Custom Search By Google

Custom Search

วันพุธที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ปลูกฝังนิสัยให้ใจเต็มไปด้วยความรัก


ปลูกฝังนิสัยให้ใจเต็มไปด้วยความรัก
http://202.28.54.173/sermons/love2.htm
ตอนที่ 2
ทำในสิ่งที่ถูกต้องด้วยเหตุผลที่ถูกต้อง
(1 โกรินโธ 13:1-3)

“แม้ข้าพเจ้าพูดภาษาแปลกๆ ได้ เป็นภาษามนุษย์ก็ดี เป็นภาษาทูตสวรรค์ก็ดี แต่ไม่มีความรัก

ข้าพเจ้าเป็นเหมือนฉาบหรือฉิ่งที่กำลังส่งเสียง แม้ข้าพเจ้าจะพยากรณ์ได้ และเข้าใจในข้อลับลึกทั้งปวง และมีความรู้

ทั้งสิ้น และมีความเชื่อมากยิ่งที่สุดพอจะยกภูเขาได้ แต่ไม่มีความรัก ข้าพเจ้าก็ไม่มีค่าอะไรเลย แม้ข้าพเจ้าจะบริจาค

ของสารพัตรเพื่อเลี้ยงคนจน หรือยอมเอาตัวเผาไฟเสีย แต่ไม่มีความรัก จะหาเป็นประโยชน์แก่ข้าพเจ้าไม่”



คำนำ: 1. ความรักเป็นอานุภาพต่อสุขภาพจิต สุขภาพกาย และสุขภาพจิตต์วิญญาณของมนุษย์ มีผลกระทบต่อ

อุปนิสัยและบุคลิกของคนอย่างมาก

2. โดยความรักพระเยซูยอมสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน พระองค์ดึงดูดคนเป็นอันมากให้มาหาพระองค์

(โยฮัน 12:32)

3. ความรู้สึกที่ว่ามีคนรักเรา เป็นความรู้สึกที่สำคัญที่สุดในโลก คนที่ไม่มีความรัก หรือคนที่ไม่มีความ

รู้สึกว่ามีคนรักเขา เท่ากับตายแล้วทั้งเป็น (โยฮัน 3:14-15)

I. กำลังใจเป็นพลังอันมหาศาล กระตุ้นให้ทำการสำเร็จได้

1. แต่ต้องทำในสิ่งที่ถูกต้องและด้วยเหตุผลที่ถูกต้อง

ก) “ใครผู้ใดจะให้เราทั้งหลายขาดจากความรักของพระคริสต์เล่า? จะเป็นการยากลำบาก หรือความทุกข์ในใจ หรือการเคี่ยวเข็ญ หรือการกันดารอาหาร หรือการเปลือยกาย หรือการถูกโพยภัย หรือการถูกคมดาบหรือ เหมือนมีคำเขียนไว้แล้วว่า เพราะเหตุพระองค์เราทั้งหลายถูกฆ่าเสียสิ้นวันยังค่ำ เขาถือว่าเราเหมือนฝูงแกะสำหรับจะเอาไว้ฆ่า แต่ว่าในเหตุการณ์ทั้งปวงเหล่านั้น เราทั้งหลายมีชัยชนะเหลือล้นโดยพระองค์ผู้ได้ทรงรักเราทั้งหลาย เหตุว่าข้าพเจ้าเชื่อมั่นคงว่า แม้ความตาย หรือชีวิต หรือทูตสวรรค์ หรือผู้มีบรรดาศักดิ์ หรือสิ่งซึ่งมีอยู่เดี๋ยวนี้ หรือสิ่งซึ่งจะเป็นมาภายหน้า หรือฤทธิ์เดชทั้งหลาย หรือความสูง หรือความลึก หรือสิ่งใดๆ อื่นที่ทรงสร้างแล้ว จะไม่อาจกระทำให้เราทั้งหลายขาดจากความรักของ พระเจ้าซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราทั้งหลาย” (โรม 8:35-39)

2. เป็นไปได้ มีกำลังใจในการทำการอันยิ่งใหญ่ แต่ด้วยเจตนาที่ผิดและด้วยเหตุผลที่ผิด

ก) “แม้ข้าพเจ้าพูดภาษาแปลกๆ ได้ เป็นภาษามนุษย์ก็ดี เป็นภาษาทูตสวรรค์ก็ดี แต่ไม่มีความรัก ข้าพเจ้าเป็น

เหมือนฉาบหรือฉิ่งที่กำลังส่งเสียง แม้ข้าพเจ้าจะพยากรณ์ได้ และเข้าใจในข้อลับลึกทั้งปวง และมีความรู้ทั้งสิ้น และมีความเชื่อมากยิ่งที่สุดพอจะยกภูเขาได้ แต่ไม่มีความรัก ข้าพเจ้าก็ไม่มีค่าอะไรเลย แม้ข้าพเจ้าจะบริจาคของสารพัตรเพื่อเลี้ยงคนจน หรือยอมเอาตัวเผาไฟเสีย แต่ไม่มีความรัก จะหาเป็นประโยชน์แก่ข้าพเจ้าไม่” (1 โกรินโธ 13:1-3)



