอูลมาเอง ก็เผยพระวจนะต่อหน้าซามูเอล

ข้าพเจ้าเคยทูลถามพระเจ้าในพระคำตอนนี้ว่า ดาวิดน่าจะอยู่กับซามูเอลตลอดไป เพื่อหลบหลีกการตามฆ่าของซาอูล แทนที่จะเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร เพราะอย่างไรซาอูลก็ต้องเกรงใจซามูเอลบ้าง พระเจ้าตอบโดยผ่านผู้เผยพระวจนะว่า ดาวิดมีสิทธิ์เลือกได้ทั้งสองทาง ตามความปรารถนาแห่งใจของเขา แต่ถ้าเขาตัดสินใจหนีเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร เขาจะได้เรียนรู้ ถึงความเข้มแข็ง และแสวงหาพระเจ้า และจะได้รู้จักพระเจ้ามากยิ่งขึ้น และพระเจ้าจะหล่อหลอมเขาได้ให้ใช้การได้ยิ่งขึ้น แทนที่จะอยู่สายกับซามูเอล และครั้งนี้ ดาวิดเลือกถูกน้ำพระทัยพระเจ้า

พฤหัส 20-4-95 21:25 น. คำเผยพระวจนะโดยอัจฉรีย์ (ที่โบสถ์พัทยา)

(สอนเรื่องซามูเอล ตอนที่ 5)

