Custom Search By Google

Custom Search

วันอังคารที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2551

ต้นไม้แห่งชีวิต คือพระเยซูคริสต์


พระเยซูทรงเป็นบุคคลประเภทใด อะไรคือความสัมพันธ์ระหว่างพระเยซูกับพระเจ้า อะไรคือความสัมพันธ์ระหว่างพระเยซูกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ อะไรคือความสัมพันธ์ระหว่างพระเยซูกับมนุษย์ที่ตกสู่บาป ตรีเอกานุภาพและการเกิดใหม่หมายถึงอะไร

บทนี้จะพูดถึงปัญหาต่างๆ เหล่านี้ เพื่อที่จะตอบคําถามเหล่านี้ เราต้องเริ่มต้นทำความเข้าใจเกี่ยวกับคุณค่าของบุคคลที่แท้จริงเริ่มแรก เหตุผลสําหรับสิ่งนี้ก็คือ ถ้าอาดัมและเอวาบรรลุถึงความสมบูรณ์ กลายเป็นมนุษย์ที่แท้จริง สามีและภรรยาที่แท้จริง พ่อแม่ที่แท้จริง และให้กําเนิดลูกหลานที่เป็นตัวตนแห่งความดี ดังนั้น จึงไม่มีเหตุผลใดสําหรับการมีพระผู้มาโปรด (และดังนั้นก็ไม่มีการถกเถียงทางคริสตวิทยา)

1. คุณค่าของบุคคลผู้ซึ่งบรรลุถึงความมุ่งหมายแห่งการสร้างสรรค์
จากทัศนะอันนี้ ขอให้เราพูดถึงคุณค่าของบุคคลผู้ซึ่งบรรลุถึงความมุ่งหมายแห่งการสร้างสรรค์ นั่นก็คือคุณค่าของบุคคลผู้ซึ่งได้มาซึ่งคุณค่าของอาดัมที่สมบูรณ์

ประการแรกทีเดียว อะไรคือคุณค่าของบุคคลที่สมบูรณ์ในความสัมพันธ์กับพระเจ้า ตาม"หลักการแห่งการสร้างสรรค์" มนุษย์ถูกสร้างขึ้นเป็นบุตรของพระเจ้า เป็นกรรมที่เป็นแก่นสารที่คล้ายคลึงกับพระเจ้าที่มองไม่เห็น เมื่อมนุษย์บรรลุถึงความมุ่งหมายแห่งการสร้างสรรค์ มนุษย์จะกลายเป็นพระวรกายของพระเจ้า เป็นสิ่งที่ดํารงอยู่ที่พระวิญญาณของพระเจ้าทรงสถิตอยู่ภายใน (1 โครินธ์ 3:16) โดยธรรมชาติ มีธรรมชาติของพระเจ้าและเป็นหนึ่งในหัวใจกับพระองค์ เป็นบุคคลที่แท้จริงผู้ซึ่งสมบูรณ์เช่นเดียวกับที่พระบิดาบนสวรรค์สมบูรณ์ดังที่พระเยซูตรัส (มัทธิว 5:48) ดังนั้นบุคคลที่แท้จริงเป็นบุคคลซึ่งเป็นตัวตนที่มองเห็นได้ของพระเจ้า เป็นบุตรชายและบุตรสาวที่แท้จริงของพระเจ้า มีธรรมชาติของพระเจ้าและบรรลุถึงความมุ่งหมายแห่งการสร้างสรรค์

ประการที่สอง อะไรคือคุณค่าของบุคคลที่สมบูรณ์ในความสัมพันธ์กับบุคคลอื่นๆ ตาม"หลักการแห่งการสร้างสรรค์" พระประสงค์ของพระเจ้าที่ทรงสร้างมนุษย์ก็คือ เพื่อที่พระองค์จะทรงได้รับความสุขโดยผ่านมนุษย์ เพราะฉะนั้น แต่ละบุคคลจึงเป็นกรรมที่เป็นแก่นสารซึ่งคล้ายคลึงกับลักษณะพิเศษต่างๆ ภายในพระเจ้าซึ่งเป็นประธาน เพราะว่ามนุษยชาติทั้งมวลคล้ายคลึงกับลักษณะที่เป็นสากลของพระเจ้า ทุกคนจึงมีธรรมชาติที่ร่วมกันอยู่ อย่างไรก็ตามบุคคลแต่ละคนคล้ายคลึงกับลักษณะพิเศษบางอย่างที่เป็นหนึ่งเฉพาะตัวภายในพระเจ้า ดังนั้นจึงไม่มีคนสองคนที่เหมือนกัน ถ้าพระเจ้าทรงสร้างบุคคลสองคนหรือมากกว่านั้นซึ่งมีลักษณะพิเศษเหมือนกันโดยสิ้นเชิงในบรรดาสรรพสิ่งทั้งมวลของพระองค์ การสร้างสรรค์ของพระเจ้าก็จะเป็นการสูญเปล่า เพราะว่ามนุษย์ถูกสร้างขึ้นให้ดํารงอยู่ชั่วนิรันดร์ ดังนั้น ความปรารถนาของพระเจ้าเพื่อที่จะทรงได้รับการกระตุ้นแห่งความปีติโดยผ่านบุคคลหนึ่งๆ จึงถูกทําให้พึงพอใจอย่างเพียงพอโดยผ่านบุคคลคนนั้นคนเดียว เพราะฉะนั้น บุคคลผู้ซึ่งบรรลุถึงความมุ่งหมายแห่งการสร้างสรรค์จึงเป็นบุคคลที่เป็นหนึ่งเฉพาะตัวที่ไม่สามารถลอกเลียนแบบได้ในเอกภพทั้งมวล ไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็ตาม พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ บุคคลที่แท้จริงบุคคลหนึ่งๆ ผู้ซึ่งบรรลุถึงความมุ่งหมายแห่งการสร้างสรรค์เป็นบุคคลที่เป็นหนึ่งเฉพาะตัว ผู้ซึ่งไม่เคยถูกลอกเลียนแบบได้ชั่วนิรันดร์ ดังนั้น เขาจึงมีคุณค่าภายในตัวที่เป็นหนึ่งเฉพาะตัวซึ่งไม่สามารถปฏิเสธได้

ประการที่สาม อะไรคือคุณค่าของบุคคลที่สมบูรณ์ในความสัมพันธ์กับสรรพสิ่งที่เหลือ ตาม"หลักการแห่งการสร้างสรรค์" มนุษย์ถูกสร้างขึ้นเพื่อปกครองโลกฝ่ายวิญญาณที่มองไม่เห็นโดยตัวตนฝ่ายวิญญาณ และโลกฝ่ายเนื้อหนังโดยตัวตนฝ่ายเนื้อหนัง มนุษย์จะทําหน้าที่เป็นสื่อกลางที่ซึ่งโลกทั้งสองนี้มีปฏิกิริยาซึ่งกันและกัน บุคคลผู้ซึ่งบรรลุถึงความมุ่งหมายแห่งการสร้างสรรค์จะต้องปกครองเอกภพทั้งมวล (ปฐมกาล 1:28)

ตัวตนฝ่ายวิญญาณของมนุษย์จะต้องเป็นเอกภพขนาดเล็กของโลก ฝ่ายวิญญาณทั้งมวล และตัวตนฝ่ายเนื้อหนังเป็นเอกภพขนาดเล็กของโลกฝ่ายเนื้อหนังทั้งมวล มนุษย์ที่แท้จริงผู้ซึ่งบรรลุถึงความมุ่งหมายแห่งการสร้างสรรค์เป็นเอกภพขนาดเล็กของเอกภพทั้งมวล มนุษย์เป็นเอกภพขนาดเล็ก (ของสรรพสิ่ง) และมีคุณค่าแห่งเอกภพ ข้อเท็จจริงที่ว่ามนุษย์โดยเริ่มแรกมีคุณค่าแห่งเอกภพดังกล่าวนั้นอยู่ในพระดำรัสของพระเยซูที่ว่า "ถ้าผู้ใดจะได้สิ่งของสิ้นทั้งโลก แต่ต้องเสียชีวิตของตน ผู้นั้นจะได้ประโยชน์อะไร" (มัทธิว 16:26)

2. พระเยซูและบุคคลผู้ซึ่งบรรลุถึงความมุ่งหมายแห่งการสร้างสรรค์
ก. พระเยซูกับบุคคลที่สมบูรณ์
ดังที่อธิบายมาแล้วใน "การตกสู่บาป" ว่าถ้าอาดัมกลายเป็นชายคนแรกผู้ซึ่งบรรลุถึงอุดมคติสําหรับการสร้างสรรค์ อาดัมก็ควรที่จะกลายเป็นต้นไม้แห่งชีวิตที่ถูกกล่าวถึงในปฐมกาล 2:9 และดังนั้น ลูกหลานทั้งหลายจะกลายเป็นต้นไม้แห่งชีวิต อย่างไรก็ตาม อาดัมตกสู่บาป และดังนั้นจึงไม่สามารถทําให้อุดมคติของต้นไม้แห่งชีวิตกลายเป็นความจริงได้ (ปฐมกาล 3:24) ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา มนุษย์ที่ตกสู่บาปก็ได้หวังที่จะแก้ไขตัวเองและกลายเป็นต้นไม้แห่งชีวิต (สุภาษิต 13:12, วิวรณ์ 22:14)

แม้ว่ามนุษย์ที่ตกสู่บาปจะ "ได้ชื่อว่ามีชีวิตอยู่" แต่ในความเป็นจริง มนุษย์เป็นต้นไม้แห่งชีวิตที่จอมปลอมและตายแล้ว (วิวรณ์ 3:1) เพราะมนุษย์ที่ตกสู่บาปไม่สามารถแก้ไขตัวเขาเองให้เป็นต้นไม้แห่งชีวิตโดย อํานาจของตัวเองได้ ดังนั้นต้นไม้แห่งชีวิต พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือมนุษย์ ผู้ซึ่งบรรลุถึงอุดมคติแห่งการสร้างสรรค์จะต้องมาและเชื่อมต่อกับมนุษย์ที่ตกสู่บาป มนุษย์ผู้ซึ่งมาเป็นเสมือนต้นไม้แห่งชีวิตก็คือพระคริสต์ (วิวรณ์ 22:14) เพราะฉะนั้น อาดัมที่สมบูรณ์ซึ่งถูกแทนเป็นสัญลักษณ์โดยต้นไม้แห่งชีวิตในสวนเอเดนและพระเยซูยังทรงถูกเปรียบเสมือนต้นไม้แห่งชีวิต ในวิวรณ์ 22:14 จึงเหมือนกันในแง่ที่ว่าทั้งคู่เป็นบุคคลผู้ซึ่งได้บรรลุถึงอุดมคติแห่งการสร้างสรรค์

แล้วพระเยซูทรงเป็นมนุษย์หรือไม่ ใช่ พระองค์ทรงเป็นมนุษย์ พระองค์ทรงเป็นตัวอย่างของบุคคลผู้ซึ่งได้บรรลุถึงอุดมคติสําหรับการสร้างสรรค์ พระองค์ทรงเป็นบุคคลที่แท้จริง ทรงเป็นตัวอย่างของมนุษย์ที่ถูกสร้างขึ้นในเริ่มแรก และดังนั้นคุณค่าของพระองค์จึงไม่สามารถถูกเปรียบเทียบได้กับคุณค่าของมนุษย์ที่ตกสู่บาป

ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว บุคคลที่แท้จริงคือบุคคลผู้ซึ่งบรรลุถึงความมุ่งหมายแห่งการสร้างสรรค์ เป็นตัวตนที่เป็นแก่นสารของพระเจ้าและสมบูรณ์เช่นเดียวกับที่พระเจ้าสมบูรณ์ มีคุณค่าที่ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า บุคคลที่สมบูรณ์ยังเป็นบุคคลเฉพาะตัวที่เป็นหนึ่งเฉพาะตัวที่ไม่มีใครลอกเลียนแบบได้ ผู้ซึ่งเป็นเจ้าแห่งเอกภพและมีคุณค่าแห่งเอกภพ พระเยซูทรงเป็นมนุษย์ที่แท้จริง ดังนั้นพระองค์จึงทรงเป็นบุคคลแห่งคุณค่าดังกล่าว

หลักการไม่ได้ปฏิเสธความเชื่อดั้งเดิมของคนคริสเตียนมากมายที่ว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง เพราะว่าบุคคลที่แท้จริงที่สมบูรณ์นั้นเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อหลักการยืนยันว่าพระเยซูทรงเป็นมนุษย์ที่แท้จริง สิ่งนี้ก็ไม่ได้ลดคุณค่าของพระองค์ลงแต่อย่างใด เพราะเมื่อเราพิจารณาคุณค่าของบุคคลที่สมบูรณ์ เราพบว่ามันเทียบเท่าคุณค่าของพระเยซู โดยแท้จริงแล้ว ถ้าชายหญิงคู่แรกไม่ได้ตกสู่บาปและกลายเป็นชายหญิงแห่งคุณค่าดังกล่าว การเสด็จมาของพระเยซูก็จะเป็นสิ่งไม่จําเป็นนั่นเป็นความผิดพลาดอย่างมหันต์ในการถือว่าคุณค่าของมนุษย์ที่ตกสู่บาปสามารถเทียบเท่ากับคุณค่าของพระเยซูเพียงเพราะว่าพระเยซูทรงเป็นมนุษย์คนหนึ่ง พระองค์ทรงเป็นมนุษย์ที่แท้จริง ขอให้เราพิจารณาพื้นฐานทางพระคัมภีร์สําหรับการกล่าวเช่นนี้

ด้วยเหตุว่ามีพระเจ้าองค์เดียว และมีคนกลางแต่ผู้เดียวระหว่าง พระเจ้ากับมนุษย์คือพระเยซูคริสต์ผู้ทรงสภาพเป็นมนุษย์
(1 ทิโมธี 2:5)

เพราะว่าคนเป็นอันมากเป็นคนบาปเพราะคนคนเดียวที่มิได้เชื่อฟังฉันใด คนเป็นอันมากก็เป็นคนชอบธรรมเพราะพระองค์ผู้เดียวที่ได้ทรงเชื่อฟังฉันนั้น
(โรม 5:19)

เพราะความตายได้อุบัติขึ้นเพราะมนุษย์คนหนึ่ง (อาดัม) เป็นฉันใด การเป็นขึ้นมาจากความตายก็ได้อุบัติขึ้นเพราะมนุษย์ ผู้หนึ่ง (พระเยซู) เป็นเหตุฉันนั้น
(1โครินธ์ 15:21)

...เพราะพระองค์ได้ทรงกําหนดวันหนึ่งไว้ ในวันนั้นพระองค์จะทรงพิพากษาโลกตามความชอบธรรม โดยมนุษย์ผู้นั้นซึ่งพระองค์ได้ทรงเลือกไว้และพระเจ้าได้ทรงโปรดให้คนทั้งปวงมีความแน่ใจในเรื่องนี้ โดยทรงให้มนุษย์ผู้นั้นคืนชีวิต
(กิจการ 17:31)

ข้อความเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าพระเยซูทรงเป็นมนุษย์ พระเยซูยังทรงตรัสว่าตัวพระองค์เองเป็นบุตรมนุษย์ในหลายๆแห่งในพระคัมภีร์ (เช่น ลูกา 17:26, 18:8)

ข. พระเยซูทรงเป็นพระเจ้าหรือไม่
จนกระทั่งปัจจุบัน คนคริสเตียนมากมายมีความเชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า ผู้สร้าง ส่วนใหญ่แล้วบนพื้นฐานของข้อความต่อไปนี้จากพระคัมภีร์

เมื่อฟีลิปทูลขอให้พระเยซูทรงสำแดงพระเจ้าให้เขาเห็น พระเยซูตรัสตอบว่า "ผู้ที่ได้เห็นเราก็ได้เห็นพระบิดา ท่านจะพูดได้อย่างไรอีกว่า "ขอสําแดง พระบิดาให้ข้าพระองค์ทั้งหลายเห็น" ท่านไม่เชื่อหรือว่าเราอยู่ในพระบิดาและพระบิดาทรงอยู่ในเรา"(ยอห์น 14:9, 10) อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ไม่ได้หมายความว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า ดังที่ได้ทําให้ชัดเจนมาแล้วว่าพระเยซูเป็นการแสดงออกที่มองเห็นได้ของพระเจ้าที่มองไม่เห็น พระองค์ทรงเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าในหัวใจ อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ไม่ได้หมายความว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า ฟีลิปทูลขอให้พระเยซูสำแดงพระเจ้าให้เขาเห็น แต่บุคคลที่สมบูรณ์เท่านั้นที่สามารถมีประสบการณ์ที่บริบูรณ์กับพระเจ้าได้ แต่ฟีลิปยังไม่สมบูรณ์ ดังนั้น พระเยซูทรงไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากการสำแดงตัวพระองค์เองเท่านั้น

อีกเช่นกัน พระคัมภีร์กล่าวว่า "พระองค์ (พระเยซู) ทรงอยู่ในโลก ซึ่งพระเจ้าทรงสร้างขึ้นมาทางพระองค์แต่โลกหาได้รู้จักพระองค์ไม่" (ยอห์น 1:10) บนพื้นฐานของข้อความนี้ ชาวคริสเตียนได้เชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นพระผู้สร้าง

ศูนย์กลางของอุดมคติของพระเจ้าคือมนุษย์ และเอกภพก็ถูกออกแบบและถูกสร้างขึ้นเพื่อให้เป็นอาณาจักรที่ซึ่งบุคคลอุดมคติแต่ละคนปกครอง ดังนั้นพระเจ้าทรงตั้งบุคคลผู้ซึ่งบรรลุถึงความมุ่งหมายแห่งการสร้างสรรค์เป็นเสมือนอุดมคติสูงสุด พระเจ้าทรงสร้างสิ่งทั้งมวลจากสิ่งดํารงอยู่ที่ตํ่าที่สุดไปสู่สิ่งที่สูงที่สุด ในที่สุดพระองค์ก็ทรงสร้างอาดัมเป็นเจ้าเหนือสิ่งทั้งมวล พระเยซู ในฐานะของบุคคลผู้ซึ่งบรรลุถึงความมุ่งหมายแห่งการสร้างสรรค์จึงทรงเป็นบุคคลอุดมคติที่พระเจ้าทรงวาดภาพไว้ก่อนที่สรรพสิ่งจะถูกสร้างขึ้น ในแง่นี้ พระเยซูทรงดํารงอยู่ตั้งแต่เริ่มแรก

บางคนพยายามที่จะถือว่าพระเยซูทรงเป็นเหมือนกับพระเจ้าบนพื้นฐานของข้อความในยอห์น 8:58 ที่ซึ่งพระเยซูตรัสว่า "...เราดํารงอยู่ก่อนอับราฮัมเกิด..." แต่พระเยซูไม่ได้ทรงหมายความว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า แต่พระเยซูสามารถตรัสเช่นนี้ได้ ทั้งนี้ โดยเชื้อสายแล้ว แม้ว่าพระเยซูจะทรงเป็นลูกหลานของอับราฮัมก็ตาม แต่โดยความจริง พระองค์ทรงเป็นบรรพบุรุษของอับราฮัม เพราะว่าพระองค์เสด็จมาเพื่อให้การ กําเนิดใหม่แก่มวลมนุษยชาติจากตําแหน่งของอาดัมที่สมบูรณ์ นั่นก็คือจากตําแหน่งของพ่อแม่ที่แท้จริง บรรพบุรุษที่แท้จริงของทวลมนุษยชาติ

ถ้าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า ในโลกฝ่ายวิญญาณหลังจากการคืนพระชนม์ของพระองค์ พระองค์ก็ควรจะทรงเป็นหนึ่งและทรงเป็นเสมือนกับพระเจ้ามากกว่าที่จะทรงอยู่ในตําแหน่งที่ "ถัดไปจาก" พระเจ้า อย่างไรก็ตาม ในโลกฝ่ายวิญญาณ พระเยซูทรงถูกกล่าวว่าทรงประทับอยู่ทางด้านขวามือของพระเจ้าทูลและขอความกรุณาสําหรับเรา (โรม 8:34) พระเยซูประสูติบนโลกเป็นเสมือนบุตรมนุษย์และมีรูปร่างลักษณะภายนอกเป็นมนุษย์เหมือนกับคนอื่น ในโลกฝ่ายวิญญาณพระองค์ทรงดํารงอยู่เป็นบุคคลทางฝ่ายวิญญาณเช่นเดียวกับที่สาวกของพระองค์เป็น สิ่งที่แตกต่างก็คือว่าตัวตนฝ่ายวิญญาณของพระองค์ปราศจากบาปเริ่มแรกและเปล่งรัศมีที่เจิดจ้า

ถ้าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า แล้วพระองค์จะทรงสามารถขอความกรุณากับตัวพระองค์เองได้อย่างไร เมื่อพระองค์กล่าวคำอธิษฐาน พระองค์ทรงกระทําให้เห็นชัดเจนว่าพระองค์ทรงไม่ใช่พระเจ้าโดยการเรียกพระเจ้าว่าพระบิดา (ยอห์น 17:1) ถ้าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า พระองค์จะสามารถถูกล่อลวง (มัทธิว 4:1) และถูกทรมานและถูกผลักไสไปสู่การตรึงที่กางเขนโดยซาตานได้อย่างไร มันเป็นสิ่งที่ชัดเจนว่าพระเยซูทรงไม่ใช่พระเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพระองค์ทรงถูกตรึงอยู่ที่กางเขน พระองค์ทรงร้องตะโกนว่า "พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ไฉนทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย" (มัทธิว 27:46)

ค. พระเยซูกับมนุษย์ที่ตกสู่บาป
บุคคลที่ตกสู่บาปไม่สามารถเปรียบเทียบได้กับพระเยซู บุคคลที่ตกสู่บาปไม่ได้บรรลุถึงความมุ่งหมายแห่งการสร้างสรรค์ และอยู่ห่างไกลจากหัวใจของพระเจ้า ยิ่งไปกว่านั้นคือ เพราะว่ามนุษย์มีบาปเริ่มแรก มนุษย์จึงอยู่ในภาวะที่ตํ่าอย่างน่าสังเวชถึงขนาดว่าอิจฉาแม้กระทั่งทูตสวรรค์ผู้ซึ่งถูกสร้างขึ้นเป็นผู้รับใช้ของมนุษย์ และไม่สามารถปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากการกล่าวหาของซาตานได้ ดังนั้นมนุษย์ที่ตกสู่บาปจึงแตกต่างอย่างมากจากพระเยซูผู้ซึ่งเป็นบุคคลที่แท้จริงที่สมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม แม้ว่ามนุษย์ที่ตกสู่บาปจะไม่มีคุณค่า แต่โดยการได้รับการเกิดใหม่ทางฝ่ายวิญญาณโดยผ่านพระเยซู ผู้ทรงเป็นพ่อที่แท้จริง บุคคลที่ตกสู่บาปจะถูกแก้ไขเป็นบุตรฝ่ายวิญญาณของพระองค์และคล้ายคลึงกับพระองค์ แล้วพระองค์ก็ทรงกลายเป็นประมุขแห่งคริสตจักร (เอเฟซัส 1:22) และมนุษย์ที่ตกสู่บาปเป็นกายและเป็นอวัยวะของพระองค์ (1โครินธ์ 12:27) พระเยซูทรงเป็นพระวิหารหลักและเราเป็นวิหารสาขา พระเยซูทรงเป็นเถาองุ่นและเราเป็นแขนง (ยอห์น 15:5) ในการที่จะกลายเป็นต้นมะกอกเทศที่แท้จริง เราซึ่งเป็นกิ่งมะกอกเทศป่าจะต้องถูกเชื่อมต่อเข้ากับพระเยซู ผู้เป็นต้นมะกอกที่แท้จริง (โรม 11:17) ดังนั้นพระเยซูจึงตรัสเรียกเราว่าเป็นเพื่อนของพระองค์ และยอห์นกล่าวว่าเมื่อพระเยซูเสด็จมาปรากฏ เราจะเป็นเหมือนพระองค์ (1 ยอห์น 3:2) พระคัมภีร์ยังกล่าวอีกว่าพระคริสต์ทรงเป็น "ผลแรก" และเราเองก็จะเป็นผลอันต่อไป (1 โครินธ์ 15:23)

3. การเกิดใหม่และตรีเอกานุภาพ
ก. ความหมายของการเกิดใหม่
พระเยซูดำรัสกับนิโคเดมัส ขุนนางคนหนึ่งของพวกยิวว่า ถ้าผู้ใดไม่ได้เกิดใหม่ผู้นั้นจะเห็นแผ่นดินของพระเจ้าไม่ได้ (ยอห์น 3:3) แล้วทําไมมนุษย์จึงต้องได้รับการเกิดใหม่ ?

