Custom Search By Google

Custom Search

วันศุกร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

พระธรรมโยบ Job

พระธรรมโยบชี้ให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างความทุกข์ยากของมนุษย์กับความยุติธรรมของพระเจ้า
ปกติถูกเรียกว่า theodicy (theos แปลว่าพระเจ้า dike แปลว่ายุติธรรม) ถ้าตอบสั้น ๆ
ก็คือมุมมองของโยบและเพื่อนที่มองพระเจ้าไม่เหมือนกัน
คือเพื่อนโยบมองที่ความยุติธรรมของพระเจ้าอย่างเดียว คนที่ทำผิดต้องถูกลงโทษ
ซึ่งเป็นความเชื่อของคนในสมัยนั้น ดังนั้นเมื่อโยบทุกข์ยากอย่างสาหัสก็แปลว่าพระเจ้ากำลังลงโทษเขา
(เพื่อนโยบก็ไม่ใช่คนอิสราเอล บางคนเป็นญาติอับราฮัม ) ทำให้พวกเขาปรัปรำว่าโยบต้องทำผิด
บังคับให้สารภาพหรือไม่ก็ไปตายซะ แต่พวกเขามองไม่เห็นที่อธิปไตยของพระเจ้า
พระผู้สร้างที่มีสิทธิ์ที่จะทำอะไรก็ได้ในสิ่งที่พระองค์สร้าง รวมทั้งการอนุญาให้ซาตานทดลองโยบด้วย
เขาไม่รู้ถึงพระปัญญาของพระเจ้าที่ต้องการให้ซาตานได้อับอายโดยการพิสูจน์ความเชื่อของโยบ
และมุมมองความรู้ของมนุษย์ที่จำกัดเกี่ยวกับพระประสงค์ของพระเจ้าที่อนุญาตให้ลูกของพระองค์ต้องทุกข์ยาก
สุดท้ายพระธรรมเล่มนี้ก็จบลงที่พระเจ้าไม่ได้ทอดทิ้งโยบ ทรงช่วยกู้เขาในเวลาที่เหมาะสม
พระเจ้าได้รับเกียติ ซาตานอับอาย