ลูกเอ๋ย เจ้าทั้งหลายก็รู้ว่า พื้นฐานในความชื่นชอบในน้ำพระทัยขององค์พระบิดาเจ้านั้นคือสิ่งใดลูกเอ๋ย ไม่ว่าบุคคลเหล่านั้นจะเป็นแค่ประชากรหรือผู้รับใช้ของเรา พื้นฐานนั้นก็คือ ความเชื่อฟังและการยำเกรงในเราองค์พระผู้เป็นเจ้า นั่นคือสิ่งที่พระองค์ทรงชื่นชอบในจิตวิญญาณ ในน้ำพระทัยของพระองค์ ซึ่งดำรงอยู่ในจิตวิญญาณของพวกเจ้าทั้งหลายทุกคนลูกเอ๋ย ในสิ่งเหล่านี้ เพราะฉะนั้นจงรู้เถิดว่า เมื่อมีการเชื่อฟัง และมีการยำเกรง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าได้ประพฤติและปฏิบัติ มันจะออกมาสวยงาม และขาวสะอาดจำเพาะพระพักตร์ของพระเจ้าเสมอลูกเอ๋ย และโดยเฉพาะบรรดาผู้ที่ปรนนิบัติรับใช้พระเจ้า สิ่งที่เจ้าจะต้องมีเพิ่มเติมในจิตวิญญาณของเจ้า นอกจากความเชื่อฟังและความยำเกรง นั่นก็คือความกล้าหาญ ความอดทน และทุกสิ่งทุกอย่าง เจ้าจะต้องดำเนินในทางของเรา ด้วยการที่ไม่เห็นกับหน้าตาของผู้หนึ่งผู้ใด นั่นคือมนุษย์ แต่จะเห็นเฉพาะว่า เห็นแก่พระเจ้า จะไม่เห็นแก่มนุษย์ลูกเอ๋ย ดังลักษณะที่เจ้าได้ศึกษาเล่าเรียนกับเรามาในค่ำคืนนี้ลูกเอ๋ย เจ้าจะเห็นอย่างชัดเจนแล้วว่า ซาอูลไม่มีส่วนดีใดในสายพระเนตรของเราเลย หลายครั้งหลายคราเราส่งแผนการที่แก้ไขในสถานะการณ์ต่างๆ กลับไม่เคยฟื้น และนำพาในสิ่งเหล่านั้นมาปรับปรุงแก้ไขเลย นิสัยของซาอูลไม่มีการแก้ไข มีแต่การแก้ตัว นี่ไม่ใช่ลักษณะของคนที่ดี คนที่ดีต้องมีแต่การแก้ไขในชีวิตและจิตวิญญาณ อย่ามีแต่การแก้ตัว เพราะในเราองค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่มีผู้ใดจะเอ่ยเหตุผลใด มาต่อต้านในน้ำพระทัยของเราได้ ถ้าทุกสิ่งมาจากเราองค์พระผู้เป็นเจ้า เมื่อมนุษย์ทำความผิดและประจักษ์กับพระพักตร์ของเรา และน้ำพระทัยของเรา มนุษย์ผู้นั้นจะไม่สามารถมีข้อแก้ตัวใดๆได้เลยลูกเอ๋ย นอกจากการกลับใจและแก้ไขปรับปรุงจิตวิญญาณ สารภาพความผิดกับเราองค์พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้นลูกเอ๋ย ซาอูลไม่เคยได้กระทำในกฎเกณฑ์เหล่านี้เลยลูกเอ๋ย ทุกครั้งการนำ ทุกครั้งการประพฤติปฎิบัติของเขา ฝ่าฝืนในเราทั้งสิ้น เอ่ยอ้างในพระนามของเราตลอดวันเวลา แม้ถ้อยคำแห่งการสาบาน เพราะฉะนั้นเราจึงตักเตือนกับพวกเจ้าทั้งหลายเสมอว่า อย่าเอ่ยอ้างในพระนามของเรา และในสิ่งที่เจ้าเอ่ยอ้างนั้นขัดกับพระวจนะของเรา เราจะยกให้เจ้าได้เห็นอย่างชัดเจนว่า ซาอูลเอ่ยอ้างในการสาบานโดยบอกกับพลไพร่ของเขาว่า อย่ารับประทานอาหารจนกว่าการแก้แค้นของศัตรูของเขาจะมาถึง ในนามของเราพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้นจงรู้เถิดว่า สิ่งเหล่านี้ขัดกับพระวจนะของเราลูกเอ๋ย เราสั่งสอนกับเจ้ามิใช่หรือว่า อย่านำพาสิ่งใดก็ตาม ที่เป็นแอกให้กับพี่น้องของเจ้าลูกเอ๋ย และสิ่งเหล่านี้เป็นการทุกข์ทรมานกับเขาทั้งหลายทุกคน การอดรับประทานอาหาร มนุษย์ต้องรับประทานอาหาร เพราะร่างกายปรารถนา ในการหิวลูกเอ๋ย แต่ซาอูลไม่ได้นึกถึงข้อความเหล่านี้เลยลูกเอ๋ย มุ่งแต่ประโยชน์ในส่วนตัว ถ้าจะพิจารณาว่า เขาถืออดให้กับเราองค์พระผู้เป็นเจ้า นี่ก็ไม่ใช่สิ่งถูกต้องลูกเอ๋ย เพราะการถืออดที่ยึดถือเพื่อเหตุที่จะก่อให้เกิดการวิวาท และการต่อสู้เพื่อให้ได้ชัยชนะ แล้วอ้างการอดอาหาร เพื่อให้เกิดความหิว นั่นไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องในน้ำพระทัยของเรา การอดที่ถูกต้อง นั่นคือการทำลายแอกและพันธนาการทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นกับตัวของเจ้า หรือของบุคคลคนอื่น ลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้จึงชัดเจนมากในถ้อยคำที่ขัดกับพระวจนะของเรา นั่นคือขัดในน้ำพระทัยของเราทั้งสิ้นลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้นจงรู้เถิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าได้นำพา เพื่อความจำเริญและความไพบูลย์ในจิตวิญญาณของเจ้าในค่ำคืนนี้ จงพิจารณาและใคร่ครวญในหลักเกณฑ์เหล่านี้ทั้งสิ้นลูกเอ๋ย พระวิญญาณของเราจะสถิตอยู่กับเจ้าทั้งหลายทุกคนตลอดวันเวลา เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างของเจ้า จะบริบูรณ์จำเพาะพระพักตร์ของเราเสมอ ถ้าเจ้าดำเนินทุกอย่างตามพระลักษณะของเรา เหมือนดังที่เราตรัสบอกกับเจ้า มาตลอดวันเวลา ซาอูลไม่มีพื้นฐานใดเลย ที่จะสมควรแก่การที่เราพระเจ้าจะยกขึ้นลูกเอ๋ย เพราะเรายกผู้ใดขึ้น ทุกคนต้องมีการทดสอบและการทดลองเสมอลูกเอ๋ย ในเหตุการณ์เหล่านี้ เพราะทุกคนที่เรายกขึ้น คือผู้ที่เรามีเป้าหมายและมุ่งหมายแล้วว่า บุคคลเหล่านั้นจะต้องได้เข้าดำเนินการใหญ่ และวาระทุกอย่างที่เป็นแผนการยิ่งใหญ่จากองค์พระบิดาเจ้าลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้นในสิ่งเหล่านี้ซาอูลจึงไม่มีสิ่งดีใดๆเลย ในพระพักตร์ขององค์พระบิดาเจ้าลูกเอ๋ย และไม่มีสิ่งใดที่ถูกต้องในน้ำพระทัยของพระองค์เลยลูกเอ๋ย ทุกสิ่งทุกอย่างจึงเห็นอย่างชัดเจนว่า ซาอูลเป็นคนเห็นแก่ตัว ดื้อรั้น และสิ่งสำคัญ ใช้สติปัญญาของตัวเอง ไม่ใช้สติปัญญาของพระเจ้า สิ่งสำคัญ ชอบรู้ว่านี่คือน้ำพระทัยของพระเจ้า ไม่มีมนุษย์ผู้ใดจะรู้ใจของเราหรือน้ำพระทัยของเรา ถ้าเราไม่เปิดทางและบ่งบอกว่า นี่คือน้ำพระทัยของเรา และเรามีพระประสงค์เช่นนี้ลูกเอ๋ย ซาอูลมักจะแอบอ้างในสิ่งเหล่านี้ว่า เมื่อครั้งที่พลไพร่ของเขา ริบเอาทั้งแกะริบทั้งโคมา ก็แอบอ้างว่า สิ่งเหล่านี้เลือกเฟ้นสิ่งที่ดี เพื่อจะมาถวายและเผาบูชาให้กับพระเจ้า ทำเหมือนว่า ซาอูลนั้นรู้น้ำพระทัยของเราไปทั้งหมดทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้เจ้าจึงเห็นว่า ทุกข้อความในชีวิตของซาอูล คือส่วนบกพร่องทั้งสิ้น ที่เจ้าทั้งหลายทุกคน อย่าประพฤติและอย่าปฎิบัติและอย่าเอาติดตามเป็นอันขาดลูกเอ๋ย นี่คือสิ่งที่ไม่ดี และไม่ดีอันใดเลยลูกเอ๋ย ไม่มีข้อใดเลยที่จะบ่งบอกว่า ซาอูลคือผู้ที่เราสมควรแก่การยกขึ้นลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้นวันเวลาเหล่านี้จึงเป็นเครื่องพิสูจน์ ทั้งในชีวิตและจิตวิญญาณของเขาทั้งสิ้น เราพระเจ้าจึงกลับพระทัยต่อเหตุการณ์ดีทั้งสิ้นที่เราจะกระทำให้เขา เพราะฉะนั่นจงรู้เถิดว่า วันเวลาทุกอย่างที่เจ้าทั้งหลายทุกคน จะยืนอยู่จำเพาะพระพักตร์ของเราได้ลูกเอ๋ย การเชื่อฟังการยำเกรง