ถ้าอาดัมและเอวาได้บรรลุถึงอุดมคติสําหรับการสร้างสรรค์และได้กลายเป็นมนุษย์ที่แท้จริง คู่ครองที่แท้จริงและพ่อแม่ที่แท้จริง ให้กําเนิดลูกที่แท้จริง (ปราศจากบาป) อาณาจักรสวรรค์บนโลกควรจะได้ถูกทําให้กลายเป็นความจริง อย่างไรก็ตาม เพราะการตกสู่บาป ทั้งสองกลายเป็นพ่อแม่ที่จอมปลอม ลูกหลานของทั้งสองก็มีบาปเริ่มแรก และสร้างอาณาจักรนรกบนโลกขึ้น เพราะฉะนั้น บุคคลที่ตกสู่บาปไม่สามารถเห็นอาณาจักรของพระเจ้าได้จนกว่าจะได้เกิดใหม่เป็นบุตรของสวรรค์ที่ปราศจากบาปเริ่มแรก

เราไม่สามารถเกิดใหม่ได้โดยปราศจากพ่อแม่ บุคคลที่ตกสู่บาปมีความจําเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีพ่อแม่แห่งความดี ผู้ซึ่งสามารถให้การเกิดใหม่กับบุคคลเหล่านั้นให้เป็นบุตรที่ปราศจากบาปเริ่มแรก ทําให้แต่ละคนสามารถเข้าสู่อาณาจักรของพระเจ้า พระเยซูทรงเป็นพ่อที่แท้จริงผู้ซึ่งมาเพื่อให้การเกิดใหม่กับเราเป็นเสมือนบุตรแห่งความดี เพราะฉะนั้น 1 เปโตร 1:3 กล่าวว่า "สาธุการแด่พระเจ้าพระบิดาแห่งพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ผู้ได้ทรงพระกรุณาแก่เรา ทรงโปรดให้เราเกิดใหม่เข้าสู่ความหวังใจอันมีชีวิตอยู่โดยการคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์" แสดงให้เห็นว่าพระเยซูทรงเป็นแหล่งแห่งการเกิดใหม่ พระองค์ยังทรงถูกเรียกว่าเป็น "อาดัม ผู้ซึ่งมาภายหลัง" (1 โครินธ์ 15:45) และ "พระบิดานิรันดร์" (อิสยาห์ 9:6) เพราะว่าพระองค์ต้องทรงเป็นพ่อที่แท้จริงซึ่งอาดัมล้มเหลวที่จะเป็น

อย่างไรก็ตาม การให้การเกิดใหม่กับบุคคลที่ตกสู่บาปเป็นเสมือนบุตรแห่งความดีจะต้องไม่ใช่มีเพียงพ่อที่แท้จริงเท่านั้น แต่ต้องมีแม่ที่แท้จริงด้วย พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ทรงทํางานเป็นเสมือนแม่ที่แท้จริงร่วมกับพระเยซูที่คืนพระชนม์ขึ้นมา นี่เป็นเหตุผลว่าทําไมพระเยซูจึงตรัสกับนิโคเดมัสว่าเขาจะต้องเกิดใหม่อีกครั้งจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ (ยอห์น 3:3-5) เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมาเป็นแม่ที่แท้จริง หรือเอวาที่สอง ดังนั้นจึงมีคนมากมายที่ได้รับการเปิดเผยความจริงที่ชี้ให้เห็นว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นพระวิญญาณผู้หญิง พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทํางานเพื่อปลอบประโลมใจและให้แรงดลใจแก่ประชาชน (1 โครินธ์ 12:3-10) พระเยซูทรงทํางานอยู่ในโลกฝ่ายวิญญาณ ในขณะที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทํางานอยู่บนโลกเพื่อชําระบาปของมนุษยชาติ เมื่อเราเชื่อในพระเยซู เราเข้าสู่ความรักที่ถูกสร้างขึ้นโดยความสัมพันธ์ร่วมซึ่งกันและกันระหว่างพระเยซูที่คืนพระชนม์และพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ซึ่งเป็นพ่อที่แท้จริงทางฝ่ายวิญญาณและแม่ที่แท้จริงทางฝ่ายวิญญาณตามลําดับ การที่ได้เกิดใหม่อีกครั้งหนึ่งโดยการเชื่อในพระเยซูและรับพระวิญญาณบริสุทธิ์หมายความว่าวิญญาณของบุคคลได้ถูกเปลี่ยนใหม่ และบุคคลนั้นได้รับชีวิตที่แท้จริงโดยผ่านความรักของพ่อแม่ที่แท้จริงทางฝ่ายวิญญาณ นี่คือการเกิดใหม่ทางฝ่ายวิญญาณ อย่างไรก็ตาม เพราะว่ามนุษย์ตกสู่บาปทั้งทางฝ่ายวิญญาณและฝ่ายเนื้อหนัง ดังนั้นแต่ละบุคคลจึงต้องได้รับการเกิดใหม่ทั้งทางฝ่ายเนื้อหนังและฝ่ายวิญญาณ นี่คือเหตุผลสําหรับการเสด็จมาครั้งที่สอง

ข. ความหมายของตรีเอกานุภาพ
จนกระทั่งปัจจุบัน ตามความคิดทางเทววิทยาของชาวคริสเตียน ชาวคริสเตียนเข้าใจว่าพระเจ้าผู้ซึ่งทรงทํางานสําหรับการช่วยให้รอดของมนุษย์เป็นพระเจ้าที่มีสามภาคที่รวมเป็นหนึ่ง และเชื่อว่าเมื่อพระองค์ทรงเปิดเผยตัวพระองค์เอง พระองค์ทรงปรากฏเป็นหนึ่งในสามบุคคล คือพระบิดา พระบุตรหรือพระวิญญาณบริสุทธิ์ เมื่อพระองค์ทรงเปิดเผยตัวพระองค์เป็นผู้สร้าง พระองค์ทรงอยู่ในรูปของพระบิดาบนสวรรค์ เมื่อพระองค์ทรงเปิดเผยตัวพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระองค์ทรงอยู่ในรูปของพระบุตร และเมื่อพระองค์ทรงเปิดเผยตัวพระองค์เป็นผู้สร้างสันติภาพพระองค์ทรงอยู่ในรูปของพระวิญญาณบริสุทธิ์

ทฤษฎีเกี่ยวกับตรีเอกานุภาพเป็นเหตุแห่งการถกเถียงอย่างมากมายตลอดประวัติศาสตร์ ขอให้เรามองดูสิ่งนี้จากจุดยืนของหลักการ ถ้าการตกสู่บาปของมนุษย์ไม่ได้เกิดขึ้น พระเจ้าก็ทรงไม่จําเป็นต้องมีพระเยซูและพระวิญญาณบริสุทธิ์เพื่อที่จะทํางานสําหรับการช่วยให้รอดของมนุษย์ ถ้าอาดัมและเอวาได้ทําให้ตัวของเขาเองสมบูรณ์เป็นบุตรชายและบุตรสาวของพระเจ้า กลายเป็นตัวตนแห่งธรรมชาติที่ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า เขาก็จะ "...เป็นคนดีรอบคอบอย่างพระบิดา (ของท่าน) ผู้ทรงสถิตในสวรรค์เป็นผู้ดีรอบคอบ" (มัทธิว 5:48) และเขาก็จะได้บรรลุถึงอุดมคติของการรวมกับพระเจ้า (ยอห์น 14:20) แล้วอาดัมและเอวาก็กลายเป็นบุตรชายและบุตรสาวที่ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า ทั้งสองก็จะกลายเป็นสามีภรรยาที่แท้จริงที่มีศูนย์กลางที่พระเจ้า ถ้าอาดัมและเอวาได้กลายเป็นหนึ่งเสมือนพ่อแม่ที่แท้จริงซึ่งมีศูนย์กลางที่พระเจ้าร่วมกับพระเจ้า ทั้งสองจะเป็นตรีเอกานุภาพเริ่มแรก ตรีเอกานุภาพที่มีศูนย์กลางที่หัวใจและอุดมคติของพระเจ้า

สิ่งนี้เป็นเงื่อนไขพื้นฐานสําหรับการบรรลุถึงพรสามประการและฐานสี่ตําแหน่งซึ่งบรรลุถึงความมุ่งหมายของพระเจ้าสําหรับการสร้างสรรค์ อย่างไรก็ตาม เพราะการตกสู่บาปอาดัมและเอวากลายเป็นพ่อแม่ที่จอมปลอมของมนุษย์และล้มเหลวในการบรรลุถึงความมุ่งหมายแห่งการสร้างสรรค์ และได้สร้างตรีเอกานุภาพที่มีศูนย์กลางที่ซาตาน เพราะฉะนั้น เพื่อที่จะบรรลุถึงความมุ่งหมายแห่งการสร้างสรรค์ พระเจ้าทรงประทานพระเยซูและพระวิญญาณบริสุทธิ์แทนที่ตําแหน่งของอาดัมและเอวา ในฐานะของอาดัมที่สองและเอวาที่สองและเป็นพ่อแม่ที่แท้จริง อย่างไรก็ตาม โดยการสร้างตรีเอกานุภาพฝ่ายวิญญาณที่มีศูนย์กลางที่พระเจ้า พระเยซูและพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงบรรลุถึงเพียงแต่ภารกิจของพ่อแม่ที่แท้จริงทางฝ่ายวิญญาณ ดังนั้นพระผู้มาโปรดแห่งการเสด็จมาครั้งที่สองจึงเสด็จมาเพื่อเป็นพ่อที่แท้จริงผู้ซึ่งจะต้องทรงสร้างตรีเอกานุภาพทั้งฝ่ายวิญญาณและฝ่ายเนื้อหนังขึ้น

พระเยซูกับหญิงชาวสะมาเรีย



หญิงสะมาเรีย พบ น้ำธำรงชีวิต
โปรดปราน (พีพี )


ถ้าเจ้าได้รู้จักของที่พระเจ้าประทาน และรู้จักผู้ที่พูดกับเจ้าว่า 'ขอน้ำให้เราดื่มบ้าง' เจ้าก็คงจะได้ขอจากท่านผู้นั้น และท่านผู้นั้นก็คงจะให้น้ำธำรงชีวิตแก่เจ้า” (ยอห์น 4.10)



สาเหตุที่ชาวยิวไม่คบหาชาวสะมาเรีย ตามที่ปรากฏในประวัติศาสตร์คือหลังจากกษัตริย์ซาโลมอนสิ้นพระชนม์ ชาติอิสราเอลถูกแบ่งออกเป็น 2 ชาติ คืออิสราเอล (หรือเรียกว่าสะมาเรีย)ตั้งอยู่ภาคเหนือ และยูดาห์ ตั้งอยู่ภาคใต้ ( 1 พงศ์กษัตริย์ 12.1-20 ในปี 922 ก.ค.ศ. ) ต่อมาอีก สองร้อยปี ชาวอัสซีเรียได้ยกทัพมาปราบชาวสะมาเรีย แล้วกวาดต้อนชาวสะมาเรียจำนวนมากไปเป็นเชลย พร้อมทั้งนำคนจากชาติอื่นๆมาอยู่แทนจำนวนมาก ซึ่งคนชาติอื่นๆได้นำพระของตนมาด้วย ( 2 พงศ์กษัตริย์ 17.23-41 ในปี 722 ก.ค.ศ.) ดังนั้นชาวสะมาเรียจึงกลายเป็นชาติผสม เขานมัสการพระเจ้าอย่างไม่บริสุทธิ์เพราะได้นับถือรูปเคารพด้วย นอกจากนั้นพวกเขาได้นับถือ หนังสือ ห้าเล่มแรกของพระคัมภีร์ แต่ได้ละทิ้งพระคัมภีร์หมวด ผู้เผยพระวจนะ (ประกาศก) และหนังสือสดุดี

เมื่อชาวยิวกลับจากการเป็นเชลยที่บาบิโลนมาที่กรุงเยรูซาเล็ม พวกเขาไม่ยอมให้ชาวสะมาเรียช่วยพวกเขาสร้างพระนิเวศของพระเจ้า ( เอสรา 4.1-4 ) ดังนั้นจึงทำให้ความบาดหมางใจเพิ่มขึ้น และต่อมาเมื่อชาวสะมาเรียได้สร้างพระวิหารของตนที่ภูเขาเกราซิม แต่ชาวยิวก็ได้ทำลายพระวิหารของชาวสะมาเรีย จึงเป็นเหตุให้การแตกแยกจึงเพิ่มมากขึ้น เมื่อถึงสมัยพระเยซูเจ้าทั้งสองฝ่ายรู้สึกเป็นศัตรูกันอย่างถาวร เช่นอาจารย์ของชาวยิว เช่น นิโคเดมัส คงจะไม่ยอมพูดกับชาวสะมาเรียโดยเฉพาะสตรี อย่างไรก็ตามพระเยซูเจ้าทรงสนทนาทั้งคนเคร่งศาสนายิวอย่างนิโคเดมัส และสตรีต่างชาติที่เป็นคนบาปอย่างหญิงสะมาเรียและสิ่งที่พระองค์ตรัสกับบุคคลทั้งสองเป็นเรื่องเดียวกัน คือเรื่องชีวิตใหม่ทางพระองค์เอง ในพระวรสารนักบุญยอห์น พระเยซูเจ้าทรงใช้น้ำเป็นสัญลักษณ์ ของชีวิต



1.น้ำธำรงชีวิต ( ยอห์น 4.10-20 )

เรื่องนี้เกิดขึ้นขณะที่พระเยซูเสด็จออกจากเยรูซาเล็ม ( แคว้นยูเดีย )กลับไปแคว้นกาลิลีเพื่อหลีกเลี่ยงการพบกับฟาริสี (เพราะยังไม่ถึงเวลา ) จึงเสด็จผ่านแคว้นสะมาเรีย เกี่ยวกับน้ำที่พระเยซูเจ้าตรัสถึงในพระวรสาร นักบุญยอห์น บทที่ 4 คือ น้ำฝ่ายวิญญาณจิต ในชีวิตจริงทุกคนต้องดื่มน้ำเพื่อความต้องการฝ่ายกาย ในทำนองเดียวกันเราต้องได้น้ำฝ่ายจิตวิญญาณซึ่งพระเยซูตรัสว่า น้ำนั้นคือ น้ำธำรงชีวิต เพราะน้ำนั้นจะไม่ทำให้กระหายอีกเลย... บ่อน้ำนั้นจะบังเกิดบ่อน้ำพุในตัวเขาพุ่งขึ้นถึงชีวิตนิรันดร์ “แต่ผู้ที่ดื่มน้ำซึ่งเราจะให้แก่เขานั้น จะไม่กระหายอีกเลย น้ำซึ่งเราจะให้เขานั้น จะบังเกิดเป็นบ่อน้ำพุในตัวเขาพลุ่งขึ้นถึงชีวิตนิรันดร์” ( ยน.4.14 ) ในพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม พระเจ้าตรัสว่า “เพราะว่าประชากรของเราได้กระทำ ความชั่วถึงสองประการ เขาได้ทอดทิ้งเราเสีย ซึ่งเป็นแหล่งน้ำเป็น แล้วสกัดหินขังน้ำไว้สำหรับตนเอง เป็นแอ่งแตกที่ขังน้ำตาย ซึ่งขังน้ำไม่ได้” (ยรม.2.13 ) นอกจากนี้แล้วมีการเปรียบเทียบฝ่ายจิตวิญญาณว่า “เพราะว่าเจ้าจะเป็นเหมือนต้นก่อหลวงใบที่แห้งเหี่ยวและเหมือนสวนที่ขาดน้ำ” (อสย.1.30 )



ทั่วโลกมีคนกระหายน้ำฝ่ายวิญญาณจิต ยิ่งกว่านั้นคนจำนวนมากซึ่งอยู่รอบๆตัวเรา ก็กำลังแสวงหาน้ำไว้หล่อเลี้ยงชีวิตฝ่ายจิตกำลังแสวงหาผิดบ่อ เพราะพวกเขาแสวงหาน้ำแห่งความพอใจ น้ำแห่งความสำเร็จ น้ำแห่งฐานะมั่นคง เป็นต้น ซึ่งตลอดชีวิตจะไม่พบน้ำที่จะให้เขาอิ่มเอมใจเลย เพราะน้ำที่สามารถให้จิตวิญญาณไม่แห้งแล้งอีกเลย นั่นคือ “พระเยซูเจ้า ผู้เป็นน้ำธำรงชีวิต แก่ทุกคนที่เสาะแสวงหา” การแสวงหาของมนุษย์ไม่เคยถึงจุดอิ่มตัว ไม่เคยพอ เราต้องแสวงหาไปเรื่อยๆ

เมื่อพระเยซูและเหล่าสาวกมาถึงเมืองสิคาร์ พระเยซูเจ้าประทับลงที่ข้างบ่อน้ำของยาโคบบรรพบุรุษของอิสราเอล (ยอห์น 4.6,ปฐมกาล 32.28 ) ขณะนั้นเป็นเวลาเที่ยงวัน บรรดาสาวกเข้าไปในเมืองไปซื้อหาอาหาร ตามปกติแล้วสตรีที่ไปตักน้ำที่บ่อต้องไปตอนเย็น เพราะแดดร่มลมตก แต่ผู้หญิงคนนี้ฝ่าเปลวแดดมาตักน้ำตอนเที่ยงวัน เธอมาพร้อมกับภาชนะที่ใช้ตักน้ำ เมื่อพระเยซูเจ้าเอ่ยขอน้ำเธอดื่ม นางคงช็อค เพราะว่าชาวยิวไม่คบหากับชาวสะมาเรีย โดยเฉพาะกับสตรี ซึ่งพระเยซูได้แหกกฎของชาวยิวคือการแบ่งแยกเชื้อชาติ สิ่งที่พระเยซูเจ้าทรงเป็นแบบอย่างในชีวิตจริงของเราคือพระองค์ไม่ประสงค์ให้เราแบ่งแยก เชื้อชาติ สีผิว ศาสนา เมื่อพระองค์ตรัสว่า “ขอน้ำให้เราดื่มบ้าง” นางตอบกลับไปทันทีว่า “ไฉนท่านผู้เป็นยิวจึงขอน้ำดื่มจากดิฉัน ผู้เป็นหญิงชาวสะมาเรีย” (ข้อ9) พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ถ้าเจ้าได้รู้จักของที่พระเจ้าประทาน และรู้จักผู้ที่พูดกับเจ้าว่า 'ขอน้ำให้เราดื่มบ้าง' เจ้าก็คงจะได้ขอจากท่านผู้นั้น และท่านผู้นั้นก็คงจะให้น้ำธำรงชีวิตแก่เจ้า” (ข้อ 10 ) พระเยซูทรงเปิดเผยพระองค์เองชัดเจน พระองค์ทรงเป็นพระวาทะ ที่บังเกิดเป็นมนุษย์ ทรงเป็นของขวัญที่พระเจ้าทรงประทานแก่โลก เพราะความตายบนไม้กางเขนและคืนพระชนม์ของพระองค์

ความสงสัยของหญิงสะมาเรียนางนี้ยังไม่หายไป เรื่องน้ำธำรงชีวิตที่พระเยซูตรัส โดยนางกล่าวว่าว่า “ท่านเจ้าคะ ท่านไม่มีถังตัก และบ่อนี้ก็ลึก ท่านจะได้น้ำธำรงชีวิตนั้นมาจากไหน” (ข้อ 11 ) ส่วนข้อ 12 นางจึงถามพระเยซูว่าพระองค์ เป็นใหญ่กว่าบรรพบุรุษคือยาโคบผู้ได้ให้บ่อน้ำนี้ และเขากับฝูงสัตว์ก็ดื่มจากบ่อนี้เช่นกัน นางไม่เข้าใจสิ่งที่พระเยซูเจ้าตรัสถึง เธอเข้าใจอย่างพื้นๆคือน้ำที่เราใช้อาบดื่มกินกันทั่วๆไป ความจริงสิ่งที่พระเยซูตรัสเป็นน้ำธำรงชีวิต ที่เกี่ยวกับชีวิตนิรันดร์ เพราะคนส่วนใหญ่จะมีสายตาทางกายภาพดีมองได้ไกลลิบ หรือหากสายตาบกพร่องก็ใช้เลนซ์เข้าช่วย แต่ตาฝ่ายวิญญาณบอดสนิท ดังนักบุญเปาโลบันทึกไว้ว่า “แต่มนุษย์ธรรมดาจะรับสิ่งเหล่านั้น ซึ่งเป็นของพระวิญญาณแห่งพระเจ้าไม่ได้ เพราะเขาเห็นว่าเป็นสิ่งโง่เขลา และเขาไม่สามารถเข้าใจได้ เพราะว่าจะเข้าใจสิ่งเหล่านั้นได้ก็ต้องสังเกตด้วยวิญญาณ” (1คร.2.14 )

ในพระวรสารน.ยอห์น พระเยซูตรัสตอบว่า “ทุกคนที่ดื่มน้ำนี้จะกระหายอีก แต่ผู้ที่ดื่มน้ำซึ่งเราจะให้แก่เขานั้น จะไม่กระหายอีกเลย น้ำซึ่งเราจะให้เขานั้น จะบังเกิดเป็นบ่อน้ำพุในตัวเขาพลุ่งขึ้นถึงชีวิตนิรันดร์” ( ยน.4.13-14 ) เมื่อสตรีได้ฟังเช่นนั้น นางตอบสนองแบบเย้ยอยู่ในทีว่า ตัวเธออยากได้ เพื่อไม่ต้องเทียวตักน้ำเหมือนที่เป็นอยู่ บทสนทนานี้เหมือนกับการพูดคนละเรื่องเดียวกัน เพราะพระเยซูเจ้าตรัสกับเธอว่าให้ไปเรียก ผัว (พระคัมภีร์ใช้คำนี้)ของนางมา หน้ากากของหญิงคนนี้ถูกฉีก เพราะเธอบอกว่าตัวเองไม่มีผัว ซึ่งพระเยซูตรัสว่า จริงเพราะนางมีผัวมาแล้วห้าคนและผู้ชายที่นางอยู่ด้วยปัจจุบัน ก็ไม่ใช่ผัว ความเป็นองค์สัพพัญญู (คือรู้ทุกอย่าง )ของพระเยซู พระองค์ทรงรู้จักมนุษย์ทุก คนจึงไม่มีใครจะซ่อนความผิดบาปของตัวเองไว้มิด หญิงสะมาเรียนางนี้จึงตะลึงกับสิ่งที่พระเยซูกล่าวถึงพฤติกรรมของนาง เลยมั่นใจว่า พระเยซูทรงเป็นประกาศก คนหนึ่ง เพราะสามารถบอกถึงความบาปเธอของนางถูกต้องทั้งๆที่นางและพระเยซูไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ดังนั้นนางรีบเปลี่ยนบทสนทนา เป็น เรื่อง ความเชื่อของยิว และชาวสะมาเรีย คือ“การนมัสการ”




เมื่อ ต้นปี ค.ศ. 2005 ฉันได้รู้จักศิษยาภิบาลชาวอเมริกันคนหนึ่ง ที่ได้เข้ามาสำรวจหาข้อมูลเพื่อทำพันธกิจ กับผู้หญิงขายบริการทางเพศ ย่านถนนสุขุมวิทซอยต้นๆ เขาได้ลงพื้นที่ ไปเดินสำรวจถนนสายนั้น เขาเข้าไปพูดคุยเป็นเพื่อนกับสตรีที่ขายบริการ เขาได้ซื้อชั่วโมงหญิงสาวเหล่านั้นเพื่อสร้างสัมพันธ์ เป็นมิตรเป็นเพื่อน และแนะนำให้รู้จักพระเยซูเจ้า ผู้ที่รัก เข้าใจ เห็นใจ พวกเธอ พระองค์เข้ามาในโลกนี้มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด นำคนบาปให้หลุดพ้นบ่วงบาปกรรม ฯลฯ มีสตรีขายบริการคนหนึ่งได้ตัดสินใจต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด และบอกว่า เธอจะกลับไปบอกข่าวดี (แพร่ธรรม )เกี่ยวกับพระเยซูให้พ่อ แม่ พี่น้อง และเพื่อนร่วมหมู่บ้านได้รู้จักพระเยซู เพื่อว่าพวกเขาจะได้พึ่งพระเยซู จะได้ไม่ส่งลูกสาวเข้ากรุงเพื่อขายบริการทางเพศ ศิษยาภิบาลรายนี้ จึงคิดถึงเรื่องหญิงชาวสะมาเรียที่บ่อน้ำทันที ดังนั้น อีกไม่กี่เดือนต่อมาเขาและครอบครัวได้เข้ามาประเทศไทยในฐานะมิสชันนารี เขาตั้งชื่อพันธกิจของเขาว่า “พันธกิจบ่อน้ำ” (The Well Ministry) เพราะเป้าหมายหลักคือการนำสตรีที่อพยพมาจากต่างจังหวัด เพื่อขายบริการทางเพศให้สัมผัสความรักของพระเยซูคริสต์ แล้วดูแลให้พวกเธอเติบโตฝ่ายจิตวิญญาณ และส่งเสริมการฝึกอาชีพ เพื่อพวกเธอจะได้มีอาชีพติดตัวกลับบ้าน และสามารถเป็นพยานถึงพระเยซูเจ้าแก่คนในครอบครัวและเพื่อนบ้านได้

Prod Pran:
2.นมัสการแบบใหม่ ( ยอห์น 4.21-26 )