อุทาหรณ์: นักศึกษาเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยด้วยเหตุผลต่างๆ แม้นักศึกษาที่ดี ที่ขยันเอาใจใส่ทุ่มเทในการศึกษา ก็ด้วยเหตุผลต่างๆ มีนักศึกษากัมพูชาคนหนึ่งชื่อพิช ในวิชาพูดในที่สาธารณะ พิชได้ยืนขึ้นพูดเล่าประวัติของตนเองต่อหน้าชั้น พิชเล่าให้ฟังว่าครอบครัวของเขาค่อนข้างมีฐานะดี ตอนที่พิชอายุ 5 ขวบ คอมมิวนิสต์ได้มายึดครองประเทศ พวกคอมมิวนิสต์ได้จับคนที่มีฐานะดี มีการศึกษา พาไปที่ทุ่งนา พวกคอมมิวนิสต์ใช้ปืนกลยิงคนเหล่านั้นตายเยี่ยงสัตว์ บังเอิญพ่อของพิชไม่ถูกยิงตาย เพราะพวกคอมมิวนิสต์ต้องการใช้ความสามารถของพ่อพิชเกี่ยวกับระบบโทรศัพท์ ขณะที่พ่อของพิชทำงาน ก็มีทหารคอมมิวนิสต์เข้าเฝ้าอย่างใกล้ชิด ทหารคอมมิวนิสต์ก็เฝ้าดูแลทุกคนในครอบครัวอย่างใกล้ชิด อยู่มาวันหนึ่งพวกคอมมิวนิสต์จับพ่อของพิชไป ตอนที่พิชอายุได้ 7 ขวบ ตั้งแต่นั้นมาคอมมิวนิสต์ได้แยกทุกคนในครอบครัวให้อยู่ต่างหาก พิชอยู่ตามลำพังคนเดียว พิชเล่าว่า เขาร้องไห้ทุกคืนติดต่อกันเป็นเวลาสามเดือน หลังจากนั้น พิชเล่าว่ามีทหารคอมมิวนิสต์เฝ้าพ่อเพียงผู้เดียวตอนที่พ่อทำสายโทรศัพท์ พ่ออาจจะฉวยโอกาสหนีได้ แต่ทหารยามขู่ว่า ถ้าเขาหนีเมื่อใด ลูกเมียของเขาจะต้องถูกฆ่าตายหมด พ่อของพิชเคยเห็นพวกนี้ทำมาแล้ว ดังนั้นพ่อของพิชจำต้องทนอยู่ต่อไป เพื่อความปลอดภัยของลูกเมีย ในที่สุดพ่อของพิชก็ถูกฆ่าตาย

ต่อมาพิชและครอบครัวหนีไปยังประเทศอเมริกา พิชได้สรุปว่า “พ่อของผมยอมตายเพื่อให้ผมรอดชีวิต เพื่อให้ผมมีการศึกษาสูงๆ ท่านลองคิดดูซิว่า พิชเป็นนักศึกษาแบบไหน? เขา ดิ้นรนในการศึกษาสุดฤทธิ์ เพื่อให้สมกับที่พ่อยอมตายเพื่อเขา ความรัก เป็นแรงใจของพ่อที่ยอมตายเพื่อลูก และ ความรัก เป็นแรงใจทำให้พิชทุ่มเทสุดฤทธิ์ในการศึกษา

3. เป็นไปได้เหมือนกันที่คนจะทำในสิ่งที่ถูกต้อง แต่ด้วยเหตุผลหรือเจตนารมภ์ที่ผิด ตัวอย่างที่ดีเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ใน โยฮัน 8:1-11 ผู้ที่เคร่งครัดในศาสนา คือพวกฟาริซาย ได้จับผู้หญิงที่ได้ทำผิดประเวณีพามาหาพระเยซู เป็นการถูกต้องและสมควรที่จะลงโทษทั้งเธอและผู้ชายที่กระทำผิดศีลธรรม

แต่ทำไมคนเหล่านั้นพาผู้หญิงคนนี้มาหาพระเยซู? พระเยซูไม่ใช่เป็นผู้พิพากษา หากเขาต้องการเชิดชูบัญญัติของพระเจ้าเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือ? หรือพวกเขาต้องการให้ผู้หญิงนี้มีประสบการณ์กับพระเยซูผู้มีพระทัยเมตตา และพร้อมที่จะให้อภัยแก่คนบาป คำตอบคือ ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง เหตุผลที่เขาพาผู้หญิงมาหาพระเยซูก็เพราะเขาจะหาช่องจับผิดพระเยซูว่าละเมิดพระบัญญัติของพระเจ้า จุดประสงค์อันเดียวของพวกเขาก็คือ สร้างสถานการณ์ที่จะจับผิดพระเยซู ชะตากรรมของผู้หญิงคนนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของเธอ กับจิตต์วิญญาณของเธอ ไม่ใช่เป็นสิ่งที่พวกเขาเสียใจ ความรักไม่ใช่เป็นแรงจูงใจในการกระทำของพวกเขา

II. หัวใจที่เต็มด้วยความรัก ย่อมทำทุกสิ่งด้วยเหตุผลที่ถูกต้อง
หัวใจที่ทำการดีไม่ใช่ทำด้วยความรักจะได้รับอะไร?

1. เจตนาที่อยู่เบื้องหลังในการกระทำการดีมีความหมายต่อพระเจ้ามาก

พระเจ้าได้ตรัสแก่ซามูเอลว่า “แต่พระยะโฮวาทรงตรัสแก่ซามูเอลว่า อย่าเห็นแก่รูปหรือร่างสูงของเขา เพราะมนุษย์เคยแลดูหน้าตากัน แต่พระยะโฮวาทรงทอดพระเนตรดวงจิตต์” (1 ซามูเอล 16:7)