และการกระทำทุกอย่างให้ถูกต้องในน้ำพระทัยของเราลูกเอ๋ย ไม่มีสิ่งใดที่ยากสำหรับการที่จะกระทำให้ถูกในน้ำพระทัยของพระเจ้า เจ้าสามารถทำได้ลูกเอ๋ย ถ้าเจ้าตั้งใจจะทำ ถ้าสิ่งเหล่านี้ เจ้าตั้งใจทำ จะไม่มีสิ่งใดที่ยากเลยสำหรับเจ้าลูกเอ๋ย และผลทั้งสิ้นที่จะเกิดสู่ชีวิตของเจ้านั้น จะมีแต่ความไพบูลย์ลูกเอ๋ย เพราะยุดนี้ของเราเป็นยุคที่พระคุณของพระเจ้า หลั่งไหลมาสู่เจ้าอย่างมากมายลูกเอ๋ย ความรักมั่นคงที่พระองค์ทรงสำแดงให้กับเจ้า ก็บริบูรณ์ เพราะฉะนั้นจงรู้เถิดว่าตลอดวันเวลานั้นลูกเอ๋ย เจ้าไม่มีสิ่งใดๆเลย ที่เมื่อเจ้าทำบกพร่องแล้ว เจ้าไม่สามารถจะฟื้นคืนกลับมาหาเราองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ ระลึกเอาไว้เสมอลูกเอ๋ยว่า ไม่มีมนุษย์ผู้ใดบริสุทธิ์ลูกเอ๋ย เพราะมนุษย์เป็นแต่เนื้อหนัง ทุกสิ่งทุกอย่างเราจึงย้ำเตือนกับเจ้าเสมอว่า ตลอดวันเวลาให้เจ้ารู้จักที่จะหันหน้าหาเรา คุกเข่าอยู่กับเราลูกเอ๋ย ทุกวันทุกเวลาของเจ้า นั่นแหละคือสิ่งที่ถูกต้อง ดูตัวอย่างของซามูเอลลูกเอ๋ย เมื่อเขาปรนนิบัติรับใช้เรา ถ้าสิ่งหนึ่งสิ่งใดยังไม่เกิด และยังไม่มาตรงน้ำพระทัยของเราองค์พระผู้เป็นเจ้า เขาก็จะไม่ยอมหยุดพักในสิ่งเหล่านั้นเลยลูกเอ๋ย ที่เขาบอกว่าเขาไม่ยอมนั่ง นั่นก็คือการที่เขาไม่ยอมหยุดพักลูกเอ๋ย แม้กระทั่งเขาเสียใจในจิตวิญญาณของเขา ว่าซาอูลกระทำผิด ทำให้น้ำพระทัยของเรา และแผนการของเราไม่บรรลุเป้าหมายลูกเอ๋ย เขาก็ยังอธิษฐานทูลกับเราตลอดวันเวลา เพราะฉะนั้นลักษณะเหล่านี้ เจ้าจงจดจำและกระทำเถิดลูกเอ๋ย ซามูเอลมีความกล้าหาญ แม้กระทั่งเขาฆ่าคนได้ ในน้ำพระทัยของพระเจ้า ถ้ามีพระประสงค์จะให้เขาทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด เขาไม่เห็นแก่หน้ามนุษย์ลูกเอ๋ย แต่เขาเห็นกับพระเจ้า สิ่งเหล่านี้คือความบริบูรณ์ในลักษณะของบรรดาบุคคลที่จะเป็นคน ที่จะเป็นผู้ปรนนิบัติรับใช้เราองค์พระผู้เป็นเจ้าลูกเอ๋ย จงมั่นเสมอที่จะให้ช่องโหว่ของเจ้านั้นได้รับการอุด นั่นคือการปรับปรุงแก้ไขในจิตวิญาณของเจ้าทั้งหลายทุกคนลูกเอ๋ย แล้วการเสริมสร้างที่มาจากเราองค์พระผู้เป็นเจ้า คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่ภายในเจ้า จะช่วยเหลือเจ้าทั้งหลายทุกคน ตลอดวันเวลาลูกเอ๋ย พระเจ้ามีปรารถนาเสมอ ที่พระองค์จะทรงบูรณะ ที่พระองค์จะทรงซ่อมแซม และเสริมสร้างทุกคนลูกเอ๋ยที่เป็นบุตรของพระองค์ ให้ถูกต้องในน้ำพระทัยขององค์พระบิดาเจ้าอย่างครบถ้วน เพื่อทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นน้ำพระทัย คือสิ่งสารพัดทั้งสิ้นที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ ให้กับบรรดาบุคคลที่จงรักภักดีพระองค์ อย่างเต็มจิตเต็มวิญญาณของพระองค์ จะได้สู่มือของบุคคลเหล่านั้น จะได้สู่ชีวิตของบุคคลเหล่านั้นลูกเอ๋ย พระเจ้าไม่ทรงหวงแหนสิ่งดีใดๆไว้เลยลูกเอ๋ย พระองค์มีความปรารถนา แล้วพระองค์มีความกระวนกระวายที่จะให้ทุกสิ่งทุกอย่างนั้น ได้เกิดขึ้นอย่างบริบูรณ์ ในชีวิตของมนุษย์ในแผ่นดินโลกนี้ลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้นจงกระทำทุกอย่างเถิด เพื่อให้ชีวิตของเจ้า เข้าสู่วาระแห่งความไพบูลย์ของพระเจ้าได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ เจ้าทั้งหลายทุกคนก็เดินมาอย่างถูกทางแล้วลูกเอ๋ย แต่ในบางครั้ง ชีวิตการดำรงชีพอยู่บนแผ่นดินโลก กระทำให้เนื้อหนังของเจ้าบางอย่าง ต้องสอดแทรกเข้ามา เพราะฉะนั้นเมื่อเจ้ารู้จุดบกพร่องและช่องโหว่ในตัวเอง ในจิตวิญญาณของเจ้า จงระลึกเสมอว่า ถ้อยคำที่เราสั่งสอนกับเจ้า จะนำพาทุกสิ่งทุกอย่างให้เจ้าเข้าสู่สภาพเดิมที่ดีกับเราองค์พระผู้เป็นเจ้าได้อย่างง่ายดาย ระลึกเอาไว้เสมอลูกเอ๋ยในจิตวิญญาณของเจ้า เมื่อเจ้าแสวงหาเรา ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของเราลูกเอ๋ย เราจะให้กับเจ้า และเรารู้ว่าในแต่ละคนในแต่ละชีวิตนั้น ขาดในสิ่งใดลูกเอ๋ย และเรารู้ว่าความเหมาะสมของชีวิตแต่ละบุคคล แต่ละครอบครัว แต่ละหน้าที่ แต่ละการงานในเวลาเหล่านี้นั้นเป็นเช่นใดลูกเอ๋ย เราจัดเตรียมทุกสิ่งทุกอย่าง ก็ให้เหมาะสมกับวิถีทางแห่งชีวิตของพวกเจ้าทั้งหลายทุกคนทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นถ้าผู้ใดยังดูว่า พระเจ้ายังไม่อวยพรเจ้าเลยในเวลาเหล่านี้ อย่าท้อแท้และอย่าท้อถอย อย่าเอือมละอาต่อสิ่งใดๆทั้งสิ้น เร่งเวลาและวาระของเจ้าเข้าเถิดลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่าง องค์พระบิดาเจ้าทรงจัดเตรียมเอาไว้แล้วทั้งสิ้น เพื่อรอคอยท่าพวกเจ้าทั้งหลายทุกคนลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้นตลอดวันเวลานั้น พระพรของพระเจ้า พระองค์ทรงมีน้ำพระทัยแน่วแน่ว่า พระองค์จะทรงโปรดประทานให้กับบุตรของพระองค์ทุกคนลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้นเมื่อกฎเกณฑ์ของพระองค์เป็นอย่างไร การดำเนินวาระเหล่านั้นก็ต้องเป็นดังนั้นลูกเอ๋ย ในทุกสิ่งทุกอย่างแห่งองค์พระบิดาเจ้า เพราะฉะนั้นเจ้าทั้งหลายทุกคนที่ได้ยินได้ฟังในพระวจนะของเรา จงทำทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตและจิตวิญญาณของเจ้า ให้เข้าสู่ในเราองค์พระผู้เป็นเจ้าให้ได้ลูกเอ๋ย เริ่มต้นที่ตัวของเจ้าก่อนลูกเอ๋ย หักแอกในชีวิตของเจ้าออกให้ได้ลูกเอ๋ย แล้วเจ้าค่อยไปหักแอกของผู้อื่นลูกเอ๋ย นี่คือความประสงค์ก็คือน้ำพระทัยขององค์พระบิดาเจ้า ที่จะให้เจ้าทั้งหลายทุกคนได้ยืนอยู่ในวาระเหล่านี้ เพราะฉะนั้นชีวิตของเจ้า จะบริบูรณ์และขาวสะอาดในเราองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นสิ่งสารพัดที่เราจะประทานให้กับเจ้าได้ลูกเอ๋ย ก็ขึ้นอยู่กับตัวของเจ้าลูกเอ๋ย เจ้าจะต้องประสานทุกสิ่งทุกอย่างของเจ้า ให้เป็นหนึ่งเดียวในเราลูกเอ๋ย ไม่ว่าจะเป็นชีวิตและจิตวิญญาณ ไม่ว่าจะเป็นกิจการงาน ไม่ว่าจะเป็นทุกสิ่งในชีวิตของเจ้า นั้นแหละคือสิ่งที่เราองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงโปรดปราน และพอพระทัยลูกเอ๋ย จงกระทำอย่างตามกฎเกณฑ์ที่รอบคอบที่องค์พระบิดา ทรงวางไว้เถิดลูกเอ๋ย เพราะทุกสิ่งที่พระองค์ทรงวางนั้น พระองค์ทรงรู้และทรงชันสูตรแล้วทั้งสิ้น ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ยากเลยสำหรับผู้ที่เป็นบุตรของพระองค์อย่างแท้จริงลูกเอ๋ย (จบคำเผยฯ)