โดย : Godlovelilly


บทสรุปพระธรรมโยบ
พระธรรมโยบก็เหมือนกับพระธรรมทุกเล่มในพระคัมภีร์ ที่มีพระเยซูเป็นพระเอก
จุดจบของพระธรรมทุกเล่มจึงมุ่งชี้ไปหาคำตอบอยู่ที่พระเยซูเท่านั้น
แต่คนส่วนมากที่เชื่อพระเจ้าก็ไม่ได้เข้าใจความจริง
เพราะยังไม่บังเกิดใหม่จึงไม่อาจเข้าใจจิตใจของพระเจ้า ชีวิตจึงยังตกเป็นทาสของความบาป
ดำเนินชีวิตอยู่ใต้ธรรมบัญญัติต่อไปอย่างไม่รู้ตัว
Joh 3:3-7 3 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าผู้ใดไม่ได้บังเกิดใหม่
ผู้นั้นจะเห็นอาณาจักรของพระเจ้าไม่ได้" 4 นิโคเดมัสทูลพระองค์ว่า
"คนชราแล้วจะบังเกิดใหม่อย่างไรได้ จะเข้าในครรภ์มารดาครั้งที่สองและบังเกิดใหม่ได้หรือ"
5 พระเยซูตรัสตอบว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าผู้ใดไม่ได้บังเกิดจากน้ำและพระวิญญาณ
ผู้นั้นจะเข้าในอาณาจักรของพระเจ้าไม่ได้ 6 ซึ่งบังเกิดจากเนื้อหนังก็เป็นเนื้อหนัง
และซึ่งบังเกิดจากพระวิญญาณก็คือจิตวิญญาณ 7 อย่าประหลาดใจที่เราบอกท่านว่า ท่านต้องบังเกิดใหม่
พระเจ้าเปิดเผยจิตใจของมนุษย์ ผ่านทางพระธรรมโยบ ให้เห็นถึงสภาพจิตใจของมนุษย์และของพระเจ้า
และเห็นถึงกระบวนการทรงนำคนไปสู่การบังเกิดใหม่ซ่อนอยู่ด้วย เหมือนกับพระคัมภีร์เล่มอื่นๆ เช่นกัน
ซึ่งเป็นเรื่องราวของจิตใจ แต่คนส่วนมากติดอยู่กับเรื่องของเนื้อหนัง
จึงทำให้พระคัมภีร์กลายมาเป็นธรรมบัญญัติ เป็นแนวทางการดำเนินชีวิตเพื่อความสำเร็จในโลกสำหรับพวกเขา
ซึ่งผิดไปจากพระประสงค์ของพระเจ้าที่ประทานพระคัมภีร์มาเพื่อเปิดเผยความจริงให้กับมนุษย์ได้หันออกมาจากธ
รรมบัญญัติและมาดำเนินอยู่ในพระคุณของพระองค์
ก็ไม่ได้ต่างอะไรจากโยบและเพื่อนสามคน คือ เอลีฟัส บิลดัด และโศฟาร์ (ยกเว้นเอลีฮู)
ซึ่งยึดติดกับธรรมบัญญัติมาก ดูจากความคิดจิตใจของเขาตั้งแต่ต้น
จนกระทั้งตอนจบหลังเอลีฮูพูดและพระเจ้ามาสรุป
ตอนนั้นเองที่โยบได้ตาสว่างและเห็นถึงความผิดบาปของตนที่เชื่อมั่นว่าตนเองสามารถเป็นคนดีได้
และโยบได้กลับใจสำนึกผิด พระเจ้าจึงได้รับเขากลับคืน ส่วนเพื่อนสามคนนั้นพระเจ้าไม่ยอมรับ
ตรงนี้เป็นอุปมาเล็งถึงการที่โยบได้รับการชำระบาปและบังเกิดใหม่
หลุดพ้นจากการเป็นทาสของความบาปมาเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว
เอลีฮูเป็นคนของพระเจ้าที่ถูกพระเจ้าจัดเตรียมใช้ให้มาเปิดเผยความจริงแห่งพระคำและนำโยบให้กลับใจสำนึกใน
ความผิดบาปของตน (โยบ 32:2,มัทธิว 1:3)
คนที่ยังตกอยู่ใต้ธรรมบัญญัติ
เป็นทาสของความบาปมักตีความว่าพระธรรมโยบสอนเรื่องการทดลองที่มาจากพระเจ้า แก่คนชอบธรรม
เพราะเขาไม่เข้าใจพระคำของพระเจ้า อย่างเช่นในสายตาของมนุษย์ต่างพากันมองว่าโยบเป็นคนดีรอบคอบ
เที่ยงธรรม เกรงกลัวพระเจ้าและหันหนีจากความชั่วร้าย (โยบ 1:1, แต่พระเจ้ามองอย่างไร
ตรงนี้ต่างหากที่สำคัญ ความจริงก็คือในสายพระเนตรของพระเจ้า โยบเป็นคนชั่วร้าย
คือยังตกเป็นทาสของความบาปและอยู่ใต้ธรรมบัญญัติ
เพราะไม่มีมนุษย์สักคนเดียวเลยที่พระเจ้าเห็นว่าชอบธรรมหรือเป็นคนดี มีคุณค่า
แต่ทุกคนล้วนชั่วร้ายเหมือนกันหมด