2. พระเยซูสอนไว้อย่างชัดเจนใน

มัดธาย 6:1 ท่านจงระวังให้ดี อย่าทำความชอบธรรมของท่านต่อหน้ามนุษย์เพื่อหวังจะให้เขาเห็น ถ้าทำอย่างนั้นท่านจะไม่ได้รับบำเหน็จแต่พระบิดาของท่านผู้สถิตย์ในสวรรค์”

แม้ว่าจะทำในสิ่งที่ถูกต้อง แต่ด้วยเหตุผลที่ต้องการให้คนยกย่องสรรเสริญตนเอง เขาก็จะได้ความสรรเสริญจากมนุษย์ แต่ไม่ใช่จากพระเจ้า

3. พระเยซูได้สอนการดี 3 ประการ ที่คนทำด้วยเจตนาที่ผิด

(ก) “เหตุฉะนั้นเมื่อทำทาน อย่าเป่าแตรข้างหน้าท่าน เหมือนคนหน้าซื่อใจคดกระทำในธรรมศาลาและตามถนน เพื่อจะได้ความสรรเสริญจากมนุษย์ เราบอกท่านตามจริงว่าเขาได้รับบำเหน็จของเขาแล้ว ฝ่ายท่านทั้งหลายเมื่อทำทานอย่าให้มือซ้ายรู้การซึ่งมือขวากระทำนั้น เพื่อทานของท่านจะเป็นทานลับ และพระบิดาของท่านผู้ทรงเห็นในที่ลับลี้ จะทรงโปรดประทานบำเหน็จให้ท่าน” (มัดธาย 6:2-4)

(ข) “เมื่อท่านทั้งหลายจะอธิษฐานอย่าเป็นเหมือนคนหน้าซื่อใจคด เพราะเขาชอบยืนอธิษฐานในธรรมศาลาและตามถนน เพื่อจะให้คนทั้งปวงเห็น เราบอกท่านตามจริงว่า เขาได้รับบำเหน็จของเขาแล้ว ฝ่ายท่านเมื่ออธิษฐานจงเข้าในห้องชั้นใน และเมื่อปิดประตูแล้ว จงอธิษฐานขอจากพระบิดาของท่านผู้อยู่ในที่ ลับลี้ และพระบิดาของท่านผู้อยู่ในที่ลับลี้จะทรงโปรดประทานแก่ท่าน” (มัดธาย 6:5-6)

(ค) “เมื่อท่านถือศีลอดอาหาร อย่าทำหน้าเศร้าหมองเหมือนคนหน้าซื่อใจคด ด้วยเขาทำหน้าให้มอมแมมเพื่อจะให้ปรากฏแก่มนุษย์ว่าเขาถือศีลอดอาหาร เราบอกท่านตามจริงว่าเขาได้บำเหน็จของเขาแล้ว ส่วนท่านเมื่อถือศีลอดอาหาร แต่ให้ปรากฏแก่พระบิดาของท่านผู้อยู่ในที่ลับลี้ และพระบิดาของท่านผู้เห็นในที่ลับลี้ก็จะทรงประทานบำเหน็จให้แก่ท่าน” (มัดธาย 6:16-18)

4. การแจกทานแก่คนยากจน, การอธิษฐาน และการอดอาหาร เป็นการดีที่พวกยิวสมัยโบราณ, ยิวปัจจุบัน และ คริสเตียนกระทำ แม้ว่าการดีเหล่านี้ (ซึ่งยังไม่นับการสอนชั้นรวี, การนำเพลง, การเทศนา, การอธิษฐาน, การถวายทรัพย์, ทำพิธีระลึก) อาจจะทำด้วยเหตุผลที่ไม่ถูกต้อง พระเยซูสอนไว้อย่างชัดเจนว่า การกระทำใดๆ ที่ไม่ออกมาจากความรัก พระองค์ถือว่า ไร้ประโยชน์, ว่างเปล่า, สูญเปล่า

5. ใน 1 โกรินโธ 13:1-3 เปาโลได้บอกการดีต่างๆ ที่คนทำเช่น (1) การพูดภาษาแปลกๆ (2) มีความรู้และมีความเชื่อมาก (3) ยอมตายเพื่อพระเยซู แต่เปาโลสรุปว่า “ถ้าไม่มีความรัก การต่างๆที่ข้าพเจ้ากระทำก็ไม่มีค่าอะไรเลย”

6. นักเทศน์ที่ประสบความสำเร็จ คือนักเทศน์ที่เทศนาว่า จงปรนนิบัติรับใช้พระเจ้า พระองค์จะอวยพรให้ท่านร่ำรวย, มีความสุข คำเทศนานี้จะขายดี แต่บำเหน็จในการรับใช้พระเจ้าไม่ใช่ทรัพย์สิ่งของ ความมั่งคั่ง ถ้าเราดูคำเทศนาของพระเยซูใน มัดธาย บทที่ 5 เรื่องความสุขแท้ พระเยซูสัญญาว่าบำเหน็จของคริสเตียนคือ สันติสุข, ความชอบธรรม, ความเมตตา และสิทธิที่ได้ชื่อว่าเป็นบุตรของพระเจ้า

III. หัวใจทำการดีด้วยความรักเป็นแรงจูงใจจะเกิดผลดีต่อชีวิต
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าความรักเป็นแรงจูงใจให้เรากระทำการดี? จะมีผลต่อชีวิตของเราอย่างไร?