1 ซมอ 25:1 ซามูเอลสิ้นชีวิต และฝังไว้ที่เมืองรามาห์

จบเรื่องของซามูเอล ในบทที่ 28 ไม่ใช่ เรื่องของซามูเอล

____________จบบทที่ 4 ซามูเอล____________


บทที่ 5 ขี้เกียจและไม่มีความกล้าหาญใดๆ


อ่านลูกา 4:13-30 เมื่อพระเยซูทรงบัพติศมาด้วยน้ำแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงนำพระองค์ไปในถิ่นทุรกันดาร (ลก 4:1) เพื่อมารทดลองพระองค์ 40 วัน เมื่อมารทดลองเสร็จแล้ว จึงละพระองค์จนถึงโอกาสเหมาะ (ลก 4:13) ภาษาอังกฤษใช้คำว่า for a while หมายความว่า มารจากพระองค์ไปชั่วคราว จะกลับมาเล่นงานอีก เหมือนเราคริสเตียนทุกคน ที่มันจะกลับมาอีก

พระเยซูเสร็จกลับมาโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทรงนำมาตอนไปก็โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ตอนกลับก็โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไปยังแคว้นกาลิลี (สำเร็จตามคำเผยพระวจนะโดยอิสยาห์ ใน อสย 9:1-2) แคว้นกาลิลีอยู่ทางเหนือของเยรูซาเล็ม ห่างไปหลัก 100 กิโลเมตร พระองค์ทรงสั่งสอนในหมายเมือง ในแคว้นกาลิลี จนชื่อเสียงแพร่กระจายไป และได้รับคำสรรเสริญ (ข้อ 14-15)

แล้วพระองค์เสด็จไปเมืองนาซาเร็ธ เมืองนี้อยู่ตอนใต้ของแคว้นกาลิลี แต่อยู่เหนือเยรูซาเล็มหลักหลายสิบกิโลเมตร เป็นที่ซึ่งพระองค์เติบโตขึ้น ไม่ใช่ที่เกิด พระองค์เสรด็จเข้าไปในธรรมศาลาในวันสะบาโตตามเคย (as his custom was) หมายความว่า เป็นปกติวิสัย แสดงว่า ก่อนบัพติศมาด้วยน้ำ และประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์ไปโบสถ์วันอาทิตย์ประจำ และทรงยืนขึ้นเพื่อจะอ่านพระธรรม (ข้อ 16) พระองค์ทรงยืนขึ้นเพื่อจะอ่านพระคัมภีร์ ไม่ใช่ขึ้นไปบนธรรมมาส แต่ยืนขึ้นจากที่นั่งของตัวเอง เป็นธรรมเนียมในสมัยนั้น ผู้ที่จะอ่านพระคัมภีร์ต้องยืนขึ้น และผู้ที่จะอ่านพระคัมภีร์ มีแค่ 7 คน คือ ปุโรหิต เลวี และ คนอิสราเอลอีก 5 คน พระเยซูถูกเลือกอยู่หนึ่งใน 5 ตั้งแต่ก่อนที่จะทรงประกอบด้วยพระวิญญาณ