หญิงสะมาเรียรายนี้ เริ่มรู้สึกอึดอัดที่พระเยซูเจ้าทรงล่วงรู้ถึงความบาปผิดของนาง ดังนั้น นางรีบเปลี่ยนบทสนทนา จากน้ำธำรงชีวิต เป็น เรื่อง ความเชื่อของยิว และชาวสะมาเรีย คือ“การนมัสการ” โดยนางเริ่มออกความเห็นเรื่องการนมัสการพระเจ้าว่า “บรรพบุรุษของพวกเรานมัสการที่ภูเขานี้ แต่พวกท่านว่าตำบลที่ควรนมัสการนั้น คือเยรูซาเล็ม” หัวข้อสนทนานี้นางคงคิดว่าจะไม่เข้าเนื้อตัวเอง แต่ที่จริงแล้วเป็นคำถามที่พระเยซูทรงยินดีตอบเพราะเป็นโอกาสที่พระองค์จะได้ตรัสถึงลักษณะแท้ของพระเจ้า และการนมัสการที่แท้จริง

21พระเยซูตรัสกับนางว่า “หญิงเอ๋ย เชื่อเราเถิด คงมีวันหนึ่งที่พวกเจ้าจะมิได้ไหว้นมัสการพระบิดา เฉพาะที่ภูเขานี้หรือที่เยรูซาเล็ม
22ซึ่งเจ้านมัสการนั้นเจ้าไม่รู้จัก ซึ่งพวกเรานมัสการเรารู้จัก เพราะความรอดนั้นมาจากพวกยิว
23แต่วาระนั้นใกล้เข้ามาแล้ว และบัดนี้ก็ถึงแล้ว คือเมื่อผู้ที่นมัสการอย่างถูกต้องจะนมัสการพระบิดา ด้วยจิตวิญญาณและความจริง เพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้นนมัสการพระองค์” ( ยอห์น 4.20-23 )



ในข้อ 21 และ 23 พระเยซูทรงเสนอวิธีการนมัสการแบบใหม่ซึ่งไม่ใช่ทั้งที่ภูเขาเกราซิม (ชาวสะมาเรีย) และไม่ใช่ที่เยรูซาเล็ม (ชาวยิว) แน่นอนความรอดนั้นผ่านทางยิว เพราะพระเมสสิยาห์เป็นชาวยิว ( ดู โรม 9.4-5 ) ความรอดยุคใหม่เป็นของพระจิตเจ้า ซึ่งน้ำธำรงชีวิตของพระจิตเจ้าจะพลุ่งขึ้นภายในใจของผู้ที่วางใจ ดังนั้นจึงทำให้การนมัสการพระเจ้าได้ในทุกหนทุกแห่ง ไม่เพียงแต่ในศาสนสถานศักดิ์สิทธิ์ เช่น วัด โบสถ์ คริสตจักร เพราะว่าการนมัสการพระเจ้านั้นต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง พระเยซูตรัสกับหญิงสะมาเรีย ถึงการนมัสการไม่ใช่รูปแบบภายนอก แต่เป็นการแสดงออกมาจากภายใน การนมัสการพระเจ้าต้องอาศัยความจริงที่พระองค์ทรงสำแดงแก่มนุษย์ พระเจ้าทรงเป็นวิญญาณจิต (ไม่ใช่วัตถุ ) มนุษย์เองที่นมัสการพระเจ้าก็ต้องอาศัยวิญญาณจิต โดยไม่ต้องอาศัยวัตถุภายนอก

ดังนั้นคริสตชนโปรเตสแตนต์ จึงตอบสนองการนมัสการรูปแบบภายในกันมาก กว่ารูปแบบภายนอก ศาสนสถานจึงเรียบง่าย เป็นห้องแถว เป็นบ้าน ไม่ว่าสถานการณ์ด้านการเมืองเป็นอย่างไร ก็จัดรูปแบบการนมัสการพระเจ้าได้เสมอ เพราะเราเชื่อว่าเมื่อมีผู้เชื่อ สอง สามคนรวมตัวกันที่ไหน พระเยซูเจ้าทรงประทับอยู่ท่ามกลางพวกเขาเสมอ

สตรีรายนี้ไม่แน่ใจว่าพระเยซูทรงเป็นผู้ใด สิ่งที่พระเยซูตรัสนั้นมีแต่พระเมสสิยาห์เท่านั้นจึงได้พูดแบบนี้หรือกระทำแบบนี้ 25นางทูลพระองค์ว่า “ดิฉันทราบว่าพระเมสสิยาห์ จะเสด็จมา เมื่อพระองค์เสด็จมา พระองค์จะทรงชี้แจงทุกสิ่งแก่เรา” 26พระเยซูตรัสกับนางว่า “เราที่พูดกับเจ้าคือท่านผู้นั้น” พระเยซูคริสต์เมื่อสนทนากับคนยิวพระองค์ไม่ได้เผยตัวเองแต่เมื่อสนทนากับชาวต่างชาติทรงเปิดเผยอย่างชัดเจนว่าทรงเป็น “ท่านผู้นั้น” ซึ่งตามภาษากรีกคือคำว่า “ego eimi” (เอโก้ เอมี) คือเราดำรงอยู่ ซึ่งเป็นคำที่ชี้ให้เห็นว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า เพราะตามตัวอักษรหมายถึง “ก่อนอับราฮัมเกิดเราเป็น” แน่นอนวันนั้นหญิงสะมาเรียผู้ต่ำต้อยได้รับพระเมตตาจากพระเยซูเจ้าตรัสเรียกด้วยพระองค์เอง เช่นเดียวกับพวกเราที่พระองค์ตรัสเรียกด้วยประจักษ์พยานทั้งชีวิตที่ทรงมอบถวายบนไม้กางเขนศักดิ์สิทธิ์นั้น เพื่อคนบาปจะได้รับน้ำธำรงชีวิตที่มีอย่างครบบริบูรณ์ในพระองค์แล้ว


“… ผู้ใดมีใจปรารถนา ก็ให้ผู้นั้นมารับน้ำแห่งชีวิต โดยไม่ต้องเสียอะไรเลย” (วิวรณ์ 22.17)


( หมายเหตุ: ตีพิมพ์ ในอิสระรายปักษ์ ฉบับที่ 95 ปักษ์-หลังเดือนตุลาคม 2007 หน้า ....................... )

อธิษฐานแบบยาเบส



9 ฝ่ายยาเบส เป็นผู้มีเกียรติกว่าพี่น้องทั้งหลายของเขา มารดาของเขาเรียกชื่อเขาว่า ยาเบส กล่าวว่า "เพราะเราคลอดเขาด้วยความเจ็บปวด"
10 ยาเบสทูลพระเจ้าของอิสราเอลว่า "ขอพระองค์ทรงอวยพระพรแก่ข้าพระองค์ และขยายเขตแดนของข้าพระองค์ และขอพระหัตถ์ของพระองค์ อยู่กับข้าพระองค์ และขอพระองค์ทรงรักษาข้าพระองค์ให้พ้นจากเหตุร้าย เพื่อมิให้ข้าพระองค์เจ็บใจปวดกาย" และพระเจ้าทรงประสาทตามที่เขาทูลขอ (1พงศาวดาร 4:9-10)

9And Jabez was more honorable than his brethren: and his mother called his name Jabez, saying, Because I bare him with sorrow. 10And Jabez called on the God of Israel, saying, Oh that thou wouldest bless me indeed, and enlarge my border, and that thy hand might be with me, and that thou wouldest keep me from evil, that it be not to my sorrow! And God granted him that which he requested.(1 Chronicles 4:9-10)

อธิษฐานแบบยาเบส
1 พงศาวดาร 4: 9-10
โดย ศจ. ทรงฤทธิ์ เดชวิญญา

จุดประสงค์ของคำเทศนาคือ เพื่อให้ผู้เชื่อรู้จักคำอธิษฐานของยาเบส และให้ผู้เชื่ออธิษฐานตามแบบของยาเบส

เรียนพี่น้องผู้เชื่อและผู้มีเกียรติทุกท่าน
สามปีมาแล้วผมไปประชุมเกี่ยวกับหลักสุขภาพของ แอ็ดเวนตีส ณ ศูนย์สุขภาพมิชชัน มวกเหล็ก ถูกจัดให้นอนห้องเดียวกันกับ ABJ เขาเป็นหมอจบจากมหาวิทยาลัยโลมาลินดาจากอเมริกา ผมเล่าความฝันของผมให้เขาฟัง ว่าผมอยากจะปลูกโบสถ์ ...............เขาแนะนำผมว่า ให้อธิษฐานแบบยาเบส.....และผมได้อธิษฐานแบบยาเบสเสมอ.....และมันเกิดผลมหัศจรรย์จริง....
พี่น้องผู้เชื่อทุกท่าน ท่านมีความหวังอะไรอยู่ในอกหรือไม่ ท่านวาดฝันชีวิตของท่านอย่างไร วันนี้หลังจากท่านฟังคำเทศนาจบแล้ว ท่านจะรู้วิธีอธิษฐานแบบยาเบส.....ผมอยากให้ท่านอธิษฐานแบบยาเบส
ท่านรู้จักการอธิษฐานแบบยาเบส ไหม....... พระคริสตธรรมยาคัมภีร์ 1 พงศาวดาร 4: 9-10 บันทึกถึงเขาว่า “ฝ่ายยาเบส เป็นผู้มีเกียรติกว่าพี่น้องทั้งหลายของเขา มารดาของเขาเรียกเขาว่า ยาเบส กล่าวว่า “เพราะเราคลอดเขาด้วยความเจ็บปวด” ยาเบสทูตพระเจ้าแห่งอิสราเอลว่า “ขอพระองค์อวยพรแก่ข้าพระองค์ และขยายเขตแดนของข้าพระองค์ และขอพระหัตถ์ของพระองค์อยู่กับข้าพระองค์ และขอพระองค์ทรงรักษาข้าพระองค์ให้พ้นจากเหตุร้าย เพื่อมิให้ข้าพระองค์เจ็บปวดใจปวดกาย” และพระเจ้าทรงประสาทตามที่เขาทูลขอ”

ยาเบสเป็นผู้มีเกียรติ........ ก่อนจะมาเป็นผู้มีเกียรติ ประวัติของเขาน่าสนใจมาก เขาตกอยู่ในการทดลอง ต้องต่อสู้กับอปสรรคทางจิตใจและทางสงคมตั้งแต่แรกเกิด....... ด้วยความโกรธมารดาตั้งชื่อเขาว่า “ยาเบส” แปลเป็นภายาไทยว่า “ตัวแสบ ตรอมตรม เจ็บปวด รวดร้าว”
มารดาไม่สนใจว่าลูกจะรู้สึกอย่างไรในวัยเด็ก เมื่อเพื่อนล้อเลียน แม่ของยาเบสอาจคิดว่าเขาเป็นเจ้าของชีวิตลูก........
คนไทยบางคนตั้งชื่อลูกว่า “หมู”“ หมา”“ควาย”
แม้ว่าแม่ของยาเบสจะโกรธ ตั้งชื่อเขาว่าตัวเจ็บปวด และเธอคิดว่าเธอเป็นเจ้าของยาเบส แต่ยาเบสกลับคิดมากกว่าว่า “พระเจ้าเป็นเจ้าของที่แท้จริงสูงสุดของตัวเขา”
ยาเบสไม่ยอมให้ความรู้สึกของแม่ ความคิดของแม่ และชื่อของเขาเป็นอุปสรรคในชีวิตของเขา ด้วยเหตุนี้พระเจ้าจึงอธิบายชีวิตยาเบสสั้นๆ ว่า “ยาเบส เป็นผู้มีเกียรติกว่าพี่น้องทั้งหลายของเขา”...........
พระเจ้าเห็นว่า คนที่มีอุปสรรค มีปัญหาขวางชีวิต แต่ยังก้าวข้ามไปได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ก่อปัญหา อุปสรรค เป็นบุคคลที่เขารักและเขาควรรักเรา....เพียงแต่เขาตระหนักและเชื่อว่า “พระเจ้าเป็นเจ้าของที่แท้จริงของเขา” สดด. 24: 1
สำหรับคนที่รู้จักพระเจ้า อุปสรรค ปัญหา ขีดจำกัด ความคิดเห็น การวินิจฉัยทางลบหรือทางบวก ของคนอื่น เป็นทางลัดไปสู่ความมีเกียรติ ไม่ยอมให้สิ่งใดขัดขวางทางไปสูความมีเกียรติ

ในพระธรรม 1 โครินธ์ 4: 3-5 อัครทูตเปาโลกล่าว่า “สำหรับข้าพเจ้าการที่ท่านทั้งหลายจะวินิจฉัยตัวข้าพเจ้า ข้าพเจ้าถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย ถึงแม้ข้าพเจ้าก็มิได้วินิจฉัยตัวเอง....ถึงกระนั้นข้าพเจ้าก็ไม่พ้นการพิพากษา ท่านผู้ทรงพิพากษาข้าพเจ้าคือองค์พระผู้เป็นเจ้า”
เรื่อง พ่อและลูกนำลาไปขายในเมือง.....

ยาเบสเอาชนะ การทำลายศักดิ์ศรีของคน คำวิจารณ์ของคน ความคิดเห็นของคน อุปสรรค์ ปัญหา ขีดจำกัด สิ่งที่คนทั้งโลกคิดเกี่ยวกับตัวเขา ด้วยการคิด ความเชื่อว่าพระเจ้าเป็นเจ้าของของเขา พระเจ้าคือพระบิดาของเขา เขาเป็นบุตรของพระเจ้า
Act 4: 19 อัครสาวกเปโตรกล่าวว่า... “จำเพาะพระพักตร์พระเจ้า ข้าพเจ้าควรจะเชื่อฟังท่าน หรือควรจะเชื่อฟังพระเจ้า...”

สิ่งที่พระเจ้าคิดเกี่ยวกับตัวเขาสำคัญกว่าคนทั้งโลกคิด ด้วยเหตุนี้ยาเบสจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าด้วยความมั่นใจ.....
เขาเติบโตและมีเกียรติได้ท่ามกลางการทดลอง ปัญหา และขอบเขตจำกัด เช่นเดียวกับคริสตจักรในสมัย อัครทูต....สาวกถูกขู่ ถูกตี ถูกจับ แต่ยัง มีความชื่นชม (กิจการ5: 41)..........โยเชพ และดานิเอล

ยาเบสอธิษฐานประการแรกว่า “ขอพระองค์ทรงอวยพระพรแก่ข้าพระองค์” ยาเบสต้องมั่นใจว่า พระเจ้าเป็นพระเจ้าที่อยากอวยพระพร ยาเบสต้องมั่นใจว่าตัวเขาเองสมควรได้รับพร และเขาต้องมั่นใจว่าพระเจ้าพอใจคำอธิษฐานของเขา
ยาเบสรู้ว่าพระเจ้าเป็นเหมือนพ่อ หวังดีต่อลูก อยากอวยพรลูกด้วยพรอันดี ยาเบสรู้ต่อไปว่า ตัวเขาเองเป็นผู้ได้รับพระคุณจากพระเจ้า พระเจ้าอยากให้เขาขอพระพร ถ้าเขาไม่ขอตัวเขาจะเสียใจและพระเจ้าจะเสียพระทัย ลูกที่ไม่เคยขอพรจากพ่อแม่จะไม่เข้าใจถึงคำอธิษฐานนี้เลย เพราะลูกสมัยใหม่ไม่ต้องการคำพรจากพ่อแม่ พ่อแม่เก่าและแก่เกินกย่าจะมีสิ่งดีให้แก่เขา
ท่านมั่นใจหรือไม่ว่าพระเจ้าอยากอวยพรท่าน ท่านมั่นใจหรือไม่ว่า ท่านสมควรได้รับพระพรจากพระเจ้า คนที่เชื่อว่าพระเจ้าชอบอวยพรตนเอง เป็นคนได้รับพร เป็นคนมีพระพร

พระเจ้าให้พระพรแก่ท่านทางความสัมพันธ์กับพระองค์ ความสัมพันธ์กับผู้อื่นและทางวัตถุ ผู้ที่จะรับพรเช่นนี้ต้องเป็นผู้แสวงหาพระเจ้า ใคร่พบพระองค์ในการอธิษฐาน ในพระคำ ในการงาน ผู้ที่ประสพและสัมผัสก็จะรู้ว่าพระเจ้อยู่ใกล้ ผู้ที่บริบูรณืด้วยพระพรของพระเจ้าเช่นนี้ พระเจ้าเรียกว่า เป็น “ผู้มีเกียรติกว่าพี่น้องทั้งหลายของเขา”

คนที่ได้รับพระพรเช่นนี้จากพระเจ้าจะมีแม่น้ำแห่งชีวิตไหลไปหล่อเลี้ยงชีวิตของผู้อื่น ชีวิตของยาเบสไม่ได้อยู่เพื่อเขาจะได้ทุกสิ่งที่เขาต้องการ เขาไม่ได้อยู่เพื่อให้ได้ดังใจในบ้านในโบสถ์ในที่ทำงาน ...... เขาอยู่เพื่อพระเจ้าได้ดังพระทัยทุกอย่างในบ้านใน โบสถ์ใน ที่ทำงาน และในชีวิตของเขา
ยาเบสจึงอธิษฐานต่อไปว่า ขอให้พระเจ้า “ขยายเขตแดนของข้าพระองค์”
คำว่า “ขยายเขตแดน” ในพระธรรมตอนนี้ไม่ได้หมายถึงให้มีที่ดินเพิ่ม หรือรบชนะดินแดนอื่น แต่หมายถึง ขอให้ชีวิตของเขาเป็นพรมากมาย มีอิทธิพลทางดีเหนือคนอื่นมากมาย โดยให้กิจการและงานเจริญขึ้น ............หากกิจการของข้าพเจ้าเจริญข้างพระองค์จะถวายช่วยโบสถ์......สร้างโบสถ์......ช่วยช่วยทุนการศึกษาเด็กนักเรียน......
ตัวอย่างยาโคบ.......ปฐมกาล 28: 20-22
คุณประเสริฐ ผป.โบสถ์เชียงใหม่......
ยาเบสรับพรมือขวา เขาส่งต่อมือซ้าย คนที่พระเจ้าเห็นว่ามีเกียรติกว่าพี่น้องทั้งหลายทั้งหลายของเขานั้น เป็นคนที่ชีวิตมีการไหลเวียน
คนที่มีเกียรติกว่าพี่น้องทั้งหลายต้องรู้จักอธิษฐานต่อไปว่า “ขอพระองค์อวยพรแก่ข้าพระองค์ และขยายเขตแดนของข้าพระองค์”

อิทธิพลของท่านในสายพระเนตรของพระเจ้ากว้างใหญ่เพียงใด บางทีท่านอาจจะคิดว่า “ความทุกข์ปัญหาของฉันมันมากเกินไปแล้ว ยังจะให้สนใจความทุกข์ของคนอื่นอีกหรือ” คนที่เป็นพรต่อคนอื่นเป็นเหมือนฝนที่หยาดลงมาให้พืชพรรณได้ยืนยง...... ให้พวกเราลองคิดเล่นๆ ว่า เด็กกำพร้าในชุมชน เด็กด้อยโอกาสบนเขา ชีวิตจะเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง......... ถ้ามีคนสนใจเขา ถ้ามีคนรักเขา รับฟังเขา ให้โอกาสเขา

คนที่มีเกียรติในสายพระเนตรของพระเจ้าใสใจความทุกข์ ความต้องการ และปัญหาของคนอื่น....

ยาเบสรู้เคล็ดลับบางประการของชีวิตเช่นนี้ ท่านอธิษบานต่อไปว่า “ขอพระหัตถ์ของพระองค์อยู่กับข้าพระองค์” พระหัตถ์ของพระเจ้านั้นคือฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ยาเบสรู้ว่าชีวิตที่เป็นพร ชีวิตที่รับมือขวาจ่ายมือซ้าย รับมือซ้ายจ่ายมือขวา ชีวิตที่เป็นสายฝนนั้น ต้องการอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์และการทรงสถิตของพระเจ้า เขาทำงานนี้สำเร็จไม่ได้เพราะงานนี้เป็นงานฝ่ายจิตวิญญาณ
ยาเบสไม่กลัวเพราะเขาไม่ทำงานให้พระเจ้า แต่ทำงานกับพระเจ้า พระเจ้ากระทำให้สำเร็จ ตัวเขาเองจะกระทำให้สำเร็จ ตัวเขาเองจะได้ประสพการณ์กับฤทธานุภาพของพระเจ้า และการทรงสถิตอยู่ของพระเจ้ากับชีวิตเขาเสมอไป
คริสเตียนบางคนไม่ค่อยมีประสพการณ์กับพระเจ้า อาจเป็นเพราะชีวิตของเขาไม่อยากรับพรจากพระเจ้าเพื่อมอบพรนั้นให้กับคนอื่นก็ได้ โดยเฉพาะพรในการประกาศพระกิตติคุณ และความสนใจรักผู้อื่น นอกเหนือจากครอบครัวของตน

“ขอพระองค์ทรงรักษาข้าพระองค์ให้พ้นจากเหตุร้าย เพื่อมิให้ข้าพระองค์เจ็บปวดใจปวดกายและพระเจ้าทรงประสาทตามที่เขาทูลขอ” ยาเบสรู้ว่ากำลังอาศัยอยู่ในที่เต็มด้วยเหตุร้าย อุบัติเหตุ โรคภัยต่างๆ และความชั่วมากมายพระพรที่เขาได้รับคือ พระเจ้าทรงรักษาเขาให้พ้นจากเหตุร้าย เพื่อมิให้ข้าพระองค์เจ็บปวดใจปวดกายและพระเจ้าทรงประสาทตามที่เขาทูลขอของเขา

ยิ่งในสมัยนี้เรารู้ว่ากำลังอาศัยอยู่ในโลกที่เต็มด้วยเหตุร้าย อุบัติเหตุ โรคภัยต่างๆ และความชั่วที่เลวร้ายมากกว่า.......เราควรขอการคุ้มภัยทางด้านอันตรายจากความชั่ว ความบาป สิ่งมลทินที่ก่อเกิดในจิตใจ ในความคิด ในอารมณ์ ในเจตนารมณ์ ในท่าที ในความปรารถนา ในเป้าหมาย และในคำพูดด้วย...... เพราะว่า พระธรรมสุภาษิต 16: 2 กล่าวว่า “ทางทั้งสิ้นของมนุษย์ก็บริสุทธิ์ในสายตาของเขา แต่พระผู้เป็นเจ้าทรงชั่งดูจิตใจ”
มีหลายครั้งสามารถสังเกตได้ง่าย จิตใจ อารมณ์ ท่าที ความรู้สึก และคำพูดของท่านและของผม ฟังดูแล้ว ไม่มีลักษณะอุปนิสัยของพระคริสต์เหลืออยู่เลย เหมือนเป็นลักษณะนิสัยของคนที่ไม่กลับใจ ไม่ยอมจำนนต่อพระเจ้า เป็นเหมือนนิสัยของคนไม่รู้จักพระเจ้า เป็นลักษณะนิสัยเป็นที่น่ารังเกลียดน่าชัง ที่ทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เสียพระทัยอย่างยิ่ง และพระองค์ไม่สามารถสถิตอยู่ด้วย เพราะอุปนิสัย คำพูด อารมณ์ สื่อสารมาจากแหล่งที่ไม่ใช่พระเจ้า อาจมาจากความโกรธ ความไม่พอของตน หรือที่มาจากความต้องการความสะใจของตน
ท่านเคยสำรวจความคิด วิธีคิด ท่านเคยรู้สึก ท่านเคยตระหนักหรือเปล่า..........ว่าหลายครั้งหรือบางครั้งจิตใจ อารมณ์ ท่าที ความรู้สึก และคำพูด การสื่อสารของตัวเอง ฟังดูแล้ว ไม่มีลักษณะอุปนิสัยของพระคริสต์เหลืออยู่เลย เป็นลักษณะนิสัยของคนที่ไม่กลับใจ ไม่ยอมจำนนต่อพระเจ้า เป็นนิสัยของคนไม่รู้จักพระเจ้า เป็นลักษณะนิสัยเป็นที่น่ารังเกลียด ที่ทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เสียพระทัยอย่างยิ่ง.......