ก. ประการแรก: ความรักต่อผู้อื่นเป็นเป้าหมายทำให้ชีวิตของเรามีความหมาย

1. วัยรุ่นส่วนมากเมื่อถามว่าคุณมีเป้าหมายอะไรในชีวิต ส่วนมากจะไม่เคยคิดมาก่อน คนที่มี ความสุขคือคนที่มีเป้าหมาย และใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย และคนที่ควบคุมชีวิตของตนไปตามกรอบ

2. เราเคยอ่านหรือได้ยินเรื่องราวของคนบางคนที่ประสบความสำเร็จ เราพบว่าคนเหล่านี้มักทำงานหนัก ทำงานเป็นเวลานานๆ 99% มากกว่าโดยเฉลี่ยของคนทั่วไป บางทีไม่มีวันหยุด มีงานเยอะแยะ คนเหล่านี้มีความเบื่อไหม? ไม่มีความสุขหรือ? บ่นอุบอิบ ไม่พอใจหรือ? เปล่า! ทำไม? เพราะคนเหล่านี้รักและสนุกกับการทำงานของตน ได้กำลังใจจากผลของการทำงาน

3. ตัวอย่าง: แม่ชี Teresa ที่กัลกัตตา, อินเดีย แม่ชีได้รับคนเจ็บคนป่วย, คนที่ไม่มีที่อยู่อาศัยบนถนนนำมาเลี้ยงดู ถามเธอว่าทุกวันเธอเริ่มต้นทำงานอย่างไร? เธอตอบว่า เริ่มต้นด้วยการอธิษฐานเวลา 4:30 น. หลังจากอธิษฐานแล้วทำอะไร? “เราพยายามอธิษฐานตลอดสัปดาห์โดยการทำการกับพระเยซู เพื่อพระเยซู แด่พระเยซู นี่ช่วยให้เราทุ่มเท, กาย, ใจ ทำการเหล่านี้ คนป่วย, คนพิการ, คนปัญญาอ่อน, คนไม่มีที่อาศัย, คนที่ไม่มีใครรัก คนเหล่านี้เปรียบเหมือนตัวพระเยซูเอง”

มัดธาย 25:31-46 “เมื่อบุตรมนุษย์จะเสด็จมาด้วยรัศมีภาพของพระองค์กับทั้งหมู่ทูตสวรรค์

เมื่อนั้นพระองค์จะทรงนั่งบนพระที่นั่งอันรุ่งเรืองของพระองค์ บรรดาชนชาติต่างๆ จะประชุมพร้อมกันต่อพระพักตร์พระองค์ และพระองค์จะทรงแยกเขาทั้งหลายออกจากกัน เหมือนอย่างผู้เลี้ยงแกะแยกแกะออกจากแพะ ส่วนฝูงแกะนั้นจะทรงจัดให้อยู่เบื้องซ้าย ขณะนั้นพระมหากษัตริย์จะตรัสแก่บรรดาผู้ที่อยู่เบื้องขวาว่า ท่านทั้งหลายที่ได้รับพระพรจากพระบิดาของเรา จงมารับเอาแผ่นดินซึ่งได้ตระเตรียมไว้สำหรับท่านทั้งหลายตั้งแต่แรกสร้างโลก เพราะว่าเมื่อเราอยากอาหารท่านก็ได้จัดหาให้เรากิน เรากระหายน้ำท่านก็ได้ให้เราดื่ม เราเป็นแขกแปลกหน้าท่านก็ได้ต้อนรับเราไว้ เราเปลือยกายท่านก็ได้ให้เสื้อผ้าเรานุ่งห่ม เมื่อเราเจ็บท่านก็ได้มาหาเรา เมื่อเราต้องจำอยู่ในพันธนาคารท่านก็ได้มาหาเรา เวลานั้นบรรดาผู้ชอบธรรมจะกราบทูลว่า พระองค์เจ้าข้า ที่ข้าพเจ้าเห็นพระองค์ทรงอยากพระกระยาหาร หรือ

ทรงกระหายนั้นและได้จัดมาถวายแก่พระองค์แต่เมื่อไร ที่ข้าพเจ้าได้เห็นพระองค์เป็นแขกแปลกหน้าและได้ต้อนรับไว้ หรือเปลือยพระกายและได้สวมฉลองพระองค์ให้แต่เมื่อไร ที่ข้าพเจ้าเห็นพระองค์

ทรงประชวรหรือต้องจำอยู่ในพันธนาคารและได้มาเฝ้าพระองค์นั้นแต่เมื่อไร แล้วพระมหากษัตริย์จะตรัสแก่เขาว่า เราบอกท่านทั้งหลายตามจริงว่า ซึ่งท่านได้กระทำแก่ผู้เล็กน้อยที่สุดคนหนึ่งในพวกพี่น้องของเรานี้ ก็เหมือนท่านได้กระทำแก่เราด้วย พระองค์จึงตรัสแก่บรรดาผู้ที่อยู่เบื้องซ้ายว่าเจ้าทั้งหลายผู้ต้องแช่งสาปจงถอยไปจากเราเข้าไปอยู่ในไฟซึ่งไหม้อยู่เป็นนิตย์ ซึ่งเตรียมไว้สำหรับมารและพรรคพวกของมันนั้น เพราะว่าเมื่อเราอยากอาหารเจ้าก็มิได้ให้เรากิน เรากระหายน้ำเจ้าก็มิได้ให้เราดื่ม เราเป็นแขกแปลกหน้าเจ้าก็ไม่ได้ต้อนรับเราไว้ เราเปลือยกายเจ้าก็ไม่ได้ให้เสื้อผ้าเรานุ่งห่ม เราเจ็บและต้องจำอยู่ในพันธนาคาร เจ้าก็ไม่ได้มาเยี่ยมเรา เขาทั้งหลายจะทูลว่า พระองค์เจ้าข้า ที่ข้าพเจ้าได้เห็นพระองค์ทรงอยากพระกระยาหารหรือทรงกระหายน้ำ หรือทรงเป็นแขกแปลกหน้าและเปลือยพระกาย หรือทรงประชวรและต้องจำอยู่ในพันธนาคาร และข้าพเจ้ามิได้ปรนนิบัติพระองค์นั้นแต่เมื่อไร เมื่อนั้นพระองค์จะตรัสแก่เขาว่า เราบอกเจ้าทั้งหลายตามจริงว่า ซึ่งเจ้ามิได้กระทำแก่ผู้เล็กน้อยที่สุดสักคนหนึ่งใน พวกนี้ เจ้าก็มิได้กระทำแก่เราด้วย และพวกเหล่านี้จะต้องไปรับโทษอยู่เป็นนิตย์ แต่ผู้ชอบธรรมจะเข้าในชีวิตนิรันดร์”