เขาจึงส่งพระคัมภีร์อิสยาห์ให้พระองค์ คิงส์เจมส์ตอนนี้คำว่า อิสยาห์ ใช้คำว่า Esaias ปกติจะเขียนว่า Isaiah พระคัมภีร์อิสยาห์นี้ มีผู้เขียน 2 คน และอาจชื่ออิสยาห์เหมือนกัน (โปรดดูรายละเอียดในเรื่องอิสยาห์) สมัยก่อนไม่มีพระคัมภีร์เต็มรูปแบบอย่างสมัยนี้ และยังไม่มีพันธสัญญาใหม่ หนังสืออิสยาห์ ถือว่า เป็นพระคัมภีร์เล่มเล็ก เมื่อพระองค์เปิดพระคัมภีร์อิสยาห์ (ข้อ 17) ก็พบข้อดังที่พระองค์อ่านในข้อที่ 18-19

พระวิญญาณแห่งพระเป็นเจ้าทรงอยู่เหนือข้าพเจ้า เพราะว่าพระองค์ได้ทรงเจิมตั้งข้าพเจ้าไว้ เพื่อนำข่าวดีมายังคนยากจน พระองค์ได้ทรงใช้ข้าพเจ้าให้ร้องประกาศอิสรภาพแก่บรรดาเชลย ให้ประกาศแก่คนตาบอดว่า จะได้เห็นอีก ให้ปล่อยผู้ถูกบีบบังคับเป็นอิสระ และให้ประกาศปีแห่งความโปรดปรานของพระเป็นเจ้า

แสดงให้เห็นว่า พระเจ้าก็ทรงนำโดยวิธีเปิดสุ่มพระคัมภีร์ด้วยเหมือนกัน แต่ท่านจะใช้วิธีนี้ทุกครั้งไปไม่ได้

เมื่ออ่านเสร็จ พระองค์ม้วนหนังสือส่งคืนเจ้าหน้าที่ (ข้อ 20) แสดงว่าหนังสือเป็นม้วน ไม่ได้เป็นเล่ม คำว่า "เจ้าหน้าที่" ในคิงส์เจมส์ใช้คำว่า minister ซึ่งเป็นผู้รับใช้ พวกยิวเรียกคนในตำแหน่งหน้าที่นี้ว่า chazzan เป็นผู้รับใช้ที่มีศักดิ์ต่ำ ไม่ใช่นักเทศน์ แล้วพระเยซูก็ทรงนั่งลง คนทั้งหลายก็จ้องมองอยู่ที่พระองค์ ดูว่าพระองค์จะพูดอะไร เพราะได้ยินชื่อเสียงมา อย่างที่ทราบกันในตอนต้น

พระองค์ตรัสว่า ข้อความที่พวกท่านได้ยินกับหูนี้ ก็สำเร็จแล้วในวันนี้ ผู้คนก็ชมเชยพระองค์ และประหลาดใจในถ้อยคำอันประกอบด้วยพระคุณ (ข้อ 21-22) แค่พูดประโยคเดียว พวกเขาก็ว่าดี และยังประหลาดใจ เพราะเมื่อก่อน เคยเห็นๆกันอยู่ ไม่เห็นฉลาดอย่างนี้เลย คนนี้เป็นบุตรของโยเซฟ พวกเราก็รู้จักดี

ที่จริงทั้งหมดน่าจบแค่ตรงนี้ เพราะพระเยซูได้ทำหน้าที่แล้ว และก็มีคนชมเชยแล้ว แต่ดูเหมือนว่างานยังไม่เสร็จ พระองค์กลับพูดเหมือนแหย่พวกเขา ตั้งแต่ข้อ 23 ถึง ข้อ 27 จนข้อ 28 พวกเขาโกรธพระองค์มาก ทำไมพระองค์กระทำเช่นนั้น และทำไมพวกเขาโกรธ โกรธอะไร

พระองค์ทรงทราบโดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์ โดยถ้อยคำอันประกอบด้วยความรู้ว่า ในหมู่สมาชิกในโบสถ์นั้น มีบางคนชมเชย แต่ก็มีบางคนที่ไม่ชอบใจ แต่ยังไม่พูด ข้อความพระคัมภีร์ที่พระองค์อ่าน บอกว่า เจิมพระเยซูมารักษาคนตาบอด บางคนในที่ประชุม กำลังคิดว่า คุณก็รักษาตัวคุณเองก็แล้วกัน พระเยซูจึงพูดว่า "หมอจงรักษาตัวเองเถิด" บางคนคิดอยู่ว่า ที่ทำในคาเปอรนาอุม ก็ทำที่นี่ด้วยซิ แต่ติดในใจทำนองไม่เชื่อ

ข้อ 24-27 พระองค์ตรัส 3 เรื่อง ที่ทำให้พวกเขาโกรธ แต่ 3 เรื่องนี้ เป็นเรื่องเดียวกัน เรื่องเดียวกันอย่างไร ท่านอ่านคำเผยพระวจนะข้างล่างเอาเอง เรื่องแรกพระองค์ตรัสว่า "ไม่มีผู้เผยพระวจนะคนใน ได้รับการต้อนรับในเมืองของตน" (his own country) (ในประเทศของตนเอง) เรื่องที่ 2 พระองค์พูดว่า ในอิสราเอลมีหญิงม่ายจำนวนมาก แต่เอลียาห์ไม่ได้ถูกพระเจ้าส่งไปหาหญิงม่ายคนใดเลย แต่พระเจ้าส่งเอลียาห์ไปช่วยหญิงม่ายที่ไม่ใช่อิสราเอล (ข้อ25-26) ข้อ 26 ข้อความควรเป็นอย่างนี้ "แต่เอลียาห์มิได้ถูกส่งให้ไปหาและช่วยหญิงม่านคนใด ..." เราเรียนรู้จากพระคัมภีร์เดิม ดูเหมือนว่า หญิงม่ายช่วยเหลือเอลียาห์ แต่ที่จริง เอลียาห์ช่วยเหลือหญิงม่าย เพราะถ้าไม่มีเอลียาห์ หญิงม่ายอดตายแน่นอน เรื่องที่ 3 พระเยซูตรัสเรื่องเอลีชา ไม่ปรากฏรักษาโรคเรื้อนให้คนอิสราเอลในสมัยนั้น แต่รักษาให้คนต่างชาติคนเดียว คือ นาอามาน