คนที่อยู่ใกล้ชิด ที่ทำงานร่วมด้วย สามี ภรรยา และลูก รู้ว่า จิตใจ อารมณ์ ความคิดและคำพูด มีความขมขืน ความเกลียด ความอาฆาต การวิวาท มีพระวิญญาณของพระเจ้าหรือไม่มี สัมผัสได้

เราจำเป็นต้องอธิษฐานขอเหมือนกับยาเบส ....ไม่เพียงแต่ให้พ้นอันตรายหรือเหตุร้ายทางกาย.....แต่ขอการคุมครองทางจิตใจจากอันตรายจากความบาป ความชั่ว และมลทินต่างๆด้วย...เพื่อพระเจ้าจะทรงประทานตามที่เราทูลขอ

พระธรรมฟิลิปี 4: 6-7 “จงอย่าทุกข์ร้อนในสิ่งใดๆ เลย แต่จงทูลเรื่องความปรารถนาของท่านทุกอย่างต่อพระเจ้าด้วยการอธิษฐาน การวิงวอน กับการขอบพระคุณ แล้วสันติสุขแห่งพระเจ้าซึ่งเกินความเข้าใจ จะคุ้มครองจิตใจและความคิดของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์”


เพลงพิแศษ............โดยอภิรักและเพื่อน




สรูปและเรียกร้อง
ยาเบสเป็นที่รู้จักเพราะคำอธิษฐานของเขา ยาเบสมีอุปสรรค ขีดจำกัด และ มีความหนักใจหลายอย่าง...... แต่ยาเบสก้าวข้ามอุปสรรคเหล่านั้นสู่คนที่มีเกียรติ....... ในคำอธิษฐานเขาทูลขอ สี่อย่าง (๑). ขอพระองค์อวยพร –เขาว่าเขาต้องการพรและสมควรได้พรจากพระเจ้า (๒). ขยายเขตแดน คือขอพระองค์ช่วยในกิจการงาน (๓). ขอพระหัตถ์ของพระองค์อยู่เขา - คือพลังอำนาจของพระเจ้าและพระปัญญาสถิตอยู่ในทุกอย่างที่ทำ และ (๔). ขอพระองค์ทรงรักษาข้าพระองค์ให้พ้นจากเหตุร้าย เพื่อมิให้ข้าพระองค์เจ็บปวดใจปวดกาย” และพระเจ้าทรงประสาทตามที่เขาทูลขอ”

ท่านกำลังคิดฝันสิ่งใด ท่านกำลังทำการงานอะไร ท่านต้องการสิ่งใด.....เวลานี้ท่านรู้ว่าเมื่อยาเบสวาดฝันชีวิตเขาอธิษฐานขอพระเจ้าอย่างไร ท่านรู้วิธีอธิษฐานแบบยาเบส.....ท่านร้องใคร่ครวญและอธิฐานแบบยาเบสเถิด....พระผู้เป็นเจ้าจะตอบคำอธิษฐานของท่าน อาจจะทันที หรือตามเวลาของพระองค์......
ขอพระองค์ทรงโปรดเมตตาและอวยพรท่าน......

วันจันทร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2551

คำอธิษฐานของซาโลมอนเพื่อขอสติปัญญา


พระปัญญาของพระเจ้า
ชีวิตของ ก.ซาโลมอนจึงเป็นแบบอย่างที่ดีที่จะสอนเราและนำเรา เพื่อให้ได้รับพระปัญญาของพระเจ้า

พระปัญญาของพระเจ้า
2พศด.1-12


ปัญญาหมายถึง....ความรอบรู้ , ความรู้ทั่วๆไป , ความฉลาดเกิดจากการเรียนรู้ และจากความคิด
วิธีการที่จะให้เรามีความรู้,มีสติปัญญามีความเฉลียวฉลาดเกิดขึ้นแก่ตนเองได้นั้น มีอยู่หลายวิธีเช่น

1. จากความพยายามของตัวเอง ซึ่งเราสามารถที่จะเสาะหาสติปัญญาความฉลาดได้ระดับหนึ่ง จากการเล่าเรียน

จากการศึกษาในสถาบันต่างๆ,การอ่านและค้นคว้าด้วยตนเอง,การฟังจากวิทยุ,การดูโทรทัศน์,ฟังจากนักพูด

ซึ่งความพยายามเหล่านี้ ก็เป็นสิ่งที่ดีมีประโยชน์ ที่สามารถทำให้เราเกิดปัญญาได้ระดับหนึ่ง แต่ไม่สามารถ

ที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเรา “ ให้พ้นจากความผิดบาปได้”

2. โดยพระปัญญาของพระเจ้า ซึ่งเป็นของประทานจากพระเจ้าและเป็นน้ำพระทัยที่พระองค์จะทรงกรุณาแก่ผู้ใด

ก็แล้วแต่น้ำพระทัยของพระองค์

ดนล.1:17 พระเจ้าทรงประทาน “ความชำนาญในเรื่องวิชาทั้งปวง และปัญญาแก่ดาเนียลกับเพื่อนๆ”


2พศด.1-12 พระคัมภีร์ได้บันทึกว่า พระเจ้าทรงประทานพระปัญญาแก่ ก.ซาโลมอน

ทำไม ก.ซาโลมอนจึงได้รับพระปัญญาของพระเจ้าได้ และเราจะสามารถรับพระปัญญาของพระเจ้าได้อย่างไร ?


ความเป็นมนุษย์ของเรานั้นมีความจำกัด การแสวงหาสติปัญญาความเฉลียวฉลาด จึงมีความสำคัญและมีค่ามาก แต่ที่สำคัญมากกว่านี้คือ เราจะทำอย่างไร เพื่อที่เรานั้นจะสามารถได้รับสติปัญญาที่ดีเลิศของพระเจ้า ซึ่งมีในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา เพื่อเป็นพระพรแก่ตนเอง,ครอบครัว,คนอื่นๆและการรับใช้พระเจ้า



ชีวิตของ ก.ซาโลมอนจึงเป็นแบบอย่างที่ดีที่จะสอนเราและนำเรา เพื่อให้ได้รับพระปัญญาของพระเจ้า

1. ก.ซาโลมอน “ ดำเนินชีวิตที่ชอบธรรม” ข้อ 1-6

- ก.ซาโลมอนพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย ข้อ 1. “พระเจ้าทรงสถิตอยู่กับพระองค์”

- ก.ซาโลมอน “นมัสการพระเจ้า” ข้อ 2-3 “พระองค์นำประชาชนไปนมัสการพระเจ้าที่ กิเบโอน”

- ก.ซาโลมอน “รักษากฎบัญญัติของพระเจ้า” กิเบโอนเป็นสถานที่สำหรับนมัสการพระเจ้าในยุคนั้น

- ก.ซาโลมอน “ถ่อมใจสารภาพบาป” ข้อ 6 “ทรงถวายเครื่องสัตวบูชา ถวายพระเจ้า”

2. ก.ซาโลมอน “ รู้จักคุณค่าพระปํญญาของพระเจ้า” ข้อ 7-10

ข้อ 7 ในคืนหนึ่งเมื่อพระเจ้าได้ตรัสถาม ก.ซาโลมอนว่า “เจ้าอยากให้เราให้อะไรเจ้า ก็จงขอเถิด”

ก.ซาโลมอนทูลตอบพระเจ้าถึงความต้องการซึ่งไม่ใช่สิ่งเพื่อสนองความต้องการเพื่อตนเอง แต่ถ่อมใจทูลขอเพื่อทำหน้าที่ของตนเองในการรับใช้พระเจ้า ในการเป็นผู้นำชนชาติของพระเจ้านั้นให้สำเร็จได้ ข้อ 10 “อ่าน”

1. ขอสติปัญญาและความรู้ความเข้าใจ ในการเป็นผู้นำชนชาติของพระเจ้า เพื่อเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า

ก.ซาโลมอนต้องการเป็นผู้นำที่ดี ที่พระเจ้าทรงรักและเป็นที่ยอมรับของประชาชนอิสเอลชนชาติของพระเจ้า

2. ขอความเฉลียวฉลาดในการตัดสินสามารถวินิจฉัย แก้ไขตัดสินปัญหาต่างๆของชนชาติของพระเจ้าได้

EX. การวินิจฉัยที่ฉลาดและตัดสินคดีอย่างยุติธรรมของ ก.ซาโลมอน 1พกษ. 3:16-28 หญิงสองคนแย่งบุตร
3. เมื่อพระเจ้าทรงพอพระทัย ก.ซาโลมอน ข้อ 11-12
ข้อ 12 พระเจ้าทรงพอพระทัยคำทูลขอของ ก.ซาโลมอน ที่พระองค์มิได้ทูลขอเพื่อสนองความต้องการของตนเองแต่ทูลขอเพื่อให้งานของพระเจ้าที่ตนเองดูแลรับผิดชอบนั้นสำเร็จ พระเจ้าทรงพอพระทัยและทรงประทานให้ตามที่ ก.ซาโลมอนปรารถนา และพระเจ้ายังทรงเพิ่มเติมพระพรให้แก่ ก.ซาโลมอนด้วย

1. พระเจ้าประทานสติปัญญาและความรู้ แก่ ก.ซาโลมอน

2. พระเจ้าทรงประทานทรัพย์สมบัติและความมั่งคั่งแก่ ก.ซาโลมอน

3. พระเจ้าทรงประทานเกียรติยศและชื่อเสียงแก่ ก.ซาโลมอน


พระเจ้าทรงอวยพระพรประทานพระปัญญาของพระองค์แก่ ก.ซาโลมอนเมื่อ

ก.ซาโลมอน “ดำเนินชีวิตชอบธรรม”

ก.ซาโลมอน “รู้จักคุณค่าพระปัญญา”

พระองค์ไม่ได้ทูลขอเพื่อสนองความต้องการของตัวเอง แต่ทูลขอเพื่อให้หน้าที่ๆพระองค์
ต้องรับผิดชอบดูแลชนชาติอิสราเอลชนชาติของพระเจ้าและพระราชกิจของพระเจ้าสำเร็จ

เมื่อพระเจ้าทรงพอพระทัยในคำทูลขอของ ก.ซาโลมอน

พระเจ้าทรงประทานให้ตามที่ ก.ซาโลมอนทูลขอและทรงเพิ่มเติมด้วย



ข้อคิด / บทเรียน
1. ท่านต้องการทูลขอสติปัญญาจากพระเจ้าในเรื่องอะไรบ้าง ?
2. เปิดโอกาสให้เป็นพยาน เมื่อท่านทูลขอพระเจ้า และพระองค์ตอบคำทูลขอแก่ท่าน มีอะไรบ้าง ?

อาณาจักรพระเจ้า (God Kingdom)


โดย อาจารย์ อัจฉรีย์ 12/10/2005

พระองค์จึงตรัสว่า.."ข้อความลับลึกแห่งแผ่นดินสวรรค์ ทรงโปรดให้ท่านทั้งหลายรู้ได้ แต่คนเหล่านั้น ไม่โปรดให้รู้…มธ.13:11 ; [หรือ… "ข้อความลึกลับแห่งแผ่นดินของพระเจ้าทรงโปรดให้ท่านทั้งหลายรู้ได้ แต่สำหรับคนอื่นนั้นได้ให้เป็นคำอุปมา เพื่อเมื่อเขาดูก็ไม่เห็น และเมื่อเขาได้ยินก็ไม่เข้าใจ….ลก.8:10; … "ข้อความลับลึกแห่งแผ่นดินของพระเจ้า ทรงโปรดให้ท่านทั้งหลายรู้ได้ แต่ฝ่ายคนนอกนั้นบรรดาข้อความเหล่านี้จะแจ้งให้เป็นคำอุปมาทุกอย่าง …..มก.4:11]

พระวจนะของพระเจ้า ซึ่งยืนยันถึงเรื่องราวของพระองค์นั้น มันไม่ใช่เรื่องที่ใครจะบอกว่า "ฉันรู้แล้ว ฉันเข้าใจแล้ว" มันไม่ใช่แค่นั้น ในความเข้าใจของมนุษย์นั้น มันก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่ถ้าจะบอกว่า พิเศษที่สุดนั้น ต้องเข้าถึงซึ่งจุดแห่งความล้ำลึกของพระเจ้า แท้จริงความล้ำลึกของพระเจ้านั้น ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ซุกซ่อนหรือปกปิดไว้ แต่เป็นเพียงสิ่งที่มนุษย์ค้นหาได้ด้วยสติปัญญาของตนเองนั้นไม่ได้ ต้องแสวงหาด้วยสติปัญญาของพระเจ้า ซึ่งทรงบอกอย่างชัดเจนแล้วว่า ไม่ทรงโปรดให้คนเหล่านั้นรู้ (คนที่คิดจะเข้าใจด้วยสติปัญญาของตนเอง) แต่ทรงโปรดให้ท่านทั้งหลายรู้ได้ (พระเจ้าได้ทรงโปรดให้เรารู้ความล้ำลึกในพระทัยของพระองค์ ตามพระเจตนารมย์ของพระองค์ ซึ่งพระองค์ทรงดำริไว้ในพระคริสต์….อฟ.1:9) นั่นคือบรรดาบุคคลที่มีพระวิญญาณของพระคริสต์และแสวงหาความล้ำลึกด้วยสติปัญญาของพระเจ้า ก็จะสามารถรู้ได้เข้าใจได้

เพราะฉะนั้น หลักฐานเหล่านี้ จึงเป็นที่ชื่นชมยินดีว่า บุคคลใดก็ตามสำแดงตนเองจนเข้าถึงสภาพของการเป็นสาวกของพระเจ้า เค้าเหล่านั้นพระเจ้าจะทรงขยายความเข้าใจและบรรจุความล้ำลึกให้ได้สัมผัส (….พระองค์ทรงขยายความเข้าใจของข้าพระองค์…สดด.119:32) เหมือนที่เราทั้งหลายเริ่มเคลื่อนไหวเข้าไป เราไม่อาจบอกได้เต็มตัวว่า เราแน่และดีพร้อมเหมือนสาวกของพระองค์ แต่เราเป็นบุคคลที่ปรารถนาแสวงหาและกระหายที่จะเป็นบุคคลที่ใกล้ชิดพระเจ้าเพื่อปรนนิบัติพระองค์ เป็นสาวกของพระองค์ (….จิตใจของข้าพระองค์กระหายหาพระองค์อย่างแผ่นดินที่แห้งผาก….สดด.143:6)

เพราะฉะนั้น พระเจ้าก็จะขยับเราทีละเล็กทีละน้อย เพื่อให้เราเข้าถึงสัมผัสถึงความล้ำลึกเหล่านี้ของพระองค์ ซึ่งทรงเจาะจงไว้แล้วว่า ไม่ทรงโปรดให้คนเหล่านั้นรู้ คนอื่นคนนอกนั้นที่ไม่ได้เข้าถึงซึ่งการเป็นสาวก แต่พระองค์ทรงโปรดที่จะให้สาวกของพระองค์นั้นได้รู้แจ้ง (………เดี๋ยวนี้ความรู้ของข้าพเจ้าไม่สมบูรณ์ เวลานั้นข้าพเจ้าจะรู้แจ้งเหมือนพระองค์ทรงรู้จักข้าพเจ้า…..1คร.13:12) ให้เรามาดูว่า ชีวิตของเรา พระเจ้าทรงบอกว่า อาณาจักรของพระองค์แผ่นดินของพระองค์นั้น ได้อยู่ภายในเราแล้ว และได้อยู่ในท่ามกลางเรา เพราะฉะนั้น ทั้งภายในภายนอกของเรา เราอยู่ในแผ่นดินของพระเจ้าในอาณาจักรของพระองค์ในโลกที่ตาไม่ปรากฏ แต่พระเจ้าได้ทรงยืนยันชัดเจนว่า ได้นำแผ่นดินสวรรค์มาไว้ในท่ามกลางเรา ภายในเราทุกคนซึ่งเป็นผู้เชื่อ เราต้องมองว่า ขั้นตอนของผู้คนที่อยู่ในอาณาจักรของพระเจ้าอย่างแท้จริงนั้น ควรมีมาตรฐานอะไรบ้าง (…..เราจะไม่พิจารณาผู้ใดตามมาตรฐานของโลก แม้ว่าเมื่อก่อนเราเคยพิจารณาพระคริสต์ตามมาตรฐานของโลกก็จริง แต่เดี๋ยวนี้เราจะไม่พิจารณาพระองค์เช่นนั้นอีก…2คร. 5:16)

ขั้นตอนที่หนึ่ง คำอุปมาเรื่อง เมล็ดพืช

พระองค์ยังตรัสคำอุปมาอีกข้อหนึ่งให้เขาฟังว่า "แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนเมล็ดพืชเมล็ดหนึ่ง ซึ่งคนหนึ่งเอาไปเพาะลงในไร่ของตน, เมล็ดนั้นเล็กกว่าเมล็ดทั้งปวง แต่เมื่องอกขึ้นแล้วก็ใหญ่กว่าผักอื่น และจำเริญเป็นต้นไม้จนนกในอากาศมาทำรังอาศัยอยู่ตามกิ่งก้านของต้นนั้นได้" ….มธ.13:31-32;

หรือ….[อุปมาเหมือนเมล็ดพืชเมล็ดหนึ่ง เวลาเพาะลงในดินนั้น ก็เล็กกว่าเมล็ดทั้งปวงทั่วทั้งแผ่นดิน, แต่เมื่อเพาะแล้วจึงงอกขึ้นจำเริญโตใหญ่กว่าผักทั้งปวง และแตกกิ่งก้านใหญ่พอให้นกในอากาศมาทำรังอาศัยอยู่ในร่มนั้นได้" ……...มก.4:31-32]

เพราะฉะนั้น การเริ่มต้นพระเจ้าเป็นผู้สำแดงการเริ่มต้นในชีวิตของเรา เราจึงต้องเข้าให้ถึงซึ่งการเป็นบุคคลที่สามารถสำแดงถึงการเกิดผล และแผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนเมล็ดพืชเมล็ดหนึ่ง ที่เพาะในไร่ของตนและเมล็ดนั้นงอกขึ้นใหญ่กว่าผักอื่นๆ นั่นคือการเกิดผลในชีวิตของผู้เชื่อ ผู้เชื่อที่เกิดผลในการเป็นคนใหม่ที่แท้จริง อุปมาเมล็ดพืชตรงนี้หมายถึง ขั้นตอนแรกของผู้เชื่อที่เริ่มต้นเข้าไปมีส่วนผูกพัน แล้วก็ชัดเจนว่า อยู่ในอาณาจักรของพระเจ้า เป็นผู้เชื่อที่เกิดผลในการเป็นคนใหม่ ความเชื่อของเค้าจะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ (….."ขอพระองค์โปรดให้ความเชื่อของพวกข้าพเจ้ามากยิ่งขึ้น"….ลก.17:5) จากเมล็ดพันธุ์ผักกาดที่เล็กที่สุด เติบโตขึ้นจนเป็นต้นไม้ใหญ่ให้นกกาได้อาศัย นั่นคือกระบวนการอันดับแรก ของบุคคลที่เข้ามาถึงอาณาจักรของพระเจ้า และแน่ใจว่า อาณาจักรของพระเจ้านั้นได้บริบูรณ์อยู่ภายในตัวเค้าและอยู่ในท่ามกลางเค้า นี่คือหลักฐานอันหนึ่งในข้อความชัดเจน ที่พระเจ้าทรงวางให้เราได้ตรวจสอบความมีมาตรฐานภายในตัวตนของเราว่า เรามีอาณาจักรพระเจ้าจริงมั้ย ภายในตัวเราและตัวเราได้ยืนอยู่ในอาณาจักรพระเจ้าอย่างแท้จริงมั้ย ก็ตรวจสอบจากมาตรฐานตรงนี้แหละว่า เมื่อพระองค์หว่านสิ่งใดลงมาในตัวเรามันไม่ลบล้างหายไป แต่มันสามารถตั้งมั่นคงและงอกออกมาเป็นความชื่นชมยินดีได้

เพราะฉะนั้น ชีวิตของเราที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ ในความเชื่อกับองค์พระผู้เป็นเจ้า (…..และเป็นการสมควรเพราะความเชื่อของท่านก็จำเริญยิ่งขึ้น และความรักของท่านทุกคนที่มีต่อกันทวีขึ้นมากด้วย….ธส.1:3) เราก็สมบูรณ์แบบแล้วว่า ในขั้นตอนแรกเราชัดเจนแล้วว่า เราได้รับเมล็ดพืชนั้นและสามารถเกิดผลได้ (เพื่อท่านจะได้ประพฤติอย่างที่สมควรต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า และทำตนให้เป็นที่ชอบพระทัยพระองค์ ให้เกิดผลในการดีทุกอย่าง และจำเริญขึ้นในความรู้ถึงพระเจ้า…คส.1:10) เมล็ดพืชหรือเมล็ดพันธุ์นั้น ก็คือพระวจนะของพระเจ้า พระวจนะของพระเจ้าก็เป็นอาณาจักรที่สมบูรณ์ของพระเจ้า ที่อยู่ในชีวิตของผู้เชื่อ ฉะนั้นถ้าเราจะบอกว่า เราอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้า และอาณาจักรแห่งความรักพระเจ้าอยู่ภายในเราสมบูรณ์แค่ไหน เราก็พิจารณาว่า ในตัวตนของเราสามารถรับการหว่านเมล็ดพันธุ์เข้ามาได้มั้ย (….พืชซึ่งหว่านกลางหนามนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ฟังพระวจนะ, แล้วความกังวลตามธรรมดาโลก และความลุ่มหลงในทรัพย์สมบัติ และความโลภในสิ่งอื่นๆได้เข้ามาและรัดพระวจนะนั้น จึงไม่เกิดผล, ส่วนพืชซึ่งหว่านตกในดินดีนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ยินพระวจนะนั้น และรับไว้ จึงเกิดผลสามสิบเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง ร้อยเท่าบ้าง"….มก.4:18-20) เมื่อรับเข้ามาได้ นั่นย่อมหมายถึงว่า บันทัดฐานของเราเริ่มแสดงออกแล้ว ถึงการเป็นบุคคลที่ยืนอยู่ในอาณาจักรใหม่ของพระเจ้า แต่ก็ยังไม่สมบูรณ์แบบนัก (เพราะความรู้ของเรานั้นไม่สมบูรณ์……, แต่เมื่อความสมบูรณ์มาถึงแล้ว ความบกพร่องนั้นก็จะสูญไป……1คร.13:9-10)

ขั้นตอนที่สอง คำอุปมาเรื่อง เชื้อขนม

พระองค์ยังตรัสคำอุปมาให้เขาฟังอีกข้อหนึ่งว่า "แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนเชื้อ ซึ่งผู้หญิงคนหนึ่งเอามาเจือลงในแป้งสามถัง จนแป้งนั้นฟูขึ้นทั้งหมด"….. มธ.13:33;

(หรือ……."เราจะเปรียบแผ่นดินของพระเจ้ากับสิ่งใด, ก็เปรียบเหมือนเชื้อซึ่งผู้หญิงคนหนึ่งเอาเจือลงในแป้งสามถัง จนแป้งนั้นฟูขึ้นทั้งหมด" …ลก.13:20-21)

เราต้องรับสิ่งใหม่ทั้งหมดจากพระเจ้า (…. และเราก็แจ้งสิ่งใหม่ๆ ก่อนที่สิ่งเหล่านั้นจะเกิดขึ้น เราก็ได้เล่าให้ฟังแล้ว….อสย.42:9; ……เรากำลังกระทำสิ่งใหม่ งอกขึ้นมาแล้ว…….อสย.43:19; เหตุฉะนั้นถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆก็ล่วงไป นี่แน่ะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น 2คร.5:17) นี่คือขั้นตอนที่สอง เมื่อรับเมล็ดพันธุ์โดยความเชื่อ ที่เรามีกับพระองค์ เริ่มต้นที่เชื่อและรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดเป็นพระผู้ไถ่ให้เราแล้ว ความสมบูรณ์ของเราก็เริ่มต้นแล้วว่า ความเชื่อของเรามีมาตรฐานในการเติบโต เติบโตขึ้นเรื่อยๆ (…..มีความเชื่อมั่นคงยิ่งขึ้น จึงถวายเกียรติแด่พระเจ้า…รม.4:20) และสิ่งเหล่านั้นแสดงออกมาในพฤติกรรมของเรา (ในพวกท่านผู้ใดเป็นคนฉลาดและมีปัญญา ก็ให้ผู้นั้นแสดงการประพฤติของตนด้วยพฤติกรรมอันดี มีใจอ่อนสุภาพประกอบด้วยปัญญา……ยก.3:13) ในกระบวนการที่อยู่ภายในตัวตนของเรา อาณาจักรของพระเจ้าเปรียบเหมือนแป้งสามถังที่ฟูขึ้น

เพราะฉะนั้น แป้งสามถังจะรับเชื้ออื่นไม่ได้ นอกจากต้องเป็นเชื้อของพระเจ้าเท่านั้น เชื้อนั้นก็คือ ฟูขึ้นในความคิดของเรา ฟูขึ้นในคำพูดของเรา ฟูขึ้นในการประพฤติ การกระทำด้วยมือของเราหรือการปฏิบัติตนของเรา นั่นคือเชื้อฟูที่สมบูรณ์แบบในแป้งสามถัง(จงชำระเชื้อเก่าเสีย เพื่อท่านจะได้เป็นแป้งดิบก้อนใหม่ เหมือนขนมปังไร้เชื้อ…1คร.5:7) สามสภาพในตัวตนของแต่ละบุคคล ถ้าหากผู้ใดมีคุณสมบัติเหล่านี้อยู่ในตัวตนตลอดเวลาว่า แนบสนิทชิดใกล้มากกับพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า ทั้งในความคิดคำพูดและการกระทำแล้วล่ะก็ ก็เริ่มสำแดงแล้วว่า ชีวิตของบุคคลผู้นั้นก็กำลังฟูขึ้นมาใหม่ ในสภาพใหม่ (และให้ท่านสวมสภาพใหม่ ซึ่งทรงสร้างขึ้นใหม่ตามแบบอย่างของพระเจ้า ในความชอบธรรมและความบริสุทธิ์ที่แท้จริง…อฟ.4:24) ในอาณาจักรใหม่อย่างแท้จริง ค่อยๆ เริ่มสำแดงให้เห็นมากขึ้น ๆ จากพฤติกรรมเหล่านี้ โดยแลเห็นจากพฤติกรรมทั้งภายในและภายนอกของตัวผู้นั้นเรา ภายในก็คือความคิดจิตใจของเรา ภายนอกก็เปล่งเป็นเสียงเป็นวาจาออกมา ทั้งการประพฤติการกระทำที่ฟูขึ้นอย่างชัดเจน ทั้งภายในภายนอกในสภาพเดียวกับพระเจ้า คือเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า