แล้วแม่ชีได้ชี้แจงเป้าประสงค์ในการทำงานของเธอ “ฉันไม่อ้างผลงานเหล่านี้เป็นของฉัน แต่เป็นงานของพระเจ้า ฉันเป็นเหมือนดินสออยู่ที่พระหัตถ์ของพระเจ้าแค่นั้น พระองค์เป็นผู้คิด, พระองค์เป็นผู้เขียน เพียงแต่ยอมให้พระหัตถ์ของพระองค์ใช้เท่านั้นเอง”

(Time Magazine 12/4/89, p.11)

แม่ชีเทริซามีแรงจูงใจในการทำงานด้วยความรัก แม่ชีเทริซาเรียนรู้จักการทำงานอันสำคัญยิ่งใหญ่มากกว่าตัวเธอเอง ซึ่งเป็นแรงจูงใจในการทำการที่ประสบความสำเร็จ ด้วยเหตุผลดังกล่าวมีคนมากมายอาสาสมัครจากทั่วโลกไปช่วยเธอทำงาน เธอทำงานโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

4. คนส่วนมากในโลกนี้ ใช้ชีวิตอย่างไม่มีความสุข แต่ลึกๆ ในใจของเรา พระเจ้าบอกความจริงว่า ชีวิตของเราน่าจะมีความหมายมากยิ่งกว่า “การกิน, ดื่ม, สนุกสนานเท่านั้น” จนกว่าเราจะใช้ชีวิตให้สัมพันธ์กับจุดประสงค์อันแท้จริง เราอาจจะทำการสำเร็จ ซื้อทุกสิ่งตามที่เราต้องการ เรายังคงพบกับความเบื่อหน่ายและความว่างเปล่าในชีวิต คนที่ใช้เวลาไปในการเที่ยวหา ซื้อรถยนต์, เสื้อผ้า, ซื้อเพชรนิลจินดา รู้ว่าจะยอมรับความจริงหรือไม่ก็ตาม ยิ่งมีวัตถุสิ่งของมากเท่าไร ชีวิตก็ยิ่งมีความรู้สึกว่างเปล่าเหมือนไม่มีอะไรเลย เป็นไปได้ที่คนเราจะมีชื่อเสียงโด่งดังในสังคม แต่ไม่รู้จักตัวของตัวเอง



5. ตัวอย่าง: Jack Lemmon นักแสดงกล่าวว่า “เหมือนคนอื่นทั่วไป ผมเคยคิดว่าความสำเร็จคือการมีเงินและมีชื่อเสียง คิดว่ามีเงินและมีชื่อเสียง ปัญหาทั้งสิ้นก็จบลง แต่มันไม่ใช่จบ แต่ปัญหามันเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่นแทน ปัญหาเป็นอย่างอื่นที่ใหญ่ขึ้นมากกว่าเดิม คนที่ทำงานกวาดถนนสามารถประสบความสำเร็จได้ถ้าเขารักในสิ่งที่เขาทำ และเขาทำดีที่สุดในสิ่งที่เขาทำ รักในสิ่งที่ท่านทำและมีเจตนาอันถูกต้องในการทำ นั่นแหละจะทำให้ท่านสำเร็จ

ข. ประการที่สอง: ความรักเป็นแรงจูงใจจะช่วยให้ชีวิตของคนมีทิศทาง

1. ถ้าเรามีทิศทางที่จะไปก็จะช่วยให้เรารู้จักใช้เวลาให้ดีที่สุดแต่ละวันอย่างไร? หวังใจว่าท่านได้เริ่ม

คิดแล้วว่าพระเจ้ามีจุดประสงค์อะไรในตัวท่าน ขึ้นอยู่ที่ตัวท่านจะก้าวจากตรงนั้นไปอย่างไร?

2. จินตนาการจะช่วยท่านอย่างดีในเรื่องการใช้เวลา สมมุติว่าหมอบอกท่านว่า ท่านมีชีวิตอยู่ได้อีกแค่หกเดือน ท่านจะใช้เวลาภายในหกเดือนอย่างไร? มีอะไรที่ท่านรู้ว่าท่านต้องทำบ้าง? ท่านอยากทำอะไร? และมีอะไรบ้างที่ท่านได้ทำแล้ว หรือมีบางสิ่งที่สำคัญมากที่ท่านควรทำแต่ท่านไม่ได้ทำ? ถ้าท่านตอบคำถามเหล่านี้ได้ก็จะช่วยให้ท่านรู้ว่าท่านควรใช้เวลาแต่ละวันอย่างไร