เมื่อพระองค์พูด 3 เรื่องจบ พวกประชาชนก็โกรธพระเยซู เพราะ ประการที่หนึ่ง ในเมื่อพวกเขาคิดว่า ให้พระองค์รักษาคนที่นี่ด้วยซิ แต่พระองค์กลับพูดเปรียบเทียบ เหมือนกับว่า พระเจ้าอาจจะไม่ได้ส่งเรามารักษาพวกท่านก็ได้ แต่ให้รักษาคนต่างด้าว ประการที่สอง เมื่อก่อนพระเยซูยังไม่ได้ประสบเกียรติ พวกเขาคิดว่ามีศักดิ์เท่าๆกับพวกเขานั่นแหละ และพระเยซูพูดเปรียบเทียบตัวพระเยซูเอง กับ เอลียาห์ และเอลีชา บรรพบุรุษที่พวกเขานับถือ พวกเขาจึงไม่พอใจ ถ้าพระเยซูพูดว่า พระองค์เป็นใหญ่กว่าอับราฮัม ยิ่งไปกันใหญ่

พวกเขาพยายามที่จะผลักพระองค์ตกเขา แต่พระองค์หลบมาได้ ในข้อ 30 ข้อนี้อ่านแล้วเป็นข้อความไม่ปกติ (ทั้งภาษาไทย และอังกฤษ) ไม่น่าจะหลบมาได้อย่างธรรมดา เชื่อว่าโดยเดชพระวิญญาณของพระเจ้าช่วยพระเยซูออกมาได้ อาจทำให้พวกเขาทั้งหลายตาฟางไป อย่างใน ลก 24:16

พฤหัส 16-2-95 21:50 น. คำเผยพระวจนะโดยอัจฉรีย์ (เซลล์บ้านคุณ..... ที่พัทยา)

