Custom Search By Google

Custom Search

วันพุธที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ปลูกฝังนิสัยให้ใจเต็มไปด้วยความรัก


ปลูกฝังนิสัยให้ใจเต็มไปด้วยความรัก
http://202.28.54.173/sermons/love2.htm
ตอนที่ 2
ทำในสิ่งที่ถูกต้องด้วยเหตุผลที่ถูกต้อง
(1 โกรินโธ 13:1-3)

“แม้ข้าพเจ้าพูดภาษาแปลกๆ ได้ เป็นภาษามนุษย์ก็ดี เป็นภาษาทูตสวรรค์ก็ดี แต่ไม่มีความรัก

ข้าพเจ้าเป็นเหมือนฉาบหรือฉิ่งที่กำลังส่งเสียง แม้ข้าพเจ้าจะพยากรณ์ได้ และเข้าใจในข้อลับลึกทั้งปวง และมีความรู้

ทั้งสิ้น และมีความเชื่อมากยิ่งที่สุดพอจะยกภูเขาได้ แต่ไม่มีความรัก ข้าพเจ้าก็ไม่มีค่าอะไรเลย แม้ข้าพเจ้าจะบริจาค

ของสารพัตรเพื่อเลี้ยงคนจน หรือยอมเอาตัวเผาไฟเสีย แต่ไม่มีความรัก จะหาเป็นประโยชน์แก่ข้าพเจ้าไม่”



คำนำ: 1. ความรักเป็นอานุภาพต่อสุขภาพจิต สุขภาพกาย และสุขภาพจิตต์วิญญาณของมนุษย์ มีผลกระทบต่อ

อุปนิสัยและบุคลิกของคนอย่างมาก

2. โดยความรักพระเยซูยอมสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน พระองค์ดึงดูดคนเป็นอันมากให้มาหาพระองค์

(โยฮัน 12:32)

3. ความรู้สึกที่ว่ามีคนรักเรา เป็นความรู้สึกที่สำคัญที่สุดในโลก คนที่ไม่มีความรัก หรือคนที่ไม่มีความ

รู้สึกว่ามีคนรักเขา เท่ากับตายแล้วทั้งเป็น (โยฮัน 3:14-15)

I. กำลังใจเป็นพลังอันมหาศาล กระตุ้นให้ทำการสำเร็จได้

1. แต่ต้องทำในสิ่งที่ถูกต้องและด้วยเหตุผลที่ถูกต้อง

ก) “ใครผู้ใดจะให้เราทั้งหลายขาดจากความรักของพระคริสต์เล่า? จะเป็นการยากลำบาก หรือความทุกข์ในใจ หรือการเคี่ยวเข็ญ หรือการกันดารอาหาร หรือการเปลือยกาย หรือการถูกโพยภัย หรือการถูกคมดาบหรือ เหมือนมีคำเขียนไว้แล้วว่า เพราะเหตุพระองค์เราทั้งหลายถูกฆ่าเสียสิ้นวันยังค่ำ เขาถือว่าเราเหมือนฝูงแกะสำหรับจะเอาไว้ฆ่า แต่ว่าในเหตุการณ์ทั้งปวงเหล่านั้น เราทั้งหลายมีชัยชนะเหลือล้นโดยพระองค์ผู้ได้ทรงรักเราทั้งหลาย เหตุว่าข้าพเจ้าเชื่อมั่นคงว่า แม้ความตาย หรือชีวิต หรือทูตสวรรค์ หรือผู้มีบรรดาศักดิ์ หรือสิ่งซึ่งมีอยู่เดี๋ยวนี้ หรือสิ่งซึ่งจะเป็นมาภายหน้า หรือฤทธิ์เดชทั้งหลาย หรือความสูง หรือความลึก หรือสิ่งใดๆ อื่นที่ทรงสร้างแล้ว จะไม่อาจกระทำให้เราทั้งหลายขาดจากความรักของ พระเจ้าซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราทั้งหลาย” (โรม 8:35-39)

2. เป็นไปได้ มีกำลังใจในการทำการอันยิ่งใหญ่ แต่ด้วยเจตนาที่ผิดและด้วยเหตุผลที่ผิด

ก) “แม้ข้าพเจ้าพูดภาษาแปลกๆ ได้ เป็นภาษามนุษย์ก็ดี เป็นภาษาทูตสวรรค์ก็ดี แต่ไม่มีความรัก ข้าพเจ้าเป็น