3. เปาโลประสบความสำเร็จในการรับใช้พระเจ้า เพราะเปาโลมีเป้าประสงค์เดียว

(ก) ฟิลิปปอย 3:12-13 “มิใช่ว่าข้าพเจ้าได้แล้วหรือลุโสดาแล้ว แต่ข้าพเจ้าบากบั่นมุ่งไปเพื่อข้าพเจ้าจะได้ฉวยเอาตามอย่างที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงฉวยเอาข้าพเจ้าไว้นั้น ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่ถือว่าข้าพเจ้าได้ฉวยไว้ได้แล้ว แต่มีอย่างเดียวคือว่าสิ่งเหล่านั้นที่ผ่านพ้นมาแล้วข้าพเจ้าก็ลืมเสีย และโน้มตัวออกไปหาสิ่งเหล่านั้นที่อยู่ข้างหน้า”

(ข) ฟิลิปปอย 1:20-21 “ตามความมุ่งหมายอย่างยิ่ง และความหวังของข้าพเจ้าว่าข้าพเจ้าจะไม่มีความละอายในสิ่งใดๆ เลย แต่เมื่อก่อนทุกครั้งมีใจกล้าเสมอฉันใด บัดนี้ก็ขอให้เป็นเช่นเดียวกันฉันนั้น แม้จะเป็นก็ดีหรือจะตายก็ดี พระคริสต์ก็จะได้รับเกียรติยศในร่างกายของข้าพเจ้า เพราะว่าสำหรับข้าพเจ้านั้น การที่มีชีวิตอยู่ก็ได้พระคริสต์ และการที่ตายก็ได้ดีกว่านั้น”

(ค) 2 ติโมเธียว 4:6-7 “ด้วยว่าฝ่ายข้าพเจ้านั้นโลหิตก็กำลังจะไหลออกเป็นเครื่องสักการบูชาแล้ว และเวลาซึ่งข้าพเจ้าจะต้องลาไปนั้นก็ใกล้จะถึงแล้ว ข้าพเจ้าเข้าในการปล้ำสู้อย่างดีแล้ว ข้าพเจ้าวิ่งแข่งถึงที่สุดปลายแล้ว ข้าพเจ้าได้รักษาความเชื่อนั้นไว้แล้ว”

4. ถ้าคริสเตียนทุกคนรู้จุดมุ่งหมายว่า เราอยู่ในโลกนี้ก็เพื่อทำให้โลกเป็นที่น่าอยู่น่าอาศัย เราทำอย่างนั้นได้ก็โดยสำแดงพระกิตติคุณแห่งความรัก และเราทำโดยการส่งรอยยิ้ม และสำแดงความรักแก่ทุกคนที่เราพบ นอกเหนือจากนั้น พระเจ้ามีจุดประสงค์พิเศษให้เราแต่ละคน เราจำเป็นต้องค้นหาเมื่อพบแล้วก็ดำเนินไปตามนั้น



5. ถ้าเราดำเนินชีวิตโดยไม่มีจุดหมายปลายทางก็จะเป็นเหมือนสุนัขล่าสัตว์วิ่งส่ายไปทั่ว โดยไม่รู้ว่าจะไปทางใด ตอนแรกมันได้กลิ่นกวาง มันวิ่งไปตามหากวาง อีกสักครู่มันได้กลิ่นกระต่ายป่า มันก็วิ่งไปตามกลิ่นนั้น พอเห็นกระรอกวิ่งผ่านหน้า มันก็วิ่งไล่ตามกระรอกไป พอเจ้าของสุนัขวิ่งไปถึงมันก็เห่าใส่หลุมกอล์ฟ เป็นการง่ายที่จะวิ่งไล่ตามอะไรที่ผ่านหน้าเรา จบลงด้วยการเห่าใส่หลุมกอล์ฟ เพราะเราไม่มีเป้าประสงค์ที่แน่นอนอย่างชัดเจนในสมองของเรา

ค. ประการที่สาม: ความรักเป็นแรงจูงใจจะช่วยให้เราใช้ชีวิตอยู่เหนือคำตำหนิ

และ คำนินทาต่างๆ ได้

1. การถูกตำหนิเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต โดยเฉพาะถ้าต้องการจะเปลี่ยนแปลงชีวิตให้มันดีขึ้น การมีเป้าหมายที่แน่นอนและรู้เหตุผลที่แน่นอน จะช่วยให้เผชิญหน้ากับการถูกตำหนิได้ง่ายขึ้น

2. จำเรื่องราวของนะเฮ็มยาใน OT. ได้ไหม? เขาเป็นเสนาบดีถวายเครื่องเสวยของกษัตริย์ อะระธาสัศธา แห่งเปอร์เซีย พระเจ้าเรียกให้นะเฮ็มยากลับไปกรุงยะรูซาเล็มเพื่อสร้างกำแพงตอนที่ท่านได้ทำหน้าที่ พวกศัตรูได้เข้ามารบกวนและตำหนิติเตียนท่านถึง 4 ครั้ง ท้าทายนะเฮ็มยาให้ออกไปสู้รบ แต่ 4 ครั้ง นะเฮ็มยาตอบว่า “ข้าพเจ้ากำลังทำการใหญ่ของพระเจ้า เราไปหาเจ้าไม่ได้”

3. เราก็เหมือนกันควรเป็นเหมือนนะเฮ็มยา ให้เราจดจ่อกับเป้าประสงค์ของพระเจ้า เป็นการง่ายที่เราจะถูกรบกวนสมาธิทำให้เราเบนออกไปนอกเส้นทาง และบ่อยครั้งสิ่งที่เราถูกตำหนิหรือตำหนิคนอื่นในคริสตจักร เป็นเรื่องขี้ผง อาทิตย์ต่อไปเราลืมแล้ว แต่รอยแผลที่ทิ้งไว้ใช้เวลากว่าจะรักษาให้หายได้