ในการศึกษาเรื่องความจริงของเราองค์พระผู้เป็นเจ้า เจ้าทั้งหลายจะรู้และเข้าจึงความละเอียดอย่างรอบคอบลูกเอ๋ย ทุกอย่างที่เราสำแดงให้กับเจ้าทั้งหลายได้ยินได้ฟังนั้น เป็นความจริงลูกเอ๋ย และเราก็บอกความจริงให้เจ้าทั้งหลายได้รู้ว่า ไม่ว่าจะเป็นการร้ายหรือการดีใดๆก็ตาม ล้วนเป็นกิจการขององค์พระบิดาเจ้าทั้งสิ้นลูกเอ๋ย เป้าหมายของพระเจ้ายิ่งใหญ่ ถ้าพระองค์ต้องการให้สิ่งใดเกิดขึ้น ทุกอย่างจะต้องเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเกิดขึ้นภายใต้การร้ายหรือการดีลูกเอ๋ย แต่เป้าหมายหรือชัยชนะที่เป็นผลสำเร็จของพระเจ้าเจ้า จะต้องประจักษ์กับสายตาของประชาชาติทั่วไปลูกเอ๋ย เหมือนดังเช่นการวายพระชนม์ของเราบนไม้กางเขน นั่นก็เป็นการทรงนำของพระบิดาเจ้าทั้งสิ้นลูกเอ๋ย แม้จะผ่านการร้าย แต่เป้าหมายและผลสำเร็จจะต้องเกิดขึ้นทั้งสิ้น ดังเช่นส่งที่เจ้าได้เล่าเรียนในวันนี้ลูกเอ๋ย ทั้งสิ้นนั้นเป็นการทรงนำขององค์พระบิดาเจ้าทั้งหมดลูกเอ๋ย เราบอกความจริงให้เจ้ารู้ว่า เหตุที่เราต้องเป็นผู้ที่ยืนอ่านหนังสือในผู้เผยพระวจนะอิสยาห์นั้นลูกเอ๋ย นั่นก็คือการทรงนำขององค์พระบิดาเจ้า ที่พระองค์ทรงนำพาให้บรรดาบุคคลต่างๆในธรรมศาลานั้น ได้เห็น ถึงเรา และมอบให้เรา และเป็นความเคยชินที่เขาทั้งหลายได้เห็นเราตลอดวันเวลา เพราะการเจริญวัยของเราเติบโตที่นั่นลูกเอ๋ย และสิ่งที่สำคัญนั้น เขาได้เห็นถึงสิ่งต่างๆที่เราได้กระทำมาอย่างสม่ำเสมอ แม้ในวัยเด็กของเรา เราก็โต้ตอบในสิ่งที่เกี่ยวข้องของถ้อยคำของพระวจนะของพระเจ้ามาตลอดวันเวลา ความเคยชินเหล่านี้จึงเกิดขึ้นกับสายตาของบรรดาประชากรที่นั่นลูกเอ๋ย และสิ่งสำคัญ บุคคลที่นั่น ขี้เกียจ และ ไม่มีความกล้าหาญใดๆลูกเอ๋ย ตลอดวันเวลา เราคือผู้ที่มีความกล้าหาย เรากล้าหาญที่จะโต้ตอบปัญหาต่างๆ เรากล้าหาญที่จะยืนอยู่ท่านกลางบรรดาประชากรอย่างมากมาย เรากล้าที่จะกระทำทุกอย่างลูกเอ๋ย และหน้าที่เหล่านี้ ก็จึงตกมาเป็นของเรา โดยความขี้เกียจของพวกเขาเป็นพื้นฐาน และด้วยความที่ขาดความกล้าหาญของเขาทั้งหลายลูกเอ๋ย เขาเห็นความเคยชินที่เห็นการปฏิบัติของเรา เขาจึงมอบหน้าที่เหล่านี้ให้กับเรา โดยความเคยชินของพวกเขาลูกเอ๋ย มิได้เป็นการยกย่องใดๆ ในตัวเราในครั้งนั้นลูกเอ๋ย แต่เหล่านี้ก็ล้วนมาจากการทรงนำขององค์พระบิดาเจ้าลูกเอ๋ย ที่มอบในสิ่งเหล่านี้ได้เกิดขึ้น ให้เราได้ยืนขึ้นท่านกลางบรรดาประชาชาติลูกเอ๋ย เราได้กระทำให้พระวจนะขององค์พระบิดาเจ้าสำเร็จในขั้นตอนในวันนั้นลูกเอ๋ย และเราก็บอกความจริงแล้วมิใช่หรือลูกเอ๋ยว่า บรรดาผู้เผยพระวจนะนั้น จะไม่มีผู้ใดเลยที่จะยอมรับในเมืองของตนเองลูกเอ๋ย และเราก็ยกตัวอย่างเอลียาห์ให้เจ้าได้ยินได้ฟัง นั่นก็คือข้อเปรียบเทียบให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เอลียาห์ก็เช่นเดียวกันลูกเอ๋ย ทุกอย่างของเขานั้นจะขึ้นกับการทรงนำขององค์พระบิดาเจ้าลูกเอ๋ย ไม่ว่าพระองค์จะทรงนำไปหาบุคคลหนึ่งบุคคลใด จะต้องมาจากพระองค์ทั้งสิ้น เขาจะไม่สามารถจะไปพบผู้หนึ่งผู้ใด โดยตัวของเขาเองหรือความปรารถนาของเขาเอง หาได้ไม่ลูกเอ๋ย และทั้งสิ้นเหล่านี้องค์พระบิดาทรงบอกแล้วว่า สายพระเนตรของพระองค์ทรงมองหมดทั้งคนดีและคนชั่วลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้นไม่ว่าเจ้าจะอยู่ที่ใด ในแผ่นดินโลกนี้นั้น หารอดพ้นจากสายพระเนตรขององค์พระบิดาเจ้าไม่ลูกเอ๋ย และตลอดวันเวลา พระองค์ก็ทรงหยั่งรู้ว่า ผู้ใด ที่จะเป็นผู้ที่พระองค์ทรงเรียกและทรงเลือกลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้นการที่พระองค์ส่งเอลียาห์ไปหาหญิงม่ายนั้นลูกเอ๋ย และเป็นหญิงม่ายที่มิใช่ชนชาติของคนอิสราเอลเหล่านี้ ไม่ใช่เป็นสิ่งที่แปลกประหลาดใดๆลูกเอ๋ย เหล่านี้เป็นความจริง และสิ่งสำคัญ เอลียาห์ก้ได้กระทำให้หมายสำคัญของพระเจ้าและถ้อยคำที่พระองค์ทรงสำแดงว่า บรรดาผู้เผยพระวจนะ หาเป็นที่ยอมรับไม่ในเมืองของตนลูกเอ๋ย นี่เป็นความจริงที่ครบถ้วนในถ้อยคำลูกเอ๋ย เอลียาห์ได้ทำในสิ่งเหล่านี้ เกิดขึ้นก่อนตัวของเราได้กระทำลูกเอ๋ย เรามาเพื่อกระทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างชัดเจนขึ้น และในพระวจนะของพระเจ้าในขั้นตอนเหล่านี้จึงเป็นความจริงที่ครบถ้วนบริบูรณ์ลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้นเจ้าจะต้องพินิจพิจารณาว่า ทุกอย่างที่พระเจ้าทรงนำกับเจ้านั้นลูกเอ๋ย มันจะผ่านทั้งการดีและการร้ายลูกเอ๋ย อย่าหวั่นวิตกในสิ่งใดๆ ถ้ามีการร้ายเกิดขึ้นในชีวิตของเจ้า ถ้าเจ้าเป็นบุตรของเราองค์พระผู้เป็นเจ้า จงเชื่อเสมอว่า การร้ายของเจ้านั้นสามารถจะกลับกลายและเปลี่ยนแปลงให้เป็นการดีได้ และนั่นคือเป้าหมายที่พระบิดาเจ้าทรงวางไว้ทั้งสิ้นลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้นในเวลานี้ เราจึงตักเตือนให้เจ้าได้เห็นสิ่งสำคัญที่ยิ่งใหญ่ว่า บรรดากิจการทุกอย่างที่พระเจ้าทรงกำหนด และบัญชาว่าจะต้องเกิดขึ้น และจะต้องเป็นเป้าหมายใด วางไว้ตรงหน้าของพวกเจ้าหรือแม้แต่นิมิตของพวกเจ้าลูกเอ๋ย ทุกอย่างจะต้องถูกการจัดวางและการจัดเตรียมให้เกิดทั้งสิ้นลูกเอ๋ย ไม่ว่าจะเป็นการผ่านการดีหรือการร้าย แต่ทั้งสิ้นจะต้องประสบผลสำเร็จและชัยชนะในขั้นตอน และตอนจบและตอนสุดท้ายทั้งสิ้นลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้นในเวลาเหล่านี้ เราบอกความจริงให้เจ้ารู้ว่า ทุกอย่างนั้น มาจากการทรงนำขององค์พระบิดาเจ้าตลอดวันเวลาลูกเอ๋ย ไม่ว่าการเหล่านั้นจะเข้าสู่การร้ายใดๆก็ตาม และไม่ว่าการเหล่านั้นจะเข้าสู่การดีใดๆก็ตาม และไม่ว่าทั้งคนดีและคนชั่วลูกเอ๋ย อยู่ในน้ำพระทัยและอยู่ในสายพระเนตรของพระเจ้าเสมอลูกเอ๋ย แต่พระองค์จะทรงตัดสินกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดลงไปนั้นลูกเอ๋ย ขึ้นอยู่กับน้ำพระทัยและความเที่ยงธรรมและความยุติธรรมของพระองค์ทั้งสิ้น ดังนั้นสิ่งที่เราสั่งสอนกับเจ้าในเวลาเหล่านี้นั้นลูกเอ๋ย อย่าท้อแท้ต่อความยากลำบากใดๆ อย่าท้อแท้และเบื่อหน่ายหรืออ่อนระอา ต่อสิ่งชั่วร้ายใดๆที่เจ้ากำลังเผชิญอยู่ลูกเอ๋ย เพราะถ้าเจ้าผ่านวาระเหล่านี้ได้ลูกเอ๋ย ชัยชนะและเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่นั้น ย่อมมีแน่นอนในชีวิตของเจ้าลูกเอ๋ย เพราะบรรดาบุคคลที่เป็นบุตรของพระเจ้านั้น มีการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าอยู่ตลอดวันเวลา จงเชื่อในสิ่งเหล่านี้เถิดลูกเอ๋ย เหล่านี้ล้วนเป็นความจริงและสิ่งสำคัญในเวลาเหล่านี้ เราตรัสกับพวกเจ้า ด้วยตัวของเราเองลูกเอ๋ย เราสั่งสอนเจ้าด้วยตัวของเราเองลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้นในเวลาเหล่านี้นั้น พระเจ้าของเจ้าสถิตอยู่กับเจ้าตลอดวันเวลา อย่าเชื่อมนุษย์ผู้หนึ่งผู้ใดว่า เจ้าไม่มีการทรงนำของเราองค์พระผู้เป็นเจ้า เจ้าทุกคนที่เป็นบุตรของเรา เจ้ามีการทรงนำของเราองค์พระผู้เป็นเจ้าทุกคนลูกเอ๋ย เพียงแต่เนื้อหนังหรือความเป็นมนุษย์ของเจ้า ขาดการสังเกตุหรือขาดการฝึกฝน หรือขาดการพิจารณาใดๆลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้นจงหันกลับมาฝึกฝน และพิจารณาทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น ในชีวิตของเจ้าตลอดวันเวลาลูกเอ๋ย ชีวิตของพวกเจ้าไม่มีคำว่าบังเอิญลูกเอ๋ย ในเราองค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดจะบังเอิญเกิดขึ้นกับเจ้าได้ลูกเอ๋ย ทุกอย่างมาจากการทรงนำของเราตลอดหมดลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้นทุกวันทุกเวลานี้ เราทรงนำกับเจ้าทั้งหลายทุกคนอย่างชัดเจน และนับวันจะยิ่งชัดเจนมากยิ่งขึ้นยิ่งขึ้นลูกเอ๋ย เพราะเราบอกแล้วว่า เราจะสั่งสอนเจ้าวันต่อวัน ให้เจ้ามีชีวิตกับเราวันต่อวันลูกเอ๋ย และสิ่งใหม่จะเกิดขึ้นในชีวิตของเจ้าอย่างมากมายลูกเอ๋ย เจ้าจะเป็นผู้ที่ได้รับพระพรของพระเจ้าอย่างชัดเจน เพราะเจ้ามีความรู้มีความเข้าใจ ที่เราองค์พระผู้เป็นเจ้าได้สำแดง และสั่งสอนกับเจ้าตลอดวันเวลา เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญในเวลานี้ อย่าเบื่อหน่ายหรืออย่าท้อแท้ต่อสิ่งใดๆ ที่เรานำพามาสู่เจ้าทั้งหลายทุกคนลูกเอ๋ย