Gen 6:5 และพระเจ้าทรงเห็นว่าความชั่วของมนุษย์มีมากบนแผ่นดินโลก
และเจตนาทุกอย่างแห่งความคิดทั้งหลายในใจของเขาล้วนแต่ชั่วร้ายอย่างเดียวเสมอไป
Rom 3:10-12 ตามที่มีเขียนไว้แล้วว่า `ไม่มีผู้ใดเป็นคนชอบธรรมสักคนเดียว ไม่มีเลย 11
ไม่มีคนที่เข้าใจ ไม่มีคนที่แสวงหาพระเจ้า 12 เขาทุกคนหลงทางไปหมด
เขาทั้งปวงเป็นคนไร้ค่าเหมือนกันทั้งสิ้น ไม่มีสักคนเดียวที่ทำดี ไม่มีเลย
ในสายตาของพระเจ้าที่มองมนุษย์ไม่ว่าจะเป็นฆาตกรฆ่าข่มขืนแล้วหั่นศพ หรือศาสดาผู้นำทางศาสนา
ถ้ายังไม่ได้บังเกิดใหม่ก็ล้วนเป็นคนชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระเจ้า
และเช่นกันพระเจ้ากำลังสอนความจริงให้กับมนุษย์ผ่านโยบที่ยังคิดว่าพระเจ้าพอพระทัยตัวเอง
ที่ตัวเองนั้นพยายามที่จะเป็นคนดี จิตใจที่มีความเชื่อเช่นนั้น ที่คิดว่าตัวเองสามารถจะเป็นคนดีได้
เป็นจิตใจที่สูง เห่อเหิมยกตัวเอง เป็นสิ่งที่ชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระเจ้า เพราะมนุษย์เป็นคนบาป
เป็นคนที่ตายแล้ว ไม่มีสิ่งดีใดๆ สามารถออกมาจากมนุษย์ได้อีกแล้ว นอกจากความชั่วร้าย นรกเป็นที่ๆ
เดียวที่เหมาะสำหรับมนุษย์ มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับการกระทำที่แสดงออกมดีหรือเลว
แต่มนุษย์ทุกคนชั่วร้ายนั่นคือเนื้อแท้ของมนุษย์ทุกคน ความจริงตรงนี้ต่างหากที่พระเจ้ามองเห็น
พระเจ้าอวยพรโยบเพราะเขาทำตามน้ำพระทัยพระเจ้าต่างหาก
ซึ่งมีอย่างเดียวนั่นก็คือการที่เขาถวายเครื่องบูชาเพื่อชำระบาป
ซึ่งตรงนี้ก็เล็งถึงการชำระบาปผ่านทางพระเยซูคริสต์ พระเจ้าพอพระทัยเพียงสิ่งที่มาจากพระเยซูเท่านั้น
และพระเจ้าก็นำโยบไปสู่การบังเกิดใหม่ในตอนท้าย (1:5,42:5-6)
ถ้าผู้เชื่อในพระเจ้าแต่ยังมาไม่ถึงตรงนี้ก็บังเกิดใหม่ไม่ได้
พระเจ้าพอพระทัยผู้ที่บังเกิดใหม่แล้วเท่านั้น เพราะพระเจ้ามองคนเหล่านั้นปราศจากบาปแล้ว
แต่เพราะผู้เชื่อพระเจ้าหลายคนไม่เข้าใจ จึงยังคงจดจ่ออยู่แต่ที่การพยายามจะทำแต่ความดีละเว้นความชั่ว
ยังใช้จิตสำนึกเพื่อจะได้เป็นลูกของพระเจ้า ทั้งที่ความจริงไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกันเลย
ระหว่างการกระทำกับความรอดหรือสิทธิในการเป็นลูกที่พระเจ้าประทานให้
การพยายามทำความดีนั่นเป็นประโยชน์แต่ทางมนุษย์เนื้อหนังหรือคนบาปที่ยังดำเนินอยู่ด้วยกำลังความสามารถขอ
งตน เพราะจิตสำนึกก็มาจากความบาปหลังจากที่อาดัมเอวาล้มลงเพราะกินผลไม้ของจิตสำนึกนี้ พวกเขาก็ตาย
แล้ว จิตวิญญาณขาดจากพระเจ้า ความบาปเข้าครอบงำ
และพึ่งพาจิตสำนึกแทนการติดตามพระสุรเสียงของพระเจ้านับแต่นั้น
นี่เป็นความชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระเจ้า(ปฐมกาล 2:17,3:6-7)
แต่ความรอดหรือการหลุดพ้นจากบาปกลับมาเป็นลูกของพระเจ้าได้นั้น
เป็นการฟื้นคืนจากชีวิตเก่าจึงเรียกว่าบังเกิดใหม่
แต่ขึ้นอยู่กับพระคุณพระเมตตาของพระเจ้าผ่านทางพระเยซูคริสต์ผู้เดียวเท่านั้น
มนุษย์ทำได้อย่างเดียวคือการรับไว้ด้วยความเชื่อ กระบวนการนำคนไปสู่การบังเกิดใหม่นี้