4. โลกตำหนิคริสเตียน เพราะโลกไม่เข้าใจเป้าหมายในชีวิตของเราอย่างแท้จริง ไม่ว่าโลกจะประณามว่าเราโง่ อย่าหวั่นไหว จงจ้องสายตาในสิ่งที่เราทำเพื่อพระเจ้า การถูกตำหนิติเตียนจะต้องเจอแน่นอน แต่ถ้าเราทำในสิ่งที่ถูกต้องด้วยเหตุผลที่ถูกต้อง จะเป็นแรงจูงใจให้เราทำการจนสำเร็จ

IV. เป้าประสงค์ดีเป็นแรงจูงใจที่ดี

จริงอยู่ความรักเป็นแรงจูงใจในการสร้างสรรสิ่งที่ดีงาม เป้าประสงค์ดีก็สมควรปลูกฝังในชีวิตของเรา

1. เป้าดีประการแรก: เป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าที่จะให้เราเป็นเหมือนพระเยซูพระบุตรของพระเจ้า

(ก) “ด้วยว่าผู้หนึ่งผู้ใดที่พระองค์ได้ทรงทราบอยู่แล้ว ผู้นั้นพระองค์ได้ทรงดำริไว้ให้เป็นตามพระลักษณะพระบุตรของพระองค์ เพื่อพระบุตรนั้นจะได้เป็นบุตรหัวปีท่ามกลางพวกพี่น้องเป็นอันมาก”

(โรม 8:29)



(ข) พระองค์ฝึกฝนอบรมและเฆี่ยนตีสั่งสอนเราเพื่อให้เราบรรลุเป้า “และท่านได้ลืมคำเตือนนั้นเสีย ซึ่งได้เตือนท่านเหมือนกับเตือนบุตรว่า ดูก่อนบุตรของข้าพเจ้า อย่าประมาทต่อการตีสอนขององค์ พระผู้เป็นเจ้า และอย่าระอาใจเมื่อพระองค์ทรงติเตียนท่านนั้น และพระองค์ทรงรับคนใดเป็นบุตร พระองค์ก็ทรงเฆี่ยนตีผู้นั้น” (เฮ็บราย 12:5-6)

(ค) เป้าที่ดีก็ต้องร่วมมือกับพระเจ้าในการพัฒนานิสัยให้เป็นเหมือนพระเยซู เราสามารถรับการ เฆี่ยนตีสั่งสอน, เรียนรู้ และเจริญเติบโต หรือเราจะดื้อรั้น และประสบกับความวุ่นวายต่างๆ ท่านเป็นผู้เลือกเอง ท่านตั้งเป้าที่จะเป็นเหมือนพระเยซู มุ่งมั่นในการอธิษฐาน, การนมัสการ, การร่วมสามัคคีธรรมกับพี่น้อง,ศึกษาพระคำของพระเจ้า เพื่อว่าพระคริสต์จะได้ก่อกำเนิดในตัวเรา

2. เป้าดีประการที่สอง: ในชีวิตของเรา เราควรทำอะไรที่มีคุณประโยชน์แก่ผู้อื่นอย่างถาวร

(ก) พระเยซูตรัสว่า “ท่านทั้งหลายมิได้เลือกเรา แต่เราได้เลือกท่านทั้งหลายและได้ตั้งท่านไว้เพื่อท่านจะได้เกิดผล และผลของท่านจะอยู่ถาวร เพื่อเมื่อท่านจะขอสิ่งใดจากพระบิดาในนามของเรา พระองค์จะทรงประทานสิ่งนั้นแก่ท่าน” (โยฮัน 15:16)

(ข) อัครสาวกเปาโลกล่าวว่า “เพราะว่าเราทั้งหลายเป็นกิจการของพระองค์ที่ทรงสร้างขึ้นใหม่ในพระเยซูคริสต์ เพื่อจะให้กระทำการดี ซึ่งพระเจ้าได้ทรงดำริไว้ก่อนให้เราประพฤติตามนั้น” (เอเฟโซ 2:10)

(ค) เป้าหมายในชีวิตแบบนี้จะยกชูเราให้สูงเหนือระดับเนื้อหนังมังสา เวลา, พลัง, เงินของเราส่วนมากจะใช้ไปกับการเลี้ยงชีพของเรา พระเยซูสอนไม่ให้เรากระวนกระวายใจด้วยสิ่งใด พระองค์สอนให้เราแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าก่อนสิ่งอื่นใด (มัดธาย 6:25-33)

(ง) ทุกวันนี้ท่านทำอะไร? สัปดาห์หน้านี้มีโปรแกรมธุระยุ่งกับอะไร เป็นธุระที่มีคุณค่าถาวรนิรันดร์หรือชั่วคราว? ท่านจริงใจตอบว่า “ไม่” ขอเสนอว่าท่านตั้งเป้าชีวิตของท่านเสียใหม่ว่าท่านจะใช้ชีวิตอย่างไร?

3. เป้าดีประการที่สาม: มีอุดมคติในชีวิตที่มีคุณค่าควรแก่การที่เรายอมตายเพื่อสิ่งนั้นได้

มีอะไรที่สำคัญที่สุดในชีวิตของท่าน?