______________จบบทที่ 5______________



บทที่ 6 ตอบคำถาม
ตอนนี้เราจะมาฝึกฝนการทรงนำของท่านกับพระเจ้า ท่านกับพระเจ้าเท่านั้น ข้าพเจ้าจะให้ท่านตอบคำถามข้างล่างนี้ โดยท่านเฝ้าเดี่ยวอธิษฐานขอการทรงนำ และค้นหาและอ่านจากพระคัมภีร์ ท่านอาจจะได้คำตอบโดย พยานภายใน หรือ ทรงตรัสบอกกับท่าน หรือ นิมิต

ท่านที่ไม่ใช่ผู้เผยพระวจนะ หรือ พระเจ้าไม่ได้ทรงตรัสเป็นเสียงกับท่าน ก็สามารถเข้าสู่การตอบคำถามนี้ได้ ข้าพเจ้าหมายถึงคริสเตียนทุกคน และก็ไม่ได้หมายความว่า ผู้เผยพระวจนะสามารถตอบคำถามเหล่านี้ได้อย่างถูกต้องทุกข้อ และพิสูจน์มาแล้วว่า คริสเตียนธรรมดา ที่ขอการทรงนำและอ่านพระคัมภีร์ ก็สามารถตอบได้อย่างถูกต้องทุกข้อ

ท่านไม่จำเป็นต้องอธิบายในช่องว่างก็ได้ ให้ตอบแต่เพียงว่า ใช่ หรือ ไม่ ก็ได้ โปรดให้เวลากับการทรงนำของพระเจ้า มากหน่อยด้วย เช่น 1-3 สัปดาห์

คำถาม เมื่อพระเยซูอยู่บนแผ่นดินโลก 33 ปี

1. พระองค์ดื่มเหล่าองุ่นหรือไม่ (ไม่นับตอนตั้งพิธีศีลมหาสนิท)

[ ] ดื่ม [ ] ไม่ดื่ม [ ] ไม่รู้

อ้างอิงข้อพระคำ _____________________________________________________

2. พระองค์ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าหรือไม่

[ ] ร้อง [ ] ไม่ร้อง [ ] ไม่รู้

อ้างอิงข้อพระคำ _____________________________________________________

3. พระองค์อธิษฐานเป็นภาษาแปลกๆหรือไม่

[ ] อธิษฐาน [ ] ไม่อธิษฐาน [ ] ไม่รู้

อ้างอิงข้อพระคำ _____________________________________________________

ข้าพเจ้าต้องขออภัยด้วย ที่ไม่อาจเฉลยคำตอบไว้ ณ ที่นี้ได้ โปรดสอบถาม

______________จบบทที่ 5______________