พระเจ้าเรียกว่าการกลับใจใหม่และรับบัพติศมาในพระนามแห่งพระเยซูคริสต์
ซึ่งตรงนี้ต้องใช้เวลาและจูงนำโดยคนของพระเจ้าผู้ที่บังเกิดใหม่แล้วเท่านั้น
อย่างที่โยบได้รับการจูงนำให้เข้าใจความจริงของพระเจ้าจากเอลีฮูผู้มีพระวิญญาณของพระองค์สถิตอยู่
แต่ไม่ใช่แค่ปากพูดว่าเชื่อพระเยซูและมาโบสถ์
แล้วก็สรุปว่านั่นคือการบังเกิดใหม่แล้วอย่างที่หลายคนกำลังหลงผิดอยู่นั้น
และไม่ใช่ทุกโบสถ์ในโลกเป็นคนของพระเจ้าที่คอยจูงนำ คนของมารซาตานคือคนที่ยังไม่ได้บังเกิดใหม่
พวกเขาจูงนำคนให้บังเกิดใหม่ไม่ได้ เพราะพวกเขาไม่มีพระวิญญาณของพระเจ้า
มีแต่ทำให้คนจมอยู่ในความบาปและตกเป็นทาสของธรรมบัญญัติอยู่ต่อไปเท่านั้น
Act 2:37-38 37เมื่อคนทั้งหลายได้ยินแล้วก็รู้สึกแปลบปลาบใจ จึงกล่าวแก่เปโตรและอัครสาวกอื่นๆว่า
"ท่านพี่น้องทั้งหลาย เราจะทำอย่างไรดี" 38 ฝ่ายเปโตรจึงกล่าวแก่เขาว่า
"จงกลับใจเสียใหม่และรับบัพติศมาในพระนามแห่งพระเยซูคริสต์สิ้นทุกคน
เพื่อว่าพระเจ้าทรงยกความผิดบาปของท่านเสีย และท่านจะได้รับของประทานของพระวิญญาณบริสุทธิ์
หลายคนไม่เคยผ่านขั้นตอนนี้เลย แล้วก็คิดเอาเองหรือถูกคำสอนผิดๆ หลอกว่าตนนั้นเป็นลูกของพระเจ้า
บังเกิดใหม่แล้ว การมาโบสถ์หรือมาทุ่มเทรับใช้มากมายในโบสถ์หรือทำอัศจรรย์ได้มากมาย
ไม่ได้หมายความว่าคนนั้นเป็นคริสเตียนหรือเป็นผู้ที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว
แต่ผู้ที่ได้บังเกิดใหม่แล้วคือผู้ที่ผ่านการบัพติศมาในพระเยซู หรือชำระบาปโดยพระคำแล้ว
ผลของเขาก็คือชีวิตเขาจะบริสุทธิ์ชอบธรรม สามารถฟังเสียงพระเจ้าได้เข้าใจและนำคนอื่นบังเกิดใหม่ได้
แต่คนส่วนมากที่มาโบสถ์ก็ยังเป็นเหมือนเพื่อนสามคนของโยบอยู่เลย คือยังเป็นทาสของความบาป
ชีวิตไม่บริสุทธิ์ คือติดอยู่ใต้ธรรมบัญญัติหรือการพยายามดำเนินชีวิตไปตามกำลังความคิดของตัวเอง
ซึ่งมาจากมารซาตานวางกรอบไว้ ไม่ได้ไปตามการทรงนำหรือตามน้ำพระทัยของพระเจ้าอย่างที่พวกเขาคิดกันเอาเอง
เพราะเขาไม่เคยได้ยินเสียงของพระองค์ เนื่องจากพระเจ้ายังไม่ได้รับเขาเลย
โบสถ์ของมารซาตานมากมายในโลกก็หลอกคนให้หลงติดอยู่เช่นนั้น ซึ่งน่ากลัวมาก
มากยิ่งกว่าคนที่ยังไม่ได้รู้จักพระเจ้าเลยเสียอีก
สำหรับคนที่หลงคิดว่าตนนั้นบังเกิดใหม่เป็นลูกของพระเจ้าแล้วทั้งๆ ที่ความจริงไม่ใช่
Mat 7:19-23 19 ต้นไม้ทุกต้นซึ่งไม่เกิดผลดีย่อมต้องถูกฟันลงและทิ้งเสียในไฟ 20 เหตุฉะนั้น
ท่านจะรู้จักเขาได้เพราะผลของเขา 21 มิใช่ทุกคนที่ร้องแก่เราว่า `พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า'
จะได้เข้าในอาณาจักรแห่งสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้
22 เมื่อถึงวันนั้นจะมีคนเป็นอันมากร้องแก่เราว่า `พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า
ข้าพระองค์ได้พยากรณ์ในพระนามของพระองค์ และได้ขับผีออกในพระนามของพระองค์
และได้กระทำการมหัศจรรย์เป็นอันมากในพระนามของพระองค์มิใช่หรือ' 23 เมื่อนั้นเราจะแจ้งแก่เขาว่า
`เราไม่เคยรู้จักเจ้าเลย เจ้าผู้กระทำความชั่วช้า จงไปเสียให้พ้นจากเรา'


โดย : NOBITA