(ก) พระเยซูตรัสว่า “เพราะว่าผู้ใดจะใคร่เอาชีวิตของตนรอด ผู้นั้นจะเสียชีวิต แต่ผู้ใดจะเสียชีวิตของตนเพราะเห็นแก่เราและเพราะเห็นแก่กิตติคุณของเรา ผู้นั้นจะได้ชีวิตรอด เพราะถ้าผู้ใดจะได้สิ่งของสิ้นทั้งโลก แต่ต้องเสียชีวิตของตน ผู้นั้นจะได้ประโยชน์อะไร?” (มาระโก 8:35-36)

(ข) ลองถามตัวเองดูว่า “ต้องการให้ชีวิตของเราจบลงอย่างไร?” บางคนบอกว่าไม่ทราบ ไม่เคยคิด มาก่อน

(ค) เป็นการดีที่จะถามตัวเองว่า ถ้าเราเหลือชีวิตอีกหกเดือนเราจะใช้ชีวิตอย่างไร? และถ้าเราจากไปแล้ว เราต้องการให้คนเขาระลึกถึงเราอย่างไร? คนจะคิดถึงท่านอย่างไร?

(ง) คนบางคนจะฆ่าหรือยอมตายเพื่อเงิน บางคนอาจจะยอมตายเพื่อคนที่ตนรัก บางคนยินดีตายเพื่อประกาศ คนเป็นอันมากตายเพื่อจะได้มาซึ่งเสรีภาพ อุดมการณ์ยิ่งใหญ่ก็คือ แผ่นดินของพระเจ้ามีคนเป็นอันมากยอมตายเพื่อพระเยซู เฮ็บราย 11 ได้ยกตัวอย่างบางคน

4. เบนไปจากเป้าทำให้ตาลาย: คนที่ไม่มีสมาธิ มักจะตาลาย โฟกัสไม่ชัดเจน

(ก) อุทาหรณ์: น่าสนใจที่สังเกตดูผู้ฝึกสิงห์โตให้เชื่อง ผมแปลกใจว่าทำไมคนฝึกสิงห์โตมักถือโต๊ะที่มี 4 ขา เวลามีการแสดงแล้วยังถือแซ่และก็ถือปืน เหตุผลก็ชัดเจน แต่ทำไมโต๊ะ 4 ขา มันไม่ได้ช่วยให้สิงห์โตเชื่องช้าลง มันยังดุมากขึ้น William H. Himson ผู้ฝึกสิงห์โตได้ชี้แจงว่า เหตุผลที่ใช้โต๊ะ 4 ขา เวลาฝึกก็เพราะว่า สิงห์โตจะโฟกัสโต๊ะที่มี 4 ขาพร้อมๆ กัน เมื่อมันทำอย่างนั้นมันยิ่งมองไม่เห็นชัดเจน ทำให้มันเชื่องมากขึ้น เมื่อสิงห์โตตาลาย ทำให้มันสับสนมันจึงไม่วิ่งเข้าใส่ผู้ฝึก

(ข) นั่นเป็นบทเรียนที่ดีสำหรับชีวิต ส่วนมากเรามีธุระยุ่ง ยุ่งกับธุระสารพัดอย่าง มากยิ่งกว่าโต๊ะ 4 ขา ทำให้เราเกิดตาลาย ผลทำให้ตาใจของเราตาลาย เรายุ่งกับธุระที่ไม่สำคัญทุกวันๆ แต่ธุระที่สำคัญกว่ากลับไม่สนใจ

(ค) ธุระของพระเจ้าที่สำคัญที่สุดคนมองข้าม หรือไม่ก็ผัดวันประกันพรุ่งไม่รู้สิ้นสุด ฝันว่าสักวันหนึ่งข้างหน้าเราคงมีเวลา

(ง) เราต้องการศูนย์กลางคือพระเยซู มีสายตาของเราจับจ้องอยู่ที่พระองค์

“เหตุฉะนั้นครั้นเรามีพยานหมู่ใหญ่อย่างนั้นอยู่รอบข้าง ให้เราทิ้งของหนักทุกสิ่งที่ขัดข้องอยู่ และการผิดที่เรามักง่ายกระทำนั้น และการวิ่งแข่งกันที่กำหนดไว้สำหรับเรานั้น ให้เราวิ่งด้วยความเพียรพยายามหมายเอาพระเยซูเป็นผู้นำ และเป็นผู้ส่งเสริมความเชื่อของเราให้สำเร็จ เพราะเห็นแก่ความยินดีที่มีอยู่ตรงหน้านั้น พระองค์ได้ทรงทนเอากางเขน ทรงถือว่าความละอายไม่เป็นสิ่งสำคัญอะไร และได้เสด็จนั่งเบื้องขวาพระที่นั่งของพระเจ้าแล้ว” (เฮ็บราย 12:1-2)



สรุป:

1. เมื่อพระเจ้าส่งซามูเอลไปบ้านยิซัยเพื่อจะเลือกกษัตริย์องค์ใหม่ของยิศราเอล พระองค์ตรัสกับซามูเอลว่า “แต่พระยะโฮวาทรงตรัสแก่ซามูเอลว่า อย่าเห็นแก่รูปหรือร่างสูงของเขา เพราะมนุษย์เคยแลดูหน้าตากัน แต่พระยะโฮวาทรงทอดพระเนตรดวงจิตต์” (1 ซามูเอล 16:7)

2. ดาวิดได้ถูกเลือกให้เป็นกษัตริย์องค์ใหม่แทนกษัตริย์ซาอูล ทั้งๆ ที่พระเจ้ารู้ว่าดาวิดจะทำให้พระเจ้าเสียพระทัยในความผิดที่เขาทำ ท่านคิดว่า ทำไมพระเจ้าเลือกดา