(……เพื่อให้เขาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระองค์ …..ยน.17:21) นั่นก็เป็นลักษณะของบุคคลที่มีคุณสมบัติครอบครองแผ่นดินสวรรค์ ได้ยึดเอาอาณาจักรของพระเจ้ามาไว้เป็นของเค้าอย่างแท้จริงในตัว

ข้อความเหล่านี้ทั้งสิ้น พระองค์ตรัสกับหมู่ชนเป็นคำอุปมา และนอกจากคำอุปมา พระองค์มิได้ตรัสกับเขาเลย, ทั้งนี้เพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะ ที่ตรัสโดยผู้เผยพระวจนะว่า เราจะอ้าปากกล่าวคำอุปมา เราจะกล่าวข้อความ ซึ่งปิดซ่อนไว้ตั้งแต่เดิมสร้างโลก….(มธ.13:34-35)

พระเจ้าไม่ทรงโปรดที่จะให้คำอุปมานั้น เป็นสิ่งอะไรก็ตามที่ออกมาเข้าใจกันง่ายๆ เหมือนที่คนในโลกทั้งหลาย เค้าเปรียบเทียบคำสุภาษิตคำพังเพยแล้วก็ตีความกันออกมา แต่สำหรับถ้อยคำของพระเจ้า พระองค์เท่านั้นที่จะเปิดเผยสิ่งที่สำแดงการปิดซ่อนไว้ตั้งแต่เดิมสร้างโลก "เราจะอ้าปากกล่าวคำอุปมา เราจะกล่าวข้อความ ซึ่งปิดซ่อนไว้ตั้งแต่เดิมสร้างโลก" ฉะนั้นสิ่งเหล่านี้เป็นกระบวนการที่พระเจ้าปรารถนาที่จะบรรจุไว้ในตัวตนของมนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างทุกผู้ทุกนาม แต่มนุษย์ไม่ยอมรับการเหล่านี้ ที่พระองค์ทรงกำหนดไว้ตั้งแต่เดิมสร้างโลก สภาพที่แท้จริงในชีวิตจิตใจต้องสำแดงคุณสมบัติที่บริบูรณ์ออกมาในลักษณะที่เปิดเผยอาณาจักรของพระเจ้า หรือแผ่นดินของพระเจ้านั่นเอง ( และจงให้ความมั่นคงนั้นบรรลุผลอันสมบูรณ์ เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เป็นคนที่ดีพร้อม มีคุณสมบัติครบถ้วน ไม่มีสิ่งใดบกพร่องเลย….ยก.1:4)

ขั้นตอนที่สาม คำอุปมาเรื่องข้าวละมานท่ามกลางต้นข้าวสาลี

……แล้วพระเยซูเสด็จไปจากคนเหล่านั้นเข้าไปในเรือน พวกสาวกมาเฝ้าพระองค์ทูลว่า "ขอพระองค์ทรงโปรดอธิบายให้พวกข้าพระองค์เข้าใจคำอุปมาที่ว่าด้วยข้าวละมานในนานั้น" พระองค์ตรัสตอบเขาว่า "ผู้หว่านเมล็ดพืชดีนั้นได้แก่บุตรมนุษย์ และนานั้นได้แก่โลก ส่วนเมล็ดพืชดีได้แก่พลเมืองแห่งแผ่นดินของพระเจ้า แต่ข้าวละมานได้แก่พลเมืองของมารร้าย ศัตรูผู้หว่านเมล็ดพืชชั่วได้แก่มารนั้น ฤดูเกี่ยวได้แก่เวลาสิ้นยุค และผู้เกี่ยวนั้นได้แก่ทูตสวรรค์ เหตุฉะนั้นเขาเก็บข้าวละมานเผาไฟเสียอย่างไร เมื่อเวลาสิ้นยุคก็จะเป็นอย่างนั้น บุตรมนุษย์จะใช้ทูตของท่านออกไปเก็บกวาดทุกสิ่งที่ทำให้หลงผิด และบรรดาผู้ที่กระทำชั่วไปจากแผ่นดินของท่าน และจะทิ้งลงในเตาไฟอันลุกโพลง ที่นั่นจะมีการร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน คราวนั้นผู้ชอบธรรมจะส่องแสงอยู่ในแผ่นดินพระบิดาของเขาดุจดวงอาทิตย์ ใครมีหูจงฟังเถิด…..(มธ.13:36-43)

นี่เป็นอีกลักษณะหนึ่งที่ยืนยันในชีวิตว่า เราจะต้องเป็นผู้ตรวจสอบ เพราะสิ่งเหล่านี้พระเจ้ากำหนดไว้แล้วว่า ในวันสิ้นยุคเป็นฤดูเกี่ยว ที่พระเจ้าจะส่งทูตสวรรค์ มาเกี่ยวข้าวละมานออกไปเผาไฟ คำอุปมาของพระเยซูในเรื่องต้นข้าวนี้ เป็นอีกขั้นตอนในช่วงที่สาม ในจังหวะที่สามในตัวตนของเราว่า เมื่อเราเติบโตแล้วในการเป็นคริสเตียนนั้น นาที่เปรียบเหมือนชีวิตผู้เชื่อเมื่อถูกบรรจุไว้ด้วยความดีของพระเจ้าที่ทรงหว่านไว้ในตัวตนของเรา (…….คนหนึ่งได้หว่านพืชดีในนาของตน…มธ.13:24) ทำให้เราได้เจริญเติบโตในฝ่ายวิญญาณจากการเป็นทารกก็เข้าสู่วัยเด็ก ด้วยกระบวนการที่พระเจ้าทรงดูแลพัฒนาจนสู่วัยผู้ใหญ่ แต่บุคคลเหล่านี้ ก็ต้องตื่นติดตามพระวิญญาณ ไม่หลับใหลเผลอเลอ ต้องมองดูว่า เราจะถูกแผนการเลวร้ายแทรกแซงข่มเหงก่อกวนได้ตลอดเวลาในทุกรูปแบบ (แต่เมื่อคนทั้งหลายนอนหลับอยู่ ศัตรูของคนนั้นมาหว่านข้าวละมานปนกับข้าวดีนั้นไว้แล้วก็หลบไป, ทาสแห่งเจ้าบ้านจึงมาแจ้งแก่นายว่า 'นายเจ้าข้า ท่านได้หว่านพืชดีไว้ในนาของท่านมิใช่หรือ แต่มีข้าวละมานมาจากไหน'….มธ.13:25,27) เพื่อจะให้กระบวนการเปลี่ยนแปลงในความสวยงามขึ้นใหม่ ในตัวตนของเราถูกลดสภาพลงจากการเป็นพลเมืองในแผ่นดินสวรรค์ การแทรกแซงก่อกวนอย่างต่อเนื่องในรูปแบบของการทดลอง (ผู้คิดปองร้ายอยู่ในจิตใจของเขา และก่อกวนต่อเนื่องกันให้มีสงครามขึ้น…สดด.140:2) มีเป้าหมายเพื่อลดสถานภาพการครอบครองอาณาจักรพระเจ้า ให้เสื่อมถอยลงจากการดำเนินชีวิตที่สงบสุขราบรื่น อำนาจของข้าวละมานจะคอยเพียรพยายามบุกรุกคุกคามพื้นที่ชีวิตของผู้เชื่อ ให้ขาดไปซึ่งการไว้วางใจในองค์พระเจ้า แล้วกลับเป็นวิตกทุกข์ร้อนเป็นกังวลบ่นตัดพ้อ สภาพของเราทุกคนที่เคยดำรงอยู่ในอาณาจักรพระเจ้าก็พลันมลายหายสูญสิ้น ยิ่งข้าวละมานมีมากเท่าใด อาณาจักรพระเจ้าในตัวตนของเราก็เริ่มร้างลา เพราะมีพลเมืองของมารร้ายครอบงำ กลายพันธุ์เป็นอาณาจักรเก่าๆ เดิมๆ ครอบครองแทนที่ (……'นี่เป็นการกระทำของศัตรู' พวกทาสจึงถามว่า 'ท่านปรารถนาจะให้พวกเราไปถอนและเก็บข้าวละมานหรือ' แต่นายตอบว่า 'อย่าเลยเกลือกว่า เมื่อกำลังถอนข้าวละมานจะถอนข้าวดีด้วย….มธ.13:28,29) และโดยพระคุณพระเจ้าก็ทรงให้โอกาสเราปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสภาพตนเอง มิได้ลงโทษหรือถอดถอนให้หมดสภาพจากการเป็นบุตรของพระองค์ไม่ เพราะยังมีเวลาที่จะพัฒนาชีวิตเปลี่ยนแปลงขัดเกลาปลุกระดมให้เป็นข้าวดีขึ้นมาได้ ด้วยการต่อสู้ขัดขวางต่อต้านปฏิเสธอย่างเต็มกำลังความเชื่อ เพื่อจะไม่เป็นไปตามกระบวนการของเนื้อหนังที่ถูกล่อลวงให้ไขว้เขวไปจากความจริงของพระเจ้า ทรงรอเวลาให้เราตัดสินใจเลือกที่จะทำตามใจตนเองต่อไปหรือเลือกที่จะทำตามน้ำพระทัย (ท่านทั้งหลายจำเป็นต้องมีความอดทน เพื่อว่าท่านจะได้สามารถกระทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าได้ แล้วท่านจะได้รับสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้นั้น…ฮบ.10:36) ถ้าเลือกที่จะเป็นข้าวดีล้วนๆ พระเจ้าก็จะสงวนรักษาเก็บไว้ในยุ้งฉางคือพระนิเวศน์หรืออาณาจักรของพระองค์ เป็นพลเมืองเต็มร้อยแห่งแผ่นดินของพระเจ้า (ให้ทั้งสองจำเริญไปด้วยกันจนถึงฤดูเกี่ยว และในเวลาเกี่ยวนั้นเราจะสั่งผู้เกี่ยวว่า "จงเก็บข้าวละมานก่อน มัดเป็นฟ่อนเผาไฟเสีย แต่ข้าวดีนั้นจงเก็บไว้ในยุ้งฉางของเรา'"….มธ.13:30)

ดังคำอุปมาที่พระเยซูอธิบายเกี่ยวกับข้าวละมานที่เติบโตขึ้นท่ามกลางต้นข้าวสาลี

เพราะฉะนั้น หน้าที่อันชอบธรรมของบุคคลที่เชื่อในพระเจ้าและอยู่ในอาณาจักรของพระองค์ ต้องคอยตรวจสอบสภาพชีวิตโดยทำการเกี่ยวเอาข้าวละมานอออกจากตัวเราและเผาผลาญให้สิ้น เพราะชีวิตของเราจะถูกแทรกแซงในหลายรูปแบบด้วยกระบวนการต่างๆ ในยุคปัจจุบันอันชั่วร้ายและกลไกเหล่านี้ตลอดเวลาในชีวิตของผู้เชื่อ (พระเยซูทรงสละพระองค์เองเพราะบาปของเราทั้งหลาย เพื่อช่วยเราให้พ้นจากยุคปัจจุบันอันชั่วร้าย ..…กท.1:4) อย่าคิดว่า เราสมบูรณ์แบบแล้วในการอยู่ในอาณาจักรพระเจ้า ไม่มีอะไรมาปะปนกับเราได้ แต่สิ่งเหล่านี้มันจะงอกแซมเราออกมาเสมอ (ครั้นต้นข้าวนั้นงอกขึ้นออกรวงแล้ว ข้าวละมานก็ขึ้นปรากฏด้วย….มธ.13:26) นั่นก็คือสภาวะที่จะลิดรอนเราออกจากแผ่นดินของพระเจ้า ถอดถอนเราออกจากการเป็นพลเมืองแห่งแผ่นดินของพระเจ้า จนดูเหมือนไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้าหรือเป็นประชากรของพระเจ้าต่อไปได้เลย

เพราะฉะนั้น บุคคลที่จะดำรงอยู่ในอาณาจักรพระเจ้าอยู่ในแผ่นดินสวรรค์ที่แท้จริง เราจะต้องตระหนักยอมรับรู้ว่า การแทรกแซงแบบนี้จะมีกับชีวิตของเราเสมอ ดังนั้นอย่ายอมให้อำนาจบางอย่างของมารมาลดสภาพเราลง ลดฐานะเราลงจากสภาพของประชากรที่สมบูรณ์ว่า เป็นพลเมืองของแผ่นดินของพระเจ้าถอดถอนไปจากชีวิตเป็นอันขาด และต้องทำหน้าที่ให้เหมือนกับวันนั้นที่พระเจ้าจะสำแดงฤดูเกี่ยวในฤดูสิ้นยุค การสิ้นยุคอยู่ในตัวเราได้ เพียงแต่ขอให้เราปลดสภาพทุกอย่างที่มันลักลอบเข้ามาแทรกแซง ทำให้ฐานะของการเป็นพลเมืองของแผ่นดินพระเจ้าของเรานั้นสั่นคลอน เราต้องเกี่ยวสายพันธุ์ข้าวที่ไม่ถูกต้องออกจากตัวเรา กอบโกยเกี่ยวเก็บออกไปเผาผลาญให้หมดสิ้นจากชีวิตให้ได้ ทำหน้าที่เก็บเกี่ยวก่อนในเวลานี้ เราจะแลเห็นว่า การสิ้นยุคนั้นเกิดในชีวิตเราได้แน่นอน ยุคเข็ญจะสิ้นไปอย่างง่ายดาย เพียงคอยตรวจสอบการแพร่พันธุ์ของข้าวละมาน เพราะบางครั้งบางเรื่องบางอย่างเราไม่รู้ตัวเราไม่ตั้งใจเราคิดไม่ถึง เมื่อเราพิจารณาสอดส่องมองดูตัวเองให้บ่อยครั้ง (เพราะว่าเมื่อดูตัวเองแล้วก็ไป และก็ลืมในทันทีนั้นว่าตัวเองเป็นอย่างไร….ยก.1:24) เมื่อเอาใจใส่ที่จะค้นหาให้พบพันธุ์ข้าวที่ไม่พึงประสงค์ที่เบ่งบานงอกเงยขึ้นมา ก็ต้องพยายามปลิดแกะงัดปลดล้างลบมันออกทิ้งทันที อย่าเก็บรักษามันไว้ อย่าให้ที่อาศัยแก่มัน อย่าปล่อยให้มันเจริญเติบโตโอหัง อย่านิ่งนอนใจกับการเพ่นพ่านแพร่พันธุ์ของมัน ถ้าเราไม่เคยตรวจสภาพมองดูตัวเองเลย ไม่พิจารณามองหาสิ่งผิดปกติในตัวในใจในความคิดตนเอง ก็มีแต่จะหลงเจิ่นเจือจางเบาบางไปเรื่อยๆ จากที่เคยเข้มข้นด้วยอานุภาพแห่งพระสิริพระเจ้า ก็ลดเลือนจางหายกลับลึกลงในความคิดที่สวนทางกับความจริงของพระจ้า ต่ำลงไปในคำพูด เผยเชื้อร้ายออกมาเป็นพฤติกรรมที่ตรงข้ามกับสภาพสวรรค์ได้ จนอาจจะยากยิ่งที่จะรื้อมันลง ถอนตัวไม่ขึ้นเพราะเคยชินกับการให้พื้นที่แก่โรคร้ายแห่งชนิดพันธุ์แปลกปลอมที่แทรกแซงเข้ามาแพร่กระจายโดยมิได้รับเชิญ ถึงวันนั้นก็ถูกเกี่ยวเก็บโดยทูตสวรรค์ที่พระเจ้ากำหนดไว้อย่างน่าเสียดาย จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเกี่ยวข้าวละมานรื้อถอนออกไปให้สิ้นซากในวันเวลาปันจจุบันนี้ อย่าออมชอมปล่อยค้างเป็นเสี้ยนหนาม เป็นหอกข้างแคร่ประจำชีวิตติดวิญญาณอยู่เนิ่นนานเป็นอันขาด ต้องเผาทำลายให้มอดไหม้ไม่หลงเหลือซากกากเดน รกหูรกตาเกะกะระรานชีวิต ที่ควรดำรงอยู่ในฐานะที่เหมาะสมคู่ควรกับแดนบริสุทธิ์ หันมาเอาใจใส่เดี๋ยวนี้ เวลานี้ ทำหน้าที่เป็นทูตสวรรค์ที่ถูกกำหนดมาในวันนั้น ณ บัดนี้ ปฏิบัติการอย่างเร่งด่วนเกี่ยวแกลบหรือข้าวละมานโกยเก็บรวบรวมเผาทำลายในกองไฟให้หมดสิ้นไปจากลานข้าวแห่งชีวิตตัวเอง เพื่อจะได้ดำรงอยู่ในยุ้งฉางหรืออาณาจักรพระเจ้าได้ ซึ่งจะทรงเก็บเฉพาะข้าวสาลีเท่านั้น

(พระหัตถ์ของพระองค์ถือพลั่วพร้อมแล้ว และจะทรงชำระลานข้าวของพระองค์ให้ทั่ว พระองค์จะทรงเก็บข้าวของพระองค์ไว้ในยุ้งฉาง แต่พระองค์จะทรงเผาแกลบด้วยไฟที่ไม่รู้ดับ"…..มธ.3:12) เราต้องเร่งรีบกำจัดซะก่อน แล้วเวลาแห่งการสิ้นยุคเข็ญภายในตัวตนของเรา ที่มันก่อหวอดตรงนั้นตรงนี้บดขยี้ชีวิตให้ขาดสันติสุข ดูเหมือนไม่มีความปลอดภัยนั้น ก็จะถูกหลอมละลายไปพร้อมกับสิ่งที่เราลุกขึ้นมาเผาผลาญออกไปจากชีวิตของเรา เหมือนกับสิ่งไม่ดีที่เล็ดรอดเข้ามาในชีวิตเรา แล้วทำการปลดออกชำระออกให้ได้จากตัวเรา กระบวนการเหล่านี้จะเกิดขึ้นในชีวิต เวลานั้นจะเป็นเหมือนเวลาที่เราเก็บเกี่ยว และการสิ้นยุคก็จะเกิดขึ้นในฝ่ายวิญญาณของเรา รูปแบบของเราก็จะสมบูรณ์ เหมือนกับพระองค์ผู้ทรงใช้มาในวันสิ้นยุค

เพราะฉะนั้น การสิ้นยุคในปัจจุบันของพวกเรามีแน่ เพียงแต่ขอให้เรามีท่าทีในการประกอบกิจชนิดเดียวกันกับพระเจ้า ที่วางไว้สำหรับวันสิ้นยุคของโลกใบนี้ เราต้องเป็นบุคคลที่เริ่มต้นทำในรูปแบบที่พระเจ้าบอกว่า พระองค์จะเสด็จมาแล้วทำการนี้ พระองค์ให้เราจัดเตรียมธรรมิกชน จัดเตรียมพระมรรคา เพื่อรอการเสด็จกลับมาครั้งที่สองของพระคริสต์

เพราะฉะนั้น ท่าทีของเราในสถานภาพของผู้เชื่อต้องเตรียมความพร้อมไว้เสมอในตัวของเรา จะเห็นความชัดเจนว่าในวันที่พระเจ้าเสด็จกลับมา เราก็จะเป็นบุคคลที่เพียบพร้อมแล้ว ดังนั้นอะไรที่มันแปลกปลอมเข้ามาและเรารู้ว่ามันไม่ใช่คุณสมบัติพลเมืองแผ่นดินของพระเจ้า ต้องด่วนปฏิบัติการเกี่ยวมันออกไปก่อนเลย เพื่อการสิ้นยุคในชีวิตของเราจะได้เกิดขึ้น ยุคเข็ญของเราจะล่มสลายไป กลับเป็นยุคใหม่ที่มีแต่พันธุ์ข้าวสาลีล้วนๆ เท่านั้น ในชีวิตที่สมบูรณ์แบบอย่างพระคริสต์ที่แท้จริง เพื่อที่เราจะไม่ต้องมาทนแดดทนฝนทนสารพัดปัญหาพายุร้ายในเวลานี้ด้วยความบอบช้ำ เพื่อความปลอดภัย จำเป็นต้องสำรวจตรวจสอบเช็คสภาพมองดูช่วงเติบโตของชีวิตคริสเตียน ด้วยความพรักพร้อมในการที่จะแยกแยะสิ่งดีสิ่งชั่ว อะไรที่ต้องเก็บรักษา อะไรที่ต้องสกัดกั้นปัดทิ้งปฏิเสธไม่ยอมรับยกเลิกขับไล่ ด้วยวิธีการที่ชาญฉลาด โดยยึดพระวจนะยึดความจริงด้วยใจรัก (แต่ให้เรายึดความจริงด้วยใจรัก เพื่อจะจำเริญขึ้นทุกอย่างสู่พระองค์ผู้เป็นศีรษะ คือพระคริสต์…อฟ.4:15) เราก็จะหยั่งรู้และเข้าใจเหมือนมีตาในสมองที่จะเลือกข้าวสายพันธุ์สวรรค์ แล้วทำลายละเลิกข้าวสายพันธุ์นรก การดำเนินชีวิตคริสตชนทั้งหลายทั้งปวงล้วนมีโอกาสถูกสอดแทรกด้วยสภาพจิตใจที่ฟกฃ้ำขมขื่นเจ็บปวดโกรธแค้นอาฆาตต่อผู้หนึ่งผู้ใด เหตุการณ์ใดสถานการณ์ใดปัญหาใดที่ต้องเผชิญและไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เสมอ จึงไม่อาจบอกได้ว่า ตัวข้าฯนี้ดีเลิศประเสริฐแล้ว ปลอดภัยแล้ว ไม่มีใครจะกล้าพูดได้ว่า ข้าพระองค์ดีพร้อมแล้ว มั่นคงแล้ว อย่าประมาทต่อการเคราะห์ร้ายด้วยการตรึกตรองเช่นนั้น (เหตุฉะนั้นคนที่คิดว่าตัวเองมั่นคงดีแล้ว ก็จงระวังให้ดี กลัวว่าจะล้มลง….1คร.10:12) เพราะทุกผู้ทุกนามที่ยังต้องอยู่ในนาของโลกนี้ มีโอกาสพลาดพลั้งบกพร่องตลอดวันเวลาแทบทุกนาที ทั้งในกระบวนการแห่งแนวความคิด กิริยาวาจา การเคลื่อนตัวเคลื่อนไหวมีโอกาสแสดงท่าทีประนีประนอมออมชอมกับกระบวนการของโลก เป็นไปตามแนวทางเดียวกับโลกฝ่ายธรรมชาติที่ตามองเห็นได้เสมอ ซึ่งคริสเตียนฝ่ายวิญญาณจะต้องเดินด้วยกฏแห่งชีวิต มิใช่สิ่งที่ตามองเห็น (เพราะเราดำเนินโดยความเชื่อ มิใช่ตามที่ตามองเห็น…2คร. 5:7)

การสิ้นยุคในอนาคตคือช่วงเวลาที่พระเยซูจะมาในกาลภายหน้าเร็วๆ นี้ แต่ ณ ปัจจุบันนี้ ถ้าจะให้การสิ้นยุคในชีวิตส่วนตัวของแต่ละคน ที่ถูกแทรกแซงจากอำนาจมืดสารพัดกลยุทธที่แยบยลหลอกลวงให้มีความบกพร่องต่อพระเจ้า อำนาจของซาตานหว่านข้าวละมานที่งอกขึ้นจากตัวเรา ลิดมันออกบอกเลิกทุกวิธีแสดงพฤติกรรมว่าเราไม่ยินยอมที่ให้พื้นที่แม้เพียงนิดเดียวกับอะไรที่เป็นกระบวนการของข้าวละมานเด็ดขาด ต้องกำจัดมันเกี่ยวมันออก การเกี่ยวข้าวละมานคมเคียวอาจจะบาดเกี่ยวโดนข้าวสาลีบ้าง การเจ็บปวดย่อมมีบ้าง แต่ถ้าทนได้ยอมได้ด้วยความรักนำหน้าและเป็นใหญ่ นาในตัวของเราก็จะเต็มไปด้วยข้าวพันธุ์แท้ข้าวสาลีสายพันธุ์บริสุทธิ์เท่านั้น ในส่วนตัวเราแต่ละคน นั่นแหละ เวลาของพระเจ้าก็จะเกิดขึ้นในชีวิตเราทันทีว่า เราได้สำแดงการให้ยุคเข็ญนั้นหมดไปจากสภาพชีวิตเราแล้ว ณ ปัจจุบันของเรา ในโลกนี้ เราก็จะเห็นฤดูเกี่ยวกับการสิ้นยุคเข็ญหมดไปจากสภาพเรา ต้องเสียสละกล้าสำแดงการเกี่ยวในปัจจุบันของชีวิตขณะนี้

เพราะฉะนั้น เราก็คือบุคคลที่เตรียมความพร้อมที่จะแลเห็นการเกี่ยวของพระเจ้าในวันที่พระองค์เสด็จมา เป็นความชัดเจนว่านี่คือลักษณะของบุคคลที่อาณาจักรของพระเจ้าอยู่ในตัวของผู้นั้นอย่างแท้จริง และผู้นั้นก็อยู่ในอาณาจักรของพระเจ้า สามารถที่จะแบ่งปันและสำแดงถ้อยคำที่ก่อร่างสร้างผู้คนทั้งหลายขึ้นในอาณาจักรของพระองค์ได้อีก