เหมือนฉาบหรือฉิ่งที่กำลังส่งเสียง แม้ข้าพเจ้าจะพยากรณ์ได้ และเข้าใจในข้อลับลึกทั้งปวง และมีความรู้ทั้งสิ้น และมีความเชื่อมากยิ่งที่สุดพอจะยกภูเขาได้ แต่ไม่มีความรัก ข้าพเจ้าก็ไม่มีค่าอะไรเลย แม้ข้าพเจ้าจะบริจาคของสารพัตรเพื่อเลี้ยงคนจน หรือยอมเอาตัวเผาไฟเสีย แต่ไม่มีความรัก จะหาเป็นประโยชน์แก่ข้าพเจ้าไม่” (1 โกรินโธ 13:1-3)



อุทาหรณ์: นักศึกษาเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยด้วยเหตุผลต่างๆ แม้นักศึกษาที่ดี ที่ขยันเอาใจใส่ทุ่มเทในการศึกษา ก็ด้วยเหตุผลต่างๆ มีนักศึกษากัมพูชาคนหนึ่งชื่อพิช ในวิชาพูดในที่สาธารณะ พิชได้ยืนขึ้นพูดเล่าประวัติของตนเองต่อหน้าชั้น พิชเล่าให้ฟังว่าครอบครัวของเขาค่อนข้างมีฐานะดี ตอนที่พิชอายุ 5 ขวบ คอมมิวนิสต์ได้มายึดครองประเทศ พวกคอมมิวนิสต์ได้จับคนที่มีฐานะดี มีการศึกษา พาไปที่ทุ่งนา พวกคอมมิวนิสต์ใช้ปืนกลยิงคนเหล่านั้นตายเยี่ยงสัตว์ บังเอิญพ่อของพิชไม่ถูกยิงตาย เพราะพวกคอมมิวนิสต์ต้องการใช้ความสามารถของพ่อพิชเกี่ยวกับระบบโทรศัพท์ ขณะที่พ่อของพิชทำงาน ก็มีทหารคอมมิวนิสต์เข้าเฝ้าอย่างใกล้ชิด ทหารคอมมิวนิสต์ก็เฝ้าดูแลทุกคนในครอบครัวอย่างใกล้ชิด อยู่มาวันหนึ่งพวกคอมมิวนิสต์จับพ่อของพิชไป ตอนที่พิชอายุได้ 7 ขวบ ตั้งแต่นั้นมาคอมมิวนิสต์ได้แยกทุกคนในครอบครัวให้อยู่ต่างหาก พิชอยู่ตามลำพังคนเดียว พิชเล่าว่า เขาร้องไห้ทุกคืนติดต่อกันเป็นเวลาสามเดือน หลังจากนั้น พิชเล่าว่ามีทหารคอมมิวนิสต์เฝ้าพ่อเพียงผู้เดียวตอนที่พ่อทำสายโทรศัพท์ พ่ออาจจะฉวยโอกาสหนีได้ แต่ทหารยามขู่ว่า ถ้าเขาหนีเมื่อใด ลูกเมียของเขาจะต้องถูกฆ่าตายหมด พ่อของพิชเคยเห็นพวกนี้ทำมาแล้ว ดังนั้นพ่อของพิชจำต้องทนอยู่ต่อไป เพื่อความปลอดภัยของลูกเมีย ในที่สุดพ่อของพิชก็ถูกฆ่าตาย

ต่อมาพิชและครอบครัวหนีไปยังประเทศอเมริกา พิชได้สรุปว่า “พ่อของผมยอมตายเพื่อให้ผมรอดชีวิต เพื่อให้ผมมีการศึกษาสูงๆ ท่านลองคิดดูซิว่า พิชเป็นนักศึกษาแบบไหน? เขา ดิ้นรนในการศึกษาสุดฤทธิ์ เพื่อให้สมกับที่พ่อยอมตายเพื่อเขา ความรัก เป็นแรงใจของพ่อที่ยอมตายเพื่อลูก และ ความรัก เป็นแรงใจทำให้พิชทุ่มเทสุดฤทธิ์ในการศึกษา

3. เป็นไปได้เหมือนกันที่คนจะทำในสิ่งที่ถูกต้อง แต่ด้วยเหตุผลหรือเจตนารมภ์ที่ผิด ตัวอย่างที่ดีเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ใน โยฮัน 8:1-11 ผู้ที่เคร่งครัดในศาสนา คือพวกฟาริซาย ได้จับผู้หญิงที่ได้ทำผิดประเวณีพามาหาพระเยซู เป็นการถูกต้องและสมควรที่จะลงโทษทั้งเธอและผู้ชายที่กระทำผิดศีลธรรม

แต่ทำไมคนเหล่านั้นพาผู้หญิงคนนี้มาหาพระเยซู? พระเยซูไม่ใช่เป็นผู้พิพากษา