นี่เป็นสภาพของคำว่า แผ่นดินของพระเจ้าที่เปิดเผยในชีวิตของเรา แต่ละบทที่พระเยซูยก ก็คือลักษณะของการเปิดเผยอาณาจักรของพระเจ้าในชีวิตของผู้เชื่อ เพราะในเวลานั้น จะมีแต่การร้องไห้ขบเคี่ยวเคี้ยวฟัน….คราวนั้นผู้ชอบธรรมจะส่องแสงอยู่ในแผ่นดินพระบิดาของเขาดุจดวงอาทิตย์ ใครมีหูจงฟังเถิด.. พระเจ้าตรัสกับเราด้วยถ้อยคำที่ร่วมสมัยเสมอ ทุกยุคทุกสมัย ความจริงความดีของพระองค์เปิดเผยได้ทั้งหมด

เพราะฉะนั้น เรื่องราวเหล่านี้ก็อยู่ในตัวตนของเราทั้งหลาย ซึ่งเป็นบุคคลที่เชื่อในพระองค์ตลอดเวลา เราต้องยอมรับว่า เสียงร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันจะถูกสำแดงออกเสมอ ถึงแม้เราไม่ได้ยินสียงร้องไห้ แต่มันมี ถ้าเราลิดรอนถอดถอนออกจากตัวเรา ความเจ็บปวด สมุนและบริวารของมารร้ายที่มันหว่านเมล็ดเข้ามาแทรกเรา ก็จะสำแดงได้ว่า เสียงร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันจะอยู่ในอาณาจักรของมัน ไม่ใช่อาณาจักรที่เราเป็น แล้วเราก็จะเป็นเหมือนผู้ชอบธรรมที่ส่องแสงอยู่ในแผ่นดินของพระบิดาดุจดวงอาทิตย์ (จงลุกขึ้นฉายแสง เพราะว่าความสว่างของเจ้ามาแล้ว และพระสิริของพระเจ้าขึ้นมาเหนือเจ้า….อสย.60:1) ในฝ่ายวิญญาณคริสเตียนเป็นอย่างนั้น แต่เราหลายคนแสงไม่มีสอดส่องออกไปได้เลย มืดสลัวมัวอยู่กับพื้นดินในโลกนี้ บนเส้นทางที่มืดมิดมรณา พระเจ้าบอกใครมีหูจงฟังเถิด พระเจ้าให้เราฟังในเวลานี้ มิใช่รอฟังในอนาคตว่า ทูตสวรรค์จะมาเกี่ยวข้าวละมานในโลกนี้ แล้วเวลานั้นสิ้นยุคก็จะเกิดขึ้น แต่ ณ ปัจจุบันในโลกนี้ สัมผัสกาลเวลาเหล่านี้ของพระเจ้าได้ ณ ปัจจุบันในโลกของเราซึ่งเรามีชีวิตอยู่ขณะนี้ต่างหาก เพียงแต่ว่า เราต้องประกอบกิจร่วมสมัยและร่วมความจริงกับพระเจ้าหรือร่วมสภาพในการเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ ในการที่จะสำแดงสัณฐานของตัวเองปรากฏในรูปแบบของผู้ชอบธรรมที่ส่องแสง อยู่ในแผ่นดินของพระบิดาดุจดวงอาทิตย์

ขั้นตอนที่สี่ ขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่

ถ้าเรามีคุณสมบัติเช่นนี้เสมอ คอยตรวจดูค้นหาตัวเองว่าบกพร่องหรือขาดลักษณะที่พระเจ้าให้เราเป็นข้าวสาลีข้าวพันธุ์ดีพันธุ์แท้

คุณสมบัติที่พิเศษของเราจะเพิ่มขึ้น เราจะเป็นบุคคลที่ร้อนรนค้นหาควาญหาแสวงหาตีแผ่และต้องการตลอดเวลา ด้วยการสำแดงถึงการละทิ้งทุกสิ่งของเราได้ แล้วก็เสียสละที่จะติดตามพระเจ้า ( "แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนขุมทรัพย์ซ่อนไว้ในทุ่งนา เมื่อมีผู้ได้พบแล้วก็กลับซ่อนเสียอีก และเพราะความปรีดีจึงไปขายสรรพสิ่งซึ่งเขามีอยู่แล้วไปซื้อนานั้น……..มธ.13:44)

นี่คือการเสียสละ การละทิ้งทุกสิ่ง กล้าที่จะเป็นเช่นนี้ในจุดยืนกับพระเจ้า ไม่รู้สึกหวงแหน ไม่เสียดายอะไรเลย ไม่มีความโลภความผูกพันอยู่ในทรัพย์สมบัติใดๆ ในโลกนี้หรือตัวตนในโลกนี้เหมือนเดิม แต่จะมีท่าทีใหม่ นั่นคือ กระเสือกกระสนปรารถนาที่จะได้สิ่งมีค่าหรือขุมทรัพย์ ที่มันเหมือนถูกซ่อนไว้ในทุ่งนา เมื่อพบแล้วกลับซ่อนเสียอีกและเพราะความปรีดีจึงไปขายสรรพสิ่งซึ่งเขามีอยู่แล้วไปซื้อนานั้น ผู้ใดที่ไม่กล้าสลัดตัดอะไรของตนทิ้งเลย ผู้นั้นไม่สามารถพบแผ่นดินของพระเจ้าได้ ครั้งหนึ่งที่พระเยซูตรัสกับชายคนหนึ่ง ที่มาทูลถามพระองค์ ..."ท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าจะต้องทำดีประการใด จึงจะได้ชีวิตนิรันดร์" ,พระเยซูตรัสตอบเขาว่า "ท่านถามเราถึงสิ่งที่ดีทำไม ผู้ที่ดีมีแต่ผู้เดียว แต่ถ้าท่านปรารถนาจะเข้าในชีวิต ก็ให้ถือรักษาพระบัญญัติไว้"…. คนหนุ่มนั้นทูลพระองค์ว่า "ข้อเหล่านั้นข้าพเจ้าได้ถือรักษาไว้ทุกประการ ข้าพเจ้ายังขาดอะไรอีกบ้าง", พระเยซูตรัสแก่เขาว่า "ถ้าท่านปรารถนาเป็นผู้ที่ทำจนครบถ้วน จงไปขายบรรดาสิ่งของซึ่งท่านมีอยู่แจกจ่ายให้คนอนาถา แล้วท่านจะมีทรัพย์สมบัติในสวรรค์ แล้วจงตามเรามาและเป็นสาวกของเรา" เมื่อคนหนุ่มได้ยินถ้อยคำนั้นก็ออกไปเป็นทุกข์ เพราะเขามีทรัพย์สิ่งของเป็นอันมาก……มธ.19:16,17,20,21)

ชายผู้นี้มีคุณสมบัติที่สามารถปฏิบัติตามบัญญัติสิบประการได้หมด แต่พอพระองค์เพิ่มอีกข้อให้เค้าปฏิบัติด้วยการจำหน่ายสิ่งของเพื่อมาแจกจ่ายให้คนขัดสนยากไร้ เค้าก็จะทำได้จนครบถ้วน แต่เค้าก็ต้องเป็นทุกข์ผิดหวังที่กระทำตามไม่ได้ เพราะเสียดายทรัพย์สินสิ่งของอันมากมายที่ครอบครองอยู่ นี่ก็เปรียบเทียบให้เห็นว่า บุคคลใดก็ตามที่ให้ตัวเองนั้นมีวิญญาณที่หวงแหน วิญญาณที่เสียดาย วิญญาณแห่งความโลภ วิญญาณของคนเหล่านี้เป็นวิญญาณเศรษฐี ในสายพระเนตรพระเจ้า เพราะอะไรก็เป็นของตัวหมด หวงไว้ทรัพย์สมบัติของข้า เสียสละไม่ได้ ในลักษณะอย่างนี้ พระเยซูจึงตรัสว่า "…….. คนมั่งมีจะเข้าในแผ่นดินสวรรค์ก็ยาก, …… ตัวอูฐจะลอดรูเข็มก็ง่ายกว่าคนมั่งมีจะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้า" (มธ.19:23,24)

วิญญาณที่จนคือวิญญาณที่ยอมจำนนกับพระเจ้า วิญญาณเศรษฐีคือวิญญาณที่เย่อหยิ่งกับพระองค์ วิญญาณที่จะเข้าหาพระเจ้าต้องสำแดงคุณสมบัติของผู้ยากจนก่อน ถึงจะเข้าไปพึ่งเข้าไปหาพระเจ้า คนที่เป็นเศรษฐีจะไม่พึ่งพระเจ้า แต่พระเจ้าจะประทานขั้นตอนให้ผู้ใดมั่งมีในฝ่ายวิญญาณจำเพาะพระพักตร์ นั่นคือพระเจ้ามองเห็นว่า ผู้นั้นสำแดงกับพระเจ้าก่อนว่าเค้ายากจน เริ่มต้นจิตวิญญาณที่ยากจน (บุคคลผู้ใด รู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา…มธ.5:3) คือถ่อมกายถ่อมใจปรารถนาเข้าพักพิงพึ่งพาอาศัยพระคุณพระเจ้า สำแดงจิตวิญญาณที่เสียสละ มิใช่มีท่าทีในฝ่ายวิญญาณที่เย่อหยิ่งแบบเศรษฐี อะไรก็ไม่จำนน ไม่เสียสละ จิตใจแหนหวงทรัพย์สมบัติไปหมด คนประเภทนี้ก็เข้าแผ่นดินสวรรค์ได้ยากกว่าที่ตัวอูฐจะลอดรูเข็ม ดังนั้นวิญญาณที่ยากจนนั้น จะขวนขวายกระหายหาต้องการพระเจ้าด้วยการยืนอยู่บนการเสียสละ และการที่จะละทิ้งบางสิ่งบางอย่างซึ่งไม่เป็นที่พอพระทัยพระเจ้าออกไปให้ได้ พระองค์บอกว่า เค้าจะค้นพบ ต้องขายสรรพสิ่งทั้งปวง แล้วถึงจะซื้อมาได้ คือต้องออกแรงในการที่จะซื้อมา แผ่นดินสวรรค์มิใช่หากันได้อยากเยือกๆ เย็นๆ อุ่นๆ แต่พระเจ้าบอกต้องร้อนรน จะได้อะไรจากพระเจ้าต้องออกแรงฝ่ายวิญญาณ ค้นหาด้วยท่าทีที่สำแดงออกมาอย่างชัดเจน ถึงจะสมบูรณ์

เพราะฉะนั้น บรรดาบุคคลที่มีอาณาจักรของพระเจ้าอยู่ภายในตัวเองและดำรงอยู่ในอาณาจักรพระเจ้า ก็ต้องมีพฤติกรรมมีคุณสมบัติในชีวิตที่ค้นหาเสาะหาพระเจ้าตลอดเวลา คือยอมรับรู้ว่าตัวเองขาดแคลน รู้สึกวิญญาณตนเองบกพร่องขาดสันติสุข

("บุคคลผู้ใด รู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา …มธ.5:3) และในเวลาเดียวกันก็พร้อมที่จะยอมสละทุกสิ่งที่มันถ่วงหนักอยู่ นั้น เป็นเหมือนการขายทุกสิ่งออกจากตัวเพื่อมาซื้อสิ่งประเสริฐจากพระเจ้า เราไม่ได้เอาเงินเอาทองมาซื้อพระเจ้า หรือไปซื้อสิ่งดีจากพระเจ้า แต่เราเอาคุณสมบัติในชีวิตที่กล้าได้กล้าเสียกับพระเจ้านั่นแหละ เป็นตัวบอกเหตุกับพระเจ้าว่า บัดนี้เราได้จ่ายราคาแล้ว ได้ลงทุนแล้วกับพระองค์ ได้ใช้หนี้คืนพระองค์ เพื่อให้เรามีชีวิตที่เติมเต็มอยู่ในสภาพที่พระเจ้าต้องการให้เราเป็นพลเมืองของพระองค์ที่ได้ดำรงอยู่ในอาณาจักรพระเจ้านั่นเอง

[ยังเปรียบรวมถึงบุคคลทั้งหลายทั้งปวงที่ยังไม่รู้จักพระผู้ช่วยให้รอดและมีวิญญาณยากจนค่นแค้น ปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะได้มาใกล้ชิดพระเจ้า อยากพบพระองค์กว่าสิ่งอื่นใด อยากมีพระองค์ อยากได้พระองค์ เหมือนคนที่ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร แก้ไขอย่างไร เหมือนกับรู้สำนึกภายในจิตใจลึกๆ ว่าตนเองนั้นขัดสนอะไรอยู่ก็ไม่รู้ ที่ไม่ใช่วัตถุในโลก ปรารถนาอย่างรุนแรงข้างในจิตใจที่จะพบบางสิ่งบางอย่างที่ขาดหายไป และตระหนักว่าสิ่งนั้นต้องจำเป็นสำหรับชีวิตที่แท้จริงและขาดไปไม่ได้เลย จึงตะเกียกตะกายไขว่คว้าเพื่อให้ได้พบให้ได้มาอย่างสุดใจขาดดิ้น เพื่อจะช่วยให้รอดได้หลุดพ้นได้จากบางสิ่งบางอย่างที่มันกดทับถ่วงหนักอยู่ จึงเต็มใจเต็มวิญญาณที่จะแลกเอาสิ่งล้ำค่านี้มาเป็นของตน จึงยอมถ่อมลงและมองข้ามทรัพย์สิ่งของที่ประจักษ์กับตา ไม่เห็นว่าวัตถุเหล่านั้นมีคุณค่าที่จะช่วยได้ ปลดปล่อยได้ เพราะสิ่งเหล่านั้นที่เค้ามีอยู่ ครอบครองเป็นเจ้าของอยู่หาได้ทำให้เค้ามีสันติสุข มีความชื่นชมยินดีที่แท้จริงไม่ เค้าจึงยอมรับว่าวิญญาณของเค้าขาดแคลนขัดสนในสิ่งที่เค้าไม่มีและไม่สามารถค้นหามาเองได้ ไม่มีใครช่วยได้ ไม่มีใครเข้าใจได้ จึงหิวกระหายโหยหาพระเจ้าเหมือนคนที่ร่างกายขาดน้ำอย่างรุนแรง เหมือนคนจะจมน้ำขาดอากาศหายใจ วิญญาณเหมือนถูกทรมานและอยากหลุดพ้น ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งของมีค่าใดๆ ของโลก รู้สึกสำนึกผิดอยากหันกลับจากทิศทางที่ต้องเป็นอยู่นั้น หัวใจร้องไห้คร่ำครวญอย่างแปลกประหลาด พระเจ้ามีจริงหรือ พระองค์เป็นใคร พระเจ้าคืออะไร อะไรเป็นพระเจ้า และเพราะพระเจ้ามีอยู่จริงทรงทอดพระเนตรเห็นวิญญาณจิตของบรรดาบุคคลเหล่านี้กำลังเปิดใจ กำลังแสวงหาอยากรู้จักพระองค์ แน่นอนพระเจ้าไม่นิ่งเฉยดูดายอยู่ดอก วิธีการของพระองค์มีหลากหลายที่จะนำเค้าเหล่านี้ผู้มีวิญญาณเหมือนคนอนาถา ได้มาพบได้มาสัมผัสได้มารับรู้ได้มาเข้าใจพระเจ้าเที่ยงแท้ผู้ทรงพระชนม์อยู่ ในเวลาที่เหมาะสม ที่ทรงกำหนดไว้อย่างไม่ต้องสงสัย ส่วนวิญญาณเศรษฐีก็ยังหลงใหลได้ปลื้มจดจ่อผูกพันอยากได้ใคร่มีกับสิ่งของอนิจจังอยู่ ยังเห็นการกินลมกินแล้งเป็นสิ่งที่มีคุณค่า เค้าไม่กระหายหาของที่จีรังยั่งยืน ไม่จำเป็นต้องพึ่งพระเจ้า เย่อหยิ่งอยู่กับยศฐาบรรดาศักดิ์ ตำแหน่งหน้าที่ที่มนุษย์ทั้งหลายยกย่องหัวโขนให้เกียรตินับถือมีหน้ามีตา จอมปลอมหลอกลวงอย่างโง่เขลาเบาปัญญาและไม่หยั่งรู้ไม่รับรู้ถึงสิ่งที่ควรค่าแก่การนับถือ สิ่งบริสุทธิ์สิ่งที่ทรงคุณอย่างแท้จริง ยังดำเนินเดินอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยอันตราย เสี่ยงภัยเสี่ยงตายไร้แก่นสาร ไร้หลักฐานแห่งความจริงใดๆ ในชีวิต โถ น่าสงสาร เพราะความบาปจึงถูกหลอก ถูกปิดตาบังใจ]

ขั้นตอนที่ห้า ไข่มุกที่มีราคามาก

จะเห็นว่า ตลอดเวลาคุณสมบัติของบุคคลเหล่านี้เมื่อเค้าเติบโตทั้งความเชื่อ การเติบโตทั้งการดำเนินชีวิต อย่างที่บอกเกี่ยวกับเชื้อขนม ที่มีความสมบูรณ์แบบในรูปแบบของบุคคลที่ชัดเจนว่า เหมือนพระเจ้าและในเวลาเดียวกัน เค้าก็ต้องเป็นบุคคลที่ต้องสำรวจ อย่างที่อุปมาเรื่องข้าวละมาน ต้องสำรวจตัวเองเสมอว่า จะถูกแทรกด้วยรูปแบบของสิ่งในโลกนี้ หรือตัวตนเก่าๆ ของเค้า หรืออะไรบางอย่างที่มันแทรกเข้ามา ที่ไม่ใช่ข้าวพันธุ์ที่พระเจ้าพอพระทัย ที่ไม่ใช่เป็นข้าวสาลี กระบวนการเหล่านี้ เมื่อบุคคลเหล่านี้เป็นเช่นนี้แล้ว เค้าต้องเป็นบุคคลที่กระตือรือร้นร้อนรนในเรื่องของพระวิญญาณ ในเรื่องของประทาน ขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ ไม่มีผู้ใดมาเอาเองได้ ถ้าพระเจ้าไม่ประทานให้โดยชอบพระทัยของพระองค์ ดังนั้นเราต้องร้อนรนไขว่คว้าแสวงหา ท่าทีเหล่านี้ต้องอยู่ในชีวิตของผู้ที่เชื่อ ที่มีคุณสมบัติแต่ละขั้นตอน ต้องแสวงหาปรารถนาไข่มุกของประทาน ไข่มุกที่มีราคาแพงคือเจาะจงหาตัวเองในการทรงเลือก

"อีกประการหนึ่ง แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนพ่อค้าที่ไปหาไข่มุกอย่างดี, และเมื่อได้พบไข่มุกเม็ดหนึ่งมีค่ามาก ก็ไปขายสิ่งสารพัดซึ่งเขามีอยู่ ไปซื้อไข่มุกนั้น….. มธ.13:45-46

นั่นก็คือ เมื่อเค้าค้นหาเฉพาะเจาะจง หาไข่มุกก็ได้ไข่มุก แต่ก่อนหน้านี้ กล่าวถึงขุมทรัพย์ที่ซ่อนไว้ในทุ่งนา เมื่อผู้ใดพบแล้วก็กลับซ่อนซะอีก เหมือนเมื่อมาพบพระเจ้าแล้ว ได้พบขุมทรัพย์แล้ว และสิ่งนั้นก็ถูกซ่อนซะอีก เพราะเรายังไม่เข้าใจ ยังไม่รู้ว่าความบริบูรณ์ในการเชื่อพระเยซูเป็นยังไง ดังนั้น เราจึงต้องแสดงออก ด้วยการเหมือนกับว่า ขายทุกสิ่งของเราให้ได้ แล้วติดตามพระองค์ใกล้ชิดที่สุด ก็เหมือนเช่นเราทั้งหลายขายทุกสิ่งเพื่อมาซื้อความเข้าใจทั้งหลายในเรื่องของพระเจ้า การแสดงออกทั้งพฤติกรรมของเราจากจิตใจภายในของเรา จะทำให้เราเฟื่องฟูความเข้าใจมากขึ้นในเรื่องของชีวิตเรากับพระเจ้า และเมื่อเรามีความเข้าใจพระองค์ลึกซึ้งมากขึ้น ท่าทีนี้เราก็เป็นสาวกแล้ว คุณสมบัติอีกมากมายที่พระเจ้าจะให้เราเฉพาะเจาะจงในของประทาน ไข่มุกเป็นสิ่งที่อยู่ในสวรรค์ ประตูสวรรค์ของพระเจ้าเป็นไข่มุก ทั้งสิบสองประตู ประตูละหนึ่งเม็ด (ประตูทั้งสิบสองประตูนั้นทำด้วยไข่มุกสิบสองเม็ด ประตูละเม็ด….วว.21:21) เป็นกระบวนการความหมายที่บ่งบอกถึงสื่อบางอย่างให้เรารู้ว่า เป็นความชัดเจนที่สูงสุด เป็นสิ่งที่เราต้องการ สิ่งที่มาจากเบื้องบนจริงๆ แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนพ่อค้าที่ไปหาไข่มุกอย่างดี เราเป็นพ่อค้า เราทำหน้าที่ซื้อกับขาย ดังนั้นเราต้องซื้อสิ่งที่มีค่าจากพระเจ้า ด้วยการขาย ขายตัวตนของเรา เพื่อจะให้ได้สิ่งประเสริฐจากพระเจ้า เพื่อให้สมบูรณ์แบบกับการที่เราจะได้จากสิ่งที่มาจากเบื้องบน

เพราะฉะนั้น เค้าได้พบไข่มุกเม็ดหนึ่งที่มีค่ามาก จึงไปขายทุกสิ่งสารพัดที่เค้าเพื่อมาแลกกับไข่มุกเม็ดนั้น บุคคลที่อยู่ในการดำเนินชีวิตกับพระวิญญาณ มีของประทานโดยการจุดประกายจากพระเจ้า บุคคลเหล่านี้จะต้องเป็นบุคคลที่เสียสละสูงมาก เราจะเอาสิ่งเหล่านี้มาเป็นประโยชน์ในชีวิตเรานั้นไม่ได้เลย ถ้าพระเจ้าประสงค์ให้ในบางครั้งบางคราว ในสิ่งดีสิ่งประเสริฐ ก็โมทนาพระคุณพระเจ้า แต่เราจะกำหนดเป็นมาตรฐานเป็นกฎเกณฑ์ในชีวิตเราไม่ได้เลยว่า เราได้สิ่งเหล่านี้เพื่อประโยชน์ของเรา เพื่อเกียรติยศ เพื่อชื่อเสียงของเรา เพื่อคนที่จะยกยอเรา จะใช้ตรงนั้นไม่ได้เลย แต่เราจะต้องแสดงออกตลอดเวลาว่า ให้เรานั้นฉลาดที่สุด ขายสิ่งสารพัดที่มีอยู่ทั้งหมด มิใช่สิ่งเดียวแต่ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตตัวตนของเค้า ทุกๆ ส่วนแห่งชีวิตของเค้า ต้องยอมที่จะสละ ยอมสละความสุขส่วนตัว ยอมสละเวลาส่วนตัว ยอมสละทุกอย่างเพื่อให้สิ่งมีค่าเหล่านี้ (ที่จริงข้าพเจ้าถือว่าสิ่งสารพัดไร้ประโยชน์ เพราะเห็นแก่ความประเสริฐแห่งความรู้ถึงพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า เพราะเหตุพระองค์ ข้าพเจ้าจึงได้ยอมสละสิ่งสารพัด และถือว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเหมือนหยากเยื่อเพื่อข้าพเจ้าจะได้พระคริสต์…..ฟป.3:8) สำแดงความประเสริฐออกมาให้คนทั้งหลายได้แลเห็น เพราะนี่เป็นสิ่งที่มาจากเบื้องบน ไข่มุกเป็นสัญลักษณ์และเป็นตัวแทนของสิ่งที่อยู่ในสวรรค์ที่ชัดเจนที่สุด แล้วมีค่ามาก นี่คือกระบวนการที่เราเคลื่อนไหวชีวิตในลักษณะอาณาจักรแท้จริง และมีอาณาจักรที่แท้จริงของพระเจ้าอยู่ข้างในตัวตน เมื่อสภาพชีวิตของเราสมบูรณ์เช่นนั้นแล้ว

ขั้นตอนที่หก อวนที่ติดปลา

"อีกประการหนึ่ง แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนอวนที่ลากอยู่ในทะเล ติดปลารวมทุกชนิด เมื่อเต็มแล้วเขาก็ลากขึ้นฝั่ง นั่งเลือกเอาแต่ที่ดีใส่ตะกร้า แต่ที่ไม่ดีนั้นก็ทิ้งเสีย ในเวลาสิ้นยุคก็จะเป็นอย่างนั้น พวกทูตสวรรค์จะออกมาแยกคนชั่วออกจากคนชอบธรรม

แล้วจะทิ้งลงในเตาไฟอันลุกโพลง ที่นั่นจะมีการร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน…..มธ13:47-50

เมื่อมีของประทานสมบูรณ์แบบแล้ว จงอย่าเย่อหยิ่งผยอง ยังมีเรื่องของอวนเข้ามา เริ่มต้นในการเป็นผู้เชื่อมีข้าวละมานข้าวสาลี ให้เราสำรวจ (ทุกคนมีของประทาน เราจะปฏิเสธไม่ได้ว่าไม่มี (……..แต่ทุกคนก็ได้รับของประทานจากพระเจ้าเหมาะกับตัว คนหนึ่งได้รับอย่างนี้ และอีกคนหนึ่งได้รับอย่างนั้น….1คร.17:7) แต่บางครั้งได้ใช้ของประทานไปโดยไม่รู้ตัว บางคนไม่รู้ว่าตัวเองมีของประทาน แต่ทุกคนมีของประทานทั้งนั้น พระเจ้าหยิบสิ่งเหล่านี้ใส่ให้ ไม่มีอะไรที่เรามีความสามารถทำได้เอง ด้วยตัวของเราเอง ทุกอย่างที่เราได้ทำได้ ออกมาสำแดงความดีให้กับใครหรือเป็นที่ถวายเกียรติพระเจ้า นั่นเป็นงานของพระวิญญาณที่จะทำอยู่ในตัวเรา)

เพราะฉะนั้น ท่าทีของบุคคลที่สมบูรณ์แล้วว่า มีความชัดเจน มีความเข้าใจในความล้ำลึกของพระเจ้า ที่เป็นเหมือนขุมทรัพย์ที่ซ่อนไว้แล้วก็กลับไปขาย แล้วก็มีความเข้าใจแล้ว รู้เรื่องราวเกี่ยวข้องกับของพระวิญญาณ รู้ถึงฤทธิ์อำนาจความสูงส่งของสิ่งที่มาจากเบื้องบน หรือของประทานของพระเจ้า คนเหล่านี้จะเย่อหยิ่งลำพองไม่ได้ ต้องรู้จักที่จะสำรวจตนเองเหมือนกัน บัดนี้นั้น ชีวิตเก่าของเรามันยังคาราคาซังอยู่ในเรา เหมือนอวนที่ติดปลามาหลายชนิดรึเปล่า ต้องคัดต้องแยก แยกเอาสิ่งที่ดีที่สุดออกมาเป็นของพระเจ้า ต้องคัดเอาส่วนไม่ดีส่วนเสียของเราออกไป ต้องยอมที่จะให้สิ่งเหล่านี้ถูกเผาผลาญไปจากตัวเรา บางทีเราอาจจะเจ็บปวด บางครั้งเกิดการเผาผลาญขึ้นก็ร้อนรุ่มกลุ้มใจ บางสิ่งในตัวเราพอเค้าจะให้เราทำบางอย่างมันฝืนกับใจเรา ใจเราก็ไม่เป็นสุข แต่อย่าไปมองว่าใจไม่เป็นสุขไม่อยากทำคงไม่ใช่มาจากพระเจ้ามั้ง ขอให้เรารู้ว่าเมื่อเรายอมคัดตัดสินใจแยกแยะฉีกเนื้อหนังที่ฝืนใจนั้นออก เปรียบเหมือนเราก็ได้ตรึงเนื้อหนังตายต่อตัวเองแล้ว เพื่อจะให้เรามีสภาพเป็นปลาที่ดีอยู่ในตะกร้าของพระเจ้า บุคคลที่มีคุณสมบัติครบถ้วนทั้งชีวิตที่ดำรงอยู่ในพระเจ้า เริ่มต้นในความเชื่อ แล้วก็เติบโตขึ้นในความเชื่อ แล้วชีวิตก็ดำเนินอย่างสมบูรณ์แบบกับพระจ้า เต็มเปี่ยมไปด้วยความเข้าใจในเรื่องความล้ำลึกของพระเจ้า เข้าถึงซึ่งของประทานที่พระวิญญาณประทานให้จากเบื้องบน ก็ยังต้องสำรวจตรวจดูชีวิต เหมือนกับอวนที่ได้ปลามาหลากชนิดต้องแยกต้องคัดสภาพตนเองสมอ ไม่ใช่ได้ครบถ้วนสมบูรณ์แบบถึงขั้นนี้แล้ว จะแน่ใจได้ว่าดีครบแล้ว เลิศเลอเพอเฟคแล้ว ไม่ต้องตรวจเช็คอะไรแล้ว นั่นเป็นความประมาทเลินเล่อเผลอไผในฝ่ายวิญญาณ (ในความคิดของผู้ที่อยู่อย่างสบายมีความประมาทต่อการเคราะห์ร้าย ซึ่งมีพร้อมอยู่สำหรับบรรดาผู้ที่เท้าพลาด….โยบ.12:5) และพระเจ้ามีพระประสงค์ให้เราใคร่ครวญตรวจสอบแยกแยะคัดเลือกสภาพชีวิต ทุกขณะทุกขั้นตอนในการดำเนินอย่างรอบคอบ

ขั้นตอนที่เจ็ด ทรัพย์เก่าและทรัพย์ใหม่

ความสมบูรณ์ในตัวตนของบุคคลที่เป็นผู้เชื่อหรือเป็นคนที่มีชีวิตที่ดำเนินตามพระลักษณะของพระเจ้า รับและรู้เรื่องราวความล้ำลึก รับสติปัญญาของพระเจ้ามีความเข้าใจ รู้จักพระองค์ชัดเจนขึ้นและมีของประทานจากพระวิญญาณ จะพิจารณาในขั้นตอนเหล่านี้

"ข้อความเหล่านี้ท่านทั้งหลายเข้าใจแล้วหรือ" เขาทูลตอบพระองค์ว่า "เข้าใจพระเจ้าข้า"

ฝ่ายพระองค์ตรัสกับเขาว่า "เพราะฉะนั้นพวกธรรมาจารย์ทุกคน ที่ได้เรียนรู้ถึงแผ่นดินพระเจ้าแล้ว ก็เป็นเหมือนเจ้าของบ้านที่เอาทั้งของใหม่และของเก่าออกจากคลังของตน"…..มธ.13:51-52)

พวกธรรมาจารย์ นี้คือพวกที่เข้าใจเรื่องราวของพระเจ้า พวกที่รู้พระคัมภีร์ ผู้รับใช้ของพระเจ้า พูดง่ายๆ คือ สาวกของพระเจ้านั่นเอง พระองค์บอกว่า ที่ได้เรียนรู้ถึงแผ่นดินพระเจ้าแล้ว ก็เป็นเหมือนเจ้าของบ้านที่ต้องเอาทั้งของใหม่และของเก่าออกจากคลังของตน ของเก่าก็คือสิ่งเก่าๆ ของเรา ตัวตนของเรา นิสัยเดิมๆ ของเรา รูปแบบของเราที่พระเจ้าไม่ต้องการเอาออกไปจากตัวเรา และในเวลาเดียวกัน ก็เอาของใหม่ออกจากคลังของเราด้วย ของใหม่คือสิ่งดีที่พระเจ้าสอนเราให้เราเป็นให้เราคิดให้เราระลึก เอาสิ่งเหล่านั้นออกมาปฏิบัติภายนอกด้วย ให้แลเห็นเป็นที่ประจักษ์ ถ้าเราบอกว่า เรามีความเชื่อแล้ว แต่ไม่มีกระบวนการของผลที่จะสำแดงเลย อะไรก็ได้เรียนรู้หมดแล้วจนถึงขั้นเป็นเหมือนธรรมาจารย์แล้ว เรียนรู้ความเข้าใจในเรื่องราวของพระเจ้า ทุกอย่างเป็นขั้นๆ ตอนๆ ที่บอกมาตั้งแต่ต้น จนชีวิตดูเหมือนสมบูรณ์แล้ว เราก็ต้องเป็นบุคคลที่มีพฤติกรรมที่เอาออกมาให้ได้ทั้งของเก่าและของใหม่ ของเก่าก็ต้องเอาออกมา ของใหม่ก็ต้องเอาออกมา (……และเจ้าจะต้องเอาของเก่าออกไปเพื่อเอาที่มาเก็บของใหม่…..ลนต.26:10) สำแดงให้แลเห็นในการประพฤติด้วย ให้ภายนอกได้แลเห็นให้สังคมได้แลเห็น ให้มนุษย์ได้เห็นว่า บุคคลผู้นี้เป็นบุคคลที่มีพระเจ้าจริง สำแดงพระเจ้า คือของใหม่ สิ่งใหม่ในตัวเรา ก็คือพระเจ้าสำแดงออกมาให้คนทั้งหลายได้แลเห็น นี่คือความสมบูรณ์ของชีวิตบุคคลที่เข้าถึงการเป็นสาวกของพระเจ้า หรืออาณาจักรของพระเจ้าอยู่ในตัวเค้าและเค้าก็อยู่ในอาณาจักรของพระเจ้า อย่างสมบูรณ์แบบและผลต่างๆ ก็จะเกิดขึ้นกับชีวิตของเค้าในแต่ละขั้นแต่ละข้อนั้น นี่คือสิ่งที่เราเอามาเปรียบเทียบกับชีวิตจริงของเราได้ แล้วทุกอย่างจะแลเห็นถึงการนำพาให้เราได้ซาบซึ้งใน พระคุณพระเจ้าตลอดเวลา ดังนั้นแยกแยะชีวิตของเราได้ชัดเจนว่า ความสมบูรณ์ของเราเข้ามาถึงการเจาะจงในชีวิตได้แล้วชัดเจนหรือไม่ อย่างข้อสุดท้ายว่าทรัพย์เก่าและทรัพย์ใหม่ถูกใช้ออกมาจากชีวิตของเราอย่างครบถ้วน และนั่นก็คือการประกาศพระเจ้านั่นเอง และเราก็เป็นบุคคลที่ฉายแสงส่องสว่าง แทนดวงอาทิตย์ได้ อยู่ในแผ่นดินของพระเจ้า

ทรัพย์เก่าทรัพย์ใหม่ออกจากคลัง ขั้นตอนของเราเข้าถึงระดับธรรมาจารย์การเป็นสาวก หรืออาณาจักรของพระเจ้าอยู่ภายเราอย่างแท้จริงและเราก็อยู่ในอาณาจักรที่แท้จริง ถึงแม้จะเป็นภาพไม่ปรากฏ แต่เราก็สำรวจได้จากคุณสมบัติเหล่านี้ และเราก็จะได้รู้ว่า เราได้อยู่ตรงนี้ เวลานี้ยุคเข็ญของเราหมดได้ผ่านพ้นไปแล้ว เพราะสภาพที่เรามีเราเป็นเราสอดคล้อง เราเข้าถึงลักษณะของบุคคลที่เป็นพลเมืองของแผ่นดินสวรรค์ เราตรวจสอบได้และจะทำให้เราเกิดสันติสุขได้อย่างมากมาย ในรูปแบบเหล่านี้ตามขั้นตอนดังกล่าว

วันศุกร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2551

พระกรุณาของพระเจ้า


“ที่นั่งพระกรุณา”

หีบพระบัญญัติ หีบแห่งพันธสัญญา

พันธสัญญาระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ พระเจ้าทรงทำสัญญาด้วยพระมหากรุณาธิคุณ พันธสัญญาต่างๆที่พระเจ้าทรงกระทำในสมัยพระคัมภีร์เดิมนั้น เป็นการเตรียมทางไว้สำหรับพันธสัญญาใหม่ที่เยเรมีย์พยากรณ์ไว้ใน (ยรม.31:31-41)
31 "พระเจ้าตรัสว่า ดูเถิด วันเวลาจะมาถึง ซึ่งเราจะทำพันธสัญญา ใหม่กับประชาอิสราเอลและประชายูดาห์

32 ไม่เหมือนกับพันธสัญญาซึ่งเราได้กระทำกับ บรรพบุรุษของเขาทั้งหลาย เมื่อเราจูงมือเขาเพื่อนำเขาออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ เป็นพันธสัญญาของเราซึ่งเขาผิด ถึงแม้ว่าเราได้เป็นสามีของเขา พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ

33 แต่นี่จะเป็นพันธสัญญาซึ่งเราจะกระทำกับ ประชาอิสราเอลภายหลังสมัยนั้น พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ เราจะบรรจุพระธรรมไว้ในเขาทั้งหลาย และเราจะจารึกมันไว้บนดวงใจของเขาทั้งหลาย และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นประชากรของเรา

34 และทุกคนจะไม่สอนเพื่อนบ้านของตน และพี่น้องของตนแต่ละคนอีกว่า 'จงรู้จักพระเจ้า' เพราะเขาทั้งหลายจะรู้จักเราหมดตั้งแต่คน เล็กน้อยที่สุดถึงคนใหญ่โตที่สุด พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ เพราะเราจะให้อภัยบาปชั่วของเขา และจะไม่จดจำบาปของเขา ทั้งหลายอีกต่อไป"

ซิ่งสำเร็จในองค์พระเยซูคริสต์ (มธ.26:28)
28 ด้วยว่านี่เป็นโลหิตของเรา อันเป็นโลหิตแห่งพันธสัญญา ซึ่งต้องหลั่งออกเพื่อยกบาปโทษคนเป็นอันมาก

และ(ฮบ.8:1-13)
8 ด้วยว่าพระเจ้าตรัสติเขาว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ดูเถิด วันหนึ่งข้างหน้าเราจะทำพันธสัญญาใหม่กับชนชาติอิสราเอล และชาติยูดาห์

9 เป็นพันธสัญญาที่ไม่เหมือนกับพันธสัญญา ซึ่งเราได้กระทำกับบรรพบุรุษของเขาทั้งหลายในเมื่อเราจูงมือเขา เพื่อพาเขาออกจากแผ่นดินอียิปต์ เขาเหล่านั้นไม่ได้มั่นอยู่ในพันธสัญญาของเราอีกต่อไปแล้ว เราจึงได้ละเขาไว้ องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้แหละ

10 นี่คือพันธสัญญาซึ่งเราจะกระทำกับชนชาติอิสราเอล ภายหลังสมัยนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส เราจะบรรจุพระธรรมของเราไว้ในจิตใจของเขา และเราจะจารึกพระธรรมบัญญัตินั้นไว้ที่ในดวงใจของเขา และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นชนชาติของเรา

11 และเขาจะไม่สอนเพื่อนบ้านและพี่น้องของตนแต่ละคนว่า 'จงรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้า' เพราะเขาทุกคนจะรู้จักเรา ตั้งแต่คนต่ำต้อยที่สุดจนถึงคนใหญ่โตที่สุด

12 เพราะเราจะกรุณาต่อการอธรรมของเขา และจะไม่จดจำบาปของเขาไว้เลย"

13 เมื่อพระองค์ตรัสถึง พันธสัญญาใหม่ พระองค์ทรงถือว่าพันธสัญญาเดิมนั้นพ้นสมัยไปแล้ว สิ่งที่พ้นสมัยและเก่าไปแล้วนั้นก็จะเสื่อมสูญไป

คือมนุษย์จะได้รับการชำระบาปโดยพระโลหิตของพระองค์ เพื่อเขาจะเริ่มชีวิตใหม่ที่บริสุทธิ์ตามพันธสัญญา พันธสัญญาใหม่นี้เป็นพันธสัญญานิรันดร์ที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ซึ่งพระเจ้าทรงสถาปนาขึ้นโดยทางพระเยซูผู้เป็นคนกลางระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ (ฮบ.9:15)
15 เพราะเหตุนี้ พระองค์จึงทรงเป็นผู้กลางแห่งพันธสัญญาใหม่ เพื่อให้คนทั้งหลายที่พระองค์ทรงเรียกมา ได้รับมรดกนิรันดร์ตามพระสัญญา เพราะการพลีชีวิตนั้นไถ่คนให้พ้นจากบาปอันเกิดใต้ พันธสัญญาเดิมแล้ว

หีบพันธสัญญาเป็นเครื่องหมายแห่ง ความรัก หรือ พระพร ของพระเจ้าที่มอบให้สำหรับประชากรของพระองค์

พระบัญญัติ(ในพระคัมภีร์เดิม) เป็นมาตรฐานทางศีลธรรมที่พระเจ้าทรงให้ชนชาติอิสราเอล แบ่งออกเป็นกฎหมายเกี่ยวกับสังคมและกฎหมายเกี่ยวกับพิธีกรรมทางศาสนา พระเจ้าประทานธรรมบัญญัตินี้เพื่อให้พวกเขาดำเนินชีวิตตามมาตรฐานอันบริสุทธิ์ของพระเจ้า(อพย.19:4-6)
4 พวกเจ้าได้เห็นกิจการซึ่งเรากระทำกับชาวอียิปต์แล้ว และที่เราเทิดชูเจ้าขึ้น ดุจดังด้วยปีกนกอินทรี เพื่อนำเจ้ามาถึงเรา

5 เหตุฉะนี้ถ้าเจ้าฟังเสียงเรา และรักษาพันธสัญญาของเราไว้ เจ้าจะเป็นกรรมสิทธิ์ของเราที่เราเลือกสรรจากท่ามกลาง ชนชาติทั้งปวง เพราะแผ่นดินทั้งสิ้นเป็นของเรา

6 เจ้าทั้งหลายจะเป็นอาณาจักรปุโรหิต และเป็นชนชาติบริสุทธิ์สำหรับเรา นี่เป็นถ้อยคำที่เจ้าต้องบอกให้คนอิสราเอลฟัง"

"พระบัญญัติของพระเจ้า คือ ความรักของพระเจ้าที่มีต่อประชากรของพระองค์"


สำหรับชีวิตของผู้ที่ติดตามพระเยซูต้องถือบัญญัติของพระเจ้าเสมอ นั่นคือ ชีวิตคริสเตียนต้องยึดถือความรักของพระเจ้าที่ปรากฎอยู่ในพระเยซูพระบุตรของพระเจ้าอยู่เสมอ

และพระบัญญัติข้อที่สำคัญที่สุดที่เป็นความรักของพระเจ้าที่ให้เรายึดถือนั้นมีเพียง 2 ข้อ ก็คือ 37 พระเยซูทรงตอบเขาว่า "จงรักพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของเจ้าด้วยสุดใจสุดจิตของเจ้า และด้วยสิ้นสุดความคิดของเจ้า

38 นั่นแหละเป็นพระบัญญัติข้อใหญ่ และข้อต้น

39 ข้อที่สองก็เหมือนกัน คือ จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง

40 ธรรมบัญญัติและคำของผู้เผยพระวจนะทั้งสิ้น ก็ขึ้นอยู่กับพระบัญญัติสองข้อนี้" มธ.22:37-40



และเหนือหีบพระบัญญัติต้องปกคลุมไว้ด้วย พระที่นั่งกรุณา

คงจะถึงเวลาที่จะต้องไตร่ตรองถึงพระกรุณาของพระเจ้าอย่างจริงจัง


กระโจมที่ประทับและเครื่องประดับ หีบพันธสัญญา (อพย 25:10-22)

10ท่านจะต้องสร้างหีบไม้กระถินเทศใบหนึ่ง ยาวสองศอกครึ่ง กว้างหนึ่งศอกครึ่ง และสูงหนึ่งศอกครึ่ง 11ท่านจะต้องบุภายในและหุ้มภายนอกด้วยทองคำบริสุทธิ์ และทำขอบทองคำไว้รอบหีบ 12ท่านจะต้องทำห่วงทองคำสี่ห่วงติดไว้ที่ขาหีบทั้งสี่ด้าน ด้านละสองห่วง 13ท่านจะต้องทำคานด้วยไม้กระถินเทศแล้วหุ้มทองคำ 14ท่านจะต้องสอดคานนี้ในห่วงที่อยู่ข้างหีบทั้งสองด้าน สำหรับหาม 15คานนั้นจะต้องทิ้งไว้ในห่วงของหีบ อย่าได้ถอดออกเลย 16ท่านจะต้องนำแผ่นศิลาจารึก สองแผ่นที่เราจะให้ท่านใส่ไว้ในหีบนั้น

17'ท่านจะต้องทำฝาหีบh (ที่นั่งพระกรุณา) ด้วยทองคำบริสุทธิ์ ยาวสองศอกครึ่ง กว้างหนึ่งศอกครึ่ง 18ท่านจะต้องใช้ฆ้อนเคาะทองคำให้เป็นรูปเครูบi สองตนตั้งไว้ที่ปลายฝาหีบทั้งสองด้าน 19ท่านจะต้องตีรูปเครูบตั้งไว้ที่ปลายสุดของหีบ ด้านละตน ให้ติดเป็นเนื้อเดียวกันกับฝาหีบทั้งสองด้าน 20เครูบนั้นจะกางปีกปกเหนือฝาหีบ และหันหน้าเข้าหากัน ต่างมองดูฝาหีบ 21ท่านจะต้องวางฝานี้ปิดหีบ ที่บรรจุแผ่นศิลาจารึกที่เราจะให้ท่าน 22เราจะมาพบท่านที่นั่น และจะพูดกับท่านจากฝาหีบที่บรรจุแผ่นศิลาจารึก ระหว่างเครูบทั้งสองตนที่อยู่บนหีบ เราจะให้คำสั่งแก่ท่านเพื่อประกาศให้ชาวอิสราเอลทราบ


ขอให้ดูตัวบทภาษาอังกฤษ ซึ่งตรงกับภาษาฮีบรูมากกว่า จะพบว่า คำว่า “ฝาหีบ” นี้ภาษาต้นฉบับใช้คำว่า “ที่นั่งพระกรุณา”
10 "They shall make an ark of acacia wood; two cubits and a half shall be its length, a cubit and a half its breadth, and a cubit and a half its height. 11 And you shall overlay it with pure gold, within and without shall you overlay it, and you shall make upon it a molding of gold round about. 12 And you shall cast four rings of gold for it and put them on its four feet, two rings on the one side of it, and two rings on the other side of it. 13 You shall make poles of acacia wood, and overlay them with gold. 14 And you shall put the poles into the rings on the sides of the ark, to carry the ark by them. 15 The poles shall remain in the rings of the ark; they shall not be taken from it. 16 And you shall put into the ark the testimony which I shall give you. 17 Then you shall make a mercy seat of pure gold; two cubits and a half shall be its length, and a cubit and a half its breadth. 18 And you shall make two cherubim of gold; of hammered work shall you make them, on the two ends of the mercy seat. 19 Make one cherub on the one end, and one cherub on the other end; of one piece with the mercy seat shall you make the cherubim on its two ends. 20 The cherubim shall spread out their wings above, overshadowing the mercy seat with their wings, their faces one to another; toward the mercy seat shall the faces of the cherubim be. 21 And you shall put the mercy seat on the top of the ark; and in the ark you shall put the testimony that I shall give you. 22 There I will meet with you, and from above the mercy seat, from between the two cherubim that are upon the ark of the testimony, I will speak with you of all that I will give you in commandment for the people of Israel.


สังเกต

ดูคำแปลฉบับภาษาอังกฤษ เพื่อเทียบให้เห็นความหมายของที่นั่งพระกรุณา ซึ่งในตัวบทภาษาไทยคำแปลดูเหมือนจะยังไม่ชัดเจน
คำว่า “the Mercy seat” ปรากฏ 7 ครั้งในตัวบทตั้งแต่ข้อที่ 17-22 เป็นที่น่าสังเกตว่าคำนี้คือแก่นของตัวบทในตอนนี้เมื่อกล่าวถึงพระกรุณาของพระเจ้า โดยเฉพาะต่อประชากรของพระองค์
ความหมายของคำว่า “ที่นั่งพระกรุณา” (ฝาหีบ) ในต้นฉบับภาษาฮีบรูมีความหมายสำคัญ หมายถึง การยกโทษ การให้อภัย

ประเด็นสำคัญ

ข้อ 10-15 สังเกตว่าไม้ที่ใช้ทำหีบพระบัญญัตินั้นเป็นชนิดเดียวกับไม้ที่ใช้ทำเต็นท์นัดพบและที่สำคัญคือต้องหุ้มด้วยทองคำ คำสั่งที่ละเอียดนี้เป็นการทำงานของผู้รับใช้ของพระเจ้า โดยให้ภาพที่บรรยายรายละเอียดตามแบบแผนการบันทึก
ทำไมคำสั่งของพระเจ้าเรื่องหีบพระบัญญัติจึงต้องให้รายละเอียด และต้องชัดเจนเช่นนี้?
เห็นได้ชัดเจนว่า สาระสำคัญทั้งหมดเน้นที่คำสั่งของพระยาห์เวห์ต่อประชากรของพระเจ้า เน้นที่ “การเชื่อฟัง” เป็นสำคัญ
หมายความว่า จำเป็นที่จะต้องทำตามที่พระเจ้า พระยาห์เวห์ทรงสั่งทุกประการ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องของการรักษา “พระบัญญัติ” หรือ “หีบพระบัญญัติ หรือหีบพันธสัญญา” หรือจะเรียกว่า “คลังแห่งพระพร”

หีบพระบัญญัติ
หีบพันธสัญญา “the Ark of the Covenant”
หีบหรือคลังแห่งพระพร

ห่วงสี่ห่วงที่เป็นทองคำและคานหามไม้หุ้มทองเพื่อชี้ให้เห็นว่า การแบกหีบพระบัญญัตินี้ต้องไม่ถูกสัมผัสด้วยมือของมนุษย์ ความประเสริฐ ความล้ำค่าแห่งพระบัญญัติ หรือพันธสัญญา หรือ พระพรของพระเจ้า ไม้ชั้นดี “กระถินเทศ” ที่ทำนั้นต้อง “หุ้มด้วยทองคำ” โดยเน้นว่านี่คือ “การประทับอยู่ของพระยาห์เวห์ ความล้ำเลิศแห่งพระบัญญัติ พันธสัญญาหรือพระพร” ชี้ให้เห็นถึงเรื่อง “ควาศักดิ์สิทธิ์”
“คานหาม” ต้องไม่ถอดจากห่วงทองคำ เป็นเครื่องหมายชี้ให้เห็นว่า จำเป็นต้องหามหีบนี้ตลอดเวลา หรือพร้อมเสมอที่จะต้องถือพระบัญญัติของพระเจ้าอย่างจริงจัง ในใจความที่ว่า “ไปไหนไปด้วย...”

ข้อสังเกตคือหลักการสำคัญที่ว่า พระบัญญัติของพระเจ้านั้น หมายถึง การประทับอยู่ของพระเจ้า และจำเป็นที่จะต้องเคียงคู่กับการเดินทางของประชากรเสมอ
กล่าวได้ว่า แม้อยู่ในเต็นท์นัดพบก็ตามคานหามนั้นต้องสอดอยู่เสมอ ต้องไม่เอาออก เพราะว่าจำเป็นที่จะต้องถือบัญญัติของพระเจ้าตลอดเวลา
พระบัญญัติและประชากรนั้น ขาดจากกันไม่ได้ กล่าวได้ว่า “ถ้าหากขาดพระบัญญัติ... ก็ขาดพันธสัญญา... ขาดพันสัญญา... ก็ขาดพระพรของพระเจ้า”

ข้อสังเกต “ความหมายของ ‘ความจำเป็น’ ที่จะต้องสอดคานหามนี้ไว้ตลอดเวลา”

ข้อ 17-22 เรื่องสำคัญมากคือ “ที่นั่งพระกรุณา” Seat of Mercy (ฝาหีบ) ฝาหีบมีขนาดตามคำสั่งเท่ากับตัวหีบพันธสัญญา พระเจ้าสั่งให้ทำฝาหีบหรือที่นั่งพระกรุณาอย่างชัดเจน โดยมีคความหมายสำคัญคือ ณ ฝาหีบนี้เป็นที่ประกาศถึงพระกรุณาของพระเจ้า โดยอาศัยรูปเครูบทั้งสองบางคำแปลใช้คำว่า “ฝาหีบ” แต่ถ้าพิจารณาจะพบว่าต้นฉบับนั้นเน้นว่าเป็น “ที่นั่งพระกรุณา” (the Mercy seat) และข้อสังเกตที่สำคัญที่สุดคือ คำนี้ปรากฏ 7 ครั้งในตัวบทตอนนี้ ทำให้เห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่อย่างลึกซึ้งถึงเรื่อง“พระกรุณา” ของพระเจ้า

การมีหีบพระบัญญัติ การแบกพระบัญญัติ หรือการถือพันธสัญญา การเป็นคู่สัญญาของพระเจ้า ทั้งหมดนี้มีความหมายสำคัญที่สุด คือ
การถือไว้ตลอดเวลาซึ่ง “พระกรุณา” ของพระเจ้า

จะมีพระพรได้ จำเป็นต้องมีพันธสัญญา และพันธสัญญาจะครบครันได้ ต้องถือพันธสัญญา คือการถือพระบัญญัติ แต่เหนืออื่นใด คือ “พระกรุณาของพระเจ้า”

“เครูบ” ซึ่งเป็นเนื้อเดียวกับฝาหีบ เครูบนี้โดยปกติจะเกี่ยวข้องกับที่ประทับของพระยาห์เวห์ ในลักษณะที่เครูบเป็นผู้เฝ้ารักษาหรือผู้แบกรับพระบัลลังก์ของพระยาห์เวห์ เราจึงสังเกตเห็นว่า พระเจ้าตรัสกับโมเสสจากตรงกลางของเครูบทั้งสอง ประดุจตรัสจากพระที่นั่งของพระเจ้า

สังเกตว่าปีกของเครูบและดวงตาของเครูบนั้นอยู่ที่ใด?? “เครูบนั้นจะกางปีกปกเหนือฝาหีบ และหันหน้าเข้าหากัน ต่างมองดูฝาหีบ”
เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งยวด เพราะเราเห็นว่า เครูบทั้งสองหันหน้าเข้าหากัน และที่สำคัญ ปีกของทั้งสองป้องหน้าของตนโดยที่ตาของทั้งสองต่างมองดูที่นั่งพระกรุณา หรือมองดูที่ฝาหีบนี้
การกางปีกเหนือที่นั่งพระกรุณานี้ ทำให้เห็นว่า ความสนใจมุ่งจับจ้องอยู่ที่ที่นั่งพระกรุณาเท่านั้น หรือ มุ่งพิศเพ่งเฉพาะแต่ที่พระกรุณาของพระเจ้า หรือที่พระบัญญัติของพระเจ้าเท่านั้น

“พระบัญญัติ คือเครื่องมือประกาศพันธสัญญา และพระกรุณา”

ข้อ 21 ท่านจะต้องวางฝานี้ปิดหีบ ที่บรรจุแผ่นศิลาจารึกที่เราจะให้ท่าน ที่นั่งพระกรุณานั้นอยู่เหนือพระบัญญัติสิบประการที่พระเจ้าประทานให้ที่ซีนัย แม้บัญญัติสำคัญที่สุด แต่เหนือพระบัญญัตินั้น ปกคลุมด้วยที่นั่งพระกรุณาของพระเจ้า
หมายความว่า พระบัญญัติของพระเจ้าคือสิ่งที่ต้องเก็บรักษาอย่างยิ่งยวด เป็นศูนย์กลางของการเพ่งมอง ซึ่งหมายถึงการเป็นศูนย์กลางของชีวิตของประชากรของพระเจ้า
ข้อ 22 พระเจ้าพบกับประชากรของพระองค์ โดยตรัสจากที่นั่งพระกรุณา ดูเหมือนว่า “พระกรุณาของพระเจ้า” คือศูนย์กลางแห่งการประทับอยู่ของพระเจ้ากับประชากรของพระองค์
ดังนั้น ภาพของที่นั่งพระกรุณาและหีบพระบัญญัติคือ การประทับอยู่ของพระเจ้า

พระกรุณาของพระเจ้า
ที่พระเจ้าตรัสกับประชากรของพระองค์ หรือที่พระเจ้าจะประทานพระกรุณาต่อประชากรของพระองค์ จึงจำเป็นที่จะต้องเพ่งมองพระบัญญัติของพระเจ้าตลอดเวลา และหีบพระบัญญัตินี้คือเครื่องหมายแห่งการประทับและพระประสงค์ของพระเจ้า
สิ่งที่ต้องไตร่ตรอง คือ หีบพระบัญญัตินี้ ตั้งอยู่ที่ใจกลางของเต็นท์นัดพบ เราต้องไม่ลืมว่าในเต็นท์ที่พระเจ้าประทับในอดีตกาล หรือในหัวใจของพระวิหารของชาวอิสราเอล ณ วิสุทธิสถาน (Holy of Holies) ที่เขาเชื่อว่า เป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด เป็นที่ประทับอยู่ของ
พระเจ้า
ณ ที่นั่งพระกรุณา ระหว่างเครูบทั้งสอง ที่จ้องมองพระบัญญัตินั้น คือ ที่พิเศษแห่งการประทับอยู่ของพระเจ้า (par excellence of the Presence of Yahweh in the context of Israel’s worship) นี่คือ ศูนย์กลางแห่งการอธิษฐานและการถวายบูชาของอิสราเอล นี่คือศูนย์กลางแห่งความศักดิ์สิทธิ์ของอิสราเอล


การไตร่ตรอง

“พระบัญญัติ คือ เครื่องหมายแห่งการประทับอยู่ของพระเจ้าและพระพรของพระองค์ที่มีต่อประชากรเสมอ
พระกรุณา the Seat of Mercy”
ท่านกำลังฟื้นฟูจิตใจในวันนี้ ท่านคิดว่าความมั่นคงในกระแสเรียกของพระเจ้า และเราที่ผ่านมานั้นอยู่ที่ความซื่อสัตย์ต่อพันธสัญญาใช่หรือไม่
เรื่องพระบัญญัติ เป็นอย่างไร?
พระบัญญัติของพระเจ้า ท่านนับถือ ใส่ใจ และรักษาไว้อย่างไร
เก็บไว้ด้วยความรักดุจพระบัญญัติอยู่ในกล่องไม้ล้ำค่า หุ้มด้วยทองคำบริสุทธ์ มีคานหามไว้พร้อมและเคลื่อนย้ายไปกับท่าน และผู้รับใช้พระเจ้าอยู่เสมอใช่ไหม?
คงเป็นเวลาดีที่เราจะทบทวนกันเรื่องความรักซื่อตรงต่อการถือวินัย ชีวิตคริสเตียน คำปฏิญาณของเรา เจตนารมณ์ของเรากับพระเจ้า
สังเกตว่า ประชากรของพระเจ้าเป็นประชากรศักดิ์สิทธิ์ได้ก็เพราะพระเจ้าพระผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดประทับท่ามกลางพวกเขาตลอดเวลา โดยมีเครื่องหมายสำคัญคือหีบพระบัญญัติ
การเคลื่อนที่ การอพยพเดินไปของประชากรของพระเจ้านั้นจะต้องมีพระบัญญัติของพระเจ้าอยู่ในใจกลางของชุมชนศักดิ์สิทธิ์เสมอ ดังนั้นสำหรับบรรดาผู้รับใช้พระเจ้า ท่านคิดว่าการเป็นประชากรของพระเจ้ามีความศักดิ์สิทธิ์ของชีวิตส่วนตัว และคริสตจักร พันธกิจ และทุกมิติชีวิต สามารถเป็นไปได้ในการเป็นประชากรศักดิ์สิทธิ์และเป็นคู่แห่งพันธสัญญาของพระเจ้าใช่หรือไม่?
พระพร พระพรที่ได้รับตลอดมานั้น เป็นพระคุณแห่งความซื่อสัตย์ของท่านต่อ
พระเจ้า หรือเป็นเพราะความสามารถของท่านเองแต่ละคน
เครูบสองตนมีสายตาจับจ้องอยู่ที่พระบัญญัติของพระเจ้า ท่านมีสายตาจดจ่อ มีสายใจยึดมั่นอยู่ที่พระบัญญัติของพระเจ้าเสมอใช่ไหม? (สดด 1 ผู้ชอบธรรมคือผู้ที่ใส่ใจในพระธรรมตลอดเวลา)
ท่านถือพระบัญญัติของพระเจ้า และพระบัญญัติของพระเจ้าในท่านเป็นเช่นใด? ( พระบัญญัติคือ บัญญัติแห่งความรักของพระเจ้าที่ทรงมีต่อท่าน)
คานหามพระบัญญัติต้องสอดไว้ในห่วงตลอดเวลา เป็นเครื่องหมายว่า พระบัญญัตินั้นต้องแบกหรือ “ถือ” ไว้เสมอ ท่านต้องไตร่ตรองจริงๆ สักหน่อยว่าตลอดเวลาที่ผ่านมากนั้น พระบัญญัติพระเจ้า คือสิ่งที่ท่านถือกันตลอดมาใช่ไหม
ไม่มีหีบพระบัญญัติ ก็ไม่มีพันธสัญญา และเมื่อไม่มีพันธสัญญา ก็ไม่มีพระพรของพระยาห์เวห์
เราจะเป็นผู้รับใช้พระเจ้า โดยขาดพระพรไม่ได้ใช่ไหม
เราจะเป็นผู้รับใช้พระเจ้าโดยขาดพระกรุณาของพระเจ้าไม่ได้ใช่ไหม)
เรามีชีวิตใหม่โดยขาดพันธสัญญาไม่ได้ใช่ไหม
ดังนั้นเวลานี้ น่าจะเป็นเวลา รักพระบัญญัติ รักพันธสัญญา เพื่อจะกล่าวได้ว่า เรารักพระกรุณาของพระเจ้า เรารักและซื่อสัตย์ดังเช่นผู้อัครฑูตเปาโล

เคยสังเกตไหมว่า คำว่า “หีบพระบัญญัติ” นั้นต่อมาด้วยคำว่า “ประตูสวรรค์” ท่านคิดว่าท่านสามารถที่จะเป็น ดัง “ประตูสวรรค์” สำหรับทุกคนได้ทั้งนี้เพราะเหตุที่ท่านทุกคนเป็น “หีบพระบัญญัติ” ของพระเจ้า คือซื่อสัตย์ต่อพระบัญญัติ(ความรัก)ของพระเจ้าจะดีไหม
ในเวลานี้ขอให้ท่านนำ“พระบัญญัติ(ความรัก)” ใส่กล่องไม้สักชั้นดีที่สุด และหุ้มด้วยทองคำ มีคานหามตลอดเวลา ประดิษฐานไว้ ที่หัวใจของท่านจะดีไหม เพื่อเตือนใจว่า “จะไม่มีพระพร ถ้าไม่มีความสัตย์ซื่อต่อพระบัญญัติ(ความรัก) และต่อพันธสัญญา”
ประเด็นสำคัญที่สุด คือ อย่าลืมว่า เหนือหีบพระบัญญัตินั้น ต้องมี “ที่นั่งพระกรุณา” ของพระเจ้า เพราะพระองค์ประทับและสดับฟังจากหีบพระบัญญัตินั้นเอง
น่าจะมีการไตร่ตรองอย่างจริงจังเช่นกันใช่ไหมว่า “พระบัญญัติ” ข้อใด ที่ท่านสัตย์ซื่อที่สุด หรืออ่อนแอที่สุด
ทั้งนี้ เพื่อการฉลองและการกลับใจอย่างแท้จริง เพื่อพระพรจะไม่ขาดไปจากเยรูซาแล็ม คทาจะไม่ขาดไปจากดาวิด และเพื่อ “พระพร” จะไม่ขาดไปจากท่าน
h “ฝาหีบ” –รากคำภาษาฮีบรูแปลว่า “ปิด” หรือ “ปกคลุม” จึงมีความหมายถึงการลบล้างหรืออภัยโทษบาปในพิธีขออภัยโทษจากพระเจ้าด้วย เมื่อมหาปุโรหิตใช้เลือดสัตว์ประพรมฝาหีบนี้ ในพิธีกรรมสมัยหลังเนรเทศเมื่อไม่มีหีบพันธสัญญาแล้วชาวอิสราเอล ยังทำรูปจำลองของฝาหีบ เพื่อใช้ในพิธีขออภัยโทษจากพระเจ้าต่อไป (ลนต 16:15) และ 1 พศด 28:11 เรียกฝาหีบนี้ว่า “พระที่นั่งแห่งพระกรุณา” ซึ่งประดิษฐานอยู่ในอภิสุทธิสถานของพระวิหาร พระยาห์เวห์ทรงสำแดงพระองค์และตรัสกับโมเสสจากฝาหีบนี้ (ข้อ 22; ลนต 16:2; กดว 7:89)

พระที่นั่งกรุณานี้เป็นสัญลักษณ์ของการสถิตอยู่ของพระเจ้า และพระกรุณาของพระเจ้าที่มีต่อประชากรของพระองค์คือ การใช้เลือดแกะในการลบมลทินบาปนั้นจะถูกมาประพรมที่พระที่นั่งปีละครั้งโดยมหาปุโรหิตในวันลบบาป (ลนต.16:1-5;ฮบ.9:5)ในสมัยพระคัมภีร์เดิม แต่ในพระคัมภีร์ใหม่นั้น พระเจ้าสำแดงพระกรุณาของพระองค์โดยการส่งพระบุตร (พระเยซูคริสต์) มาบังเกิดเป็นมนุษย์ ซึ่งแสดงถึงความรักเมตตาของพระองค์ที่ทรงอภัยโทษบาปให้มนุษย์ผ่านทางพระบุตรของพระองค์ โดยพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระองค์สิ้นพระชนม์โดยการถูกตรึงกางเขนเพื่อพระโลหิตของพระองค์จะเป็นเครื่องบูชาลบมิลบาปของมนุษย์ ซึ่งพระโลหิตพระบุตรของพระเจ้าที่ไหลออกมาจากร่างกายของพระองค์นั้นก็คือ เลือดที่ใช้ลบบาปแทนเลือดของแกะ โดยพระโลหิตของพระองค์เองนั้นเป็นเครื่องบูชาลบบาปให้มนุษย์ แสดงให้เห็นว่าพระเยซูทรงเป็นพระเมษโปดกของพระเจ้า ในพระคัมภีร์เดิมลูกแกะในหนังสือ(อิสยาห์ 53:7)
7 ท่านถูกบีบบังคับและท่านถูกข่มใจ ถึงกระนั้นท่านก็ไม่ปริปาก เหมือนลูกแกะที่ถูกนำไปฆ่า และเหมือนแกะที่เป็นใบ้อยู่หน้าผู้ตัดขนของมันฉันใด ท่านก็ไม่ปริปากของท่านเลยฉันนั้น

ความหมายสำคัญของคำว่า "พระเมษโปดกของพระเจ้า" คือพระเยซูคริสต์เสด็จมาในโลกเพื่อรับโทษบาปแทนมนุษย์ทุกคน(ยน.1:29)
29 วันรุ่งขึ้นยอห์นเห็นพระเยซูกำลังเสด็จมาทางท่าน ท่านจึงกล่าวว่า "จงดูพระเมษโปดกของพระเจ้า ผู้ทรงรับความผิดบาปของโลกไปเสีย ,(ยน.1:36)
36 และท่านมองดูพระเยซูขณะที่พระองค์ทรงดำเนินและกล่าวว่า "จงดูพระเมษโปดกของพระเจ้า"

เหมือนดังลูกแกะที่ถูกนำไปถวายเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปตามบทบัญญัติว่าด้วยการถวายบูชาของชาวยิว

พระเมษโปดกของพระเจ้า แปลว่า ลูกแกะของพระเจ้า (พระบุตรของพระเจ้านั่นเอง)พระเยซูคือเครื่องบูชาลบมลทินบาปแทนแกะในพระคัมภีร์ ภาคพันธสัญญาเดิม เพื่อนำเลือดมาประพรมพระที่นั่งเหนือหีบพันธสัญญา มหาปุโรหิตในพระคัมภีร์เดิมต้องนำเลือดแกะมาประพรมที่พระที่นั่งปีละครั้งเพื่อถวายเป็นเครื่องบูชาการลบมลทินบาปของมนุษย์ มหาปุโรหิต คือ คนกลางระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ ในพระคัมภีร์เดิม

แต่ในพันธสัญญาใหม่พระเยซูเป็นมหาปุโรหิตของพระเจ้าด้วย (ฮบ.7:17)
17 เพราะมีพยานกล่าวถึงท่านว่า ท่านเป็นปุโรหิตเป็นนิตย์ ตามแบบอย่างของเมลคีเซเดค
สดด.110:4)
4 พระเจ้าทรงปฏิญาณแล้ว และจะไม่เปลี่ยนพระทัยของพระองค์ "เจ้าเป็นปุโรหิตเป็นนิตย์ ตามอย่างของเมลคีเซเดค"
(ฮบ.7:21-28)
21 บรรดาปุโรหิตเผ่าเลวีนั้นไม่มีการกล่าวปฏิญาณเมื่อเขาเข้ารับตำแหน่ง แต่ส่วนปุโรหิตใหม่นี้ มีคำกล่าวปฏิญาณว่า พระเจ้าทรงปฏิญาณแล้ว และจะไม่ทรงเปลี่ยนพระทัย ท่านเป็นปุโรหิตตลอดกาล

22 ข้อนี้กระทำให้พันธสัญญาที่พระเยซูทรงรับประกันนั้น ดีกว่าพันธสัญญาเก่าสักเพียงใด

23 ปุโรหิตเผ่าเลวีนั้นมีการสืบตำแหน่งกันหลายคน เพราะความตายขัดขวางไม่ให้เขาปฏิบัติงานได้ตลอดไป

24 แต่พระเยซูนี้ ทรงดำรงตำแหน่งปุโรหิตตลอดกาล เพราะพระองค์ทรงดำรงชีวิตอยู่เป็นนิตย์

25 ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงทรงสามารถเป็นนิตย์ที่จะช่วยคนทั้งปวงที่ได้เข้ามาถึงพระเจ้าโดยทางพระองค์นั้นให้ได้รับความรอด เพราะว่าพระองค์ทรงพระชนม์อยู่เป็นนิตย์ เพื่อช่วยทูลขอพระกรุณาให้คนเหล่านั้น

26 มหาปุโรหิตเช่นนี้แหละที่เหมาะสำหรับเรา คือเป็นผู้บริสุทธิ์ ปราศจากอุบายไร้มลทิน แยกจากคนบาปทั้งปวง ประทับอยู่สูงกว่าฟ้าสวรรค์

27 พระองค์ไม่ต้องทรงนำเครื่องบูชามาทุกวันๆ ดังเช่นมหาปุโรหิตอื่นๆ ผู้ซึ่งตอนแรกถวายสำหรับความผิดของตัวเอง แล้วจึงถวายสำหรับความผิดของประชาชน ส่วนพระเยซูได้ทรงถวายเครื่องบูชาเพียงครั้งเดียว คือเมื่อพระองค์ได้ทรงถวายพระองค์เองต่อพระเจ้า

28 แท้จริงมหาปุโรหิตที่ได้รับการแต่งตั้งตามธรรมบัญญัตินั้น ก็เป็นมนุษย์ที่อ่อนแอ แต่พระปฏิญาณของพระเจ้าซึ่งได้ตรัสภายหลังธรรมบัญญัตินั้น ได้ทรงแต่งตั้งพระบุตรขึ้น ผู้ซึ่งถึงความสำเร็จเป็นนิตย์


พระเจ้าสำแดงพระกรุณาต่อมนุษย์ด้วยความรักของพระองค์ โดยให้พระบุตรของพระองค์มาเป็นพระเมษโปดกโดยการถูกตรึงกางเขนให้สิ้นชนม์ แทนแกะที่ถูกฆ่าเพื่อนำเลือดมาเป็นเครื่องบูชาลบบาปของมนุษย์ และการเป็นมหาปุโรหิตของพระเจ้าคือการทำหน้าที่นำพระโลหิตของพระองค์เองเป็นเครื่องบูชาลบมลทินบาปของของมนุษย์

พระที่นั่งกรุณานี้ในพระคัมภีร์ใหม่ใช้คำนี้เปรียบถึงการที่คริสตชนมาเข้าเฝ้าพระเจ้าโดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ (ฮบ.4:14-16)
14 เหตุฉะนั้น เมื่อเรามีมหาปุโรหิตผู้เป็นใหญ่ที่ผ่านฟ้าสวรรค์เข้าไปถึงพระเจ้าแล้ว คือพระเยซูพระบุตรของพระเจ้า ขอให้เราทั้งหลายมั่นคงในพระศาสนาของเรา

15 เพราะว่า เรามิได้มีมหาปุโรหิตที่ไม่สามารถจะเห็นใจในความอ่อนแอของเรา แต่ได้ทรงถูกทดลองใจเหมือนอย่างเราทุกประการ ถึงกระนั้นพระองค์ก็ยังปราศจากบาป

16 ฉะนั้นขอให้เราทั้งหลาย จงมีใจกล้าเข้ามาถึงพระที่นั่งแห่งพระคุณ เพื่อเราจะได้รับพระเมตตา และจะได้รับพระคุณที่จะช่วยเราในขณะที่ต้องการ


i เครูบ ตรงกับคำภาษาบาบิโลนว่า karibu หมายถึงจิตที่มีรูปร่างครึ่งมนุษย์ครึ่งสัตว์ที่เฝ้าประตูวิหารและราชวัง พระคัมภีร์และภาพวาดในตะวันออกกลางโบราณ แสดงลักษณะของ “เครูบ” ว่า มีหน้ามนุษย์ มีร่างสิงโต มีปีก “เครูบ” นี้ ไม่มีบทบาทใดในศาสนพิธีของชาวอิสราเอลในสมัยเดินทางในถิ่นทุรกันดาร และเมื่อเข้ายึดครองแผ่นดินคานาอัน จนถึงสมัยที่หีบพันธสัญญาประดิษฐานอยู่ที่ชิโลห์ เพราะที่นั่นพระยาห์เวห์ได้รับสมญานามว่า 'พระองค์ผู้ประทับเหนือเครูบ' (1 ซมอ 4:4; 2 ซมอ 6:2 ดู 2 พกษ 19:15; สดด 80:1; 99:1) และยังกล่าวถึงพระองค์ว่า 'ทรง(ขี่)เครูบ” (2ซมอ 22:11 ดู สดด 18:10) ในพระวิหารของกษัตริย์ซาโลมอน รูปเครูบเป็นกรอบของหีบพันธสัญญาและสูญหายไปพร้อมกับหีบ ในพระวิหารหลังยุคที่ตกเป็นเชลยชาวอิสราเอลทำรูปเครูบเล็กๆ สองตนติดไว้ที่พระที่นั่งแห่งพระกรุณา (ดูเชิงอรรถ h) ใน อสค 1 และ 10 “เครูบ” เป็นสัตว์เทียมราชรถของพระยาห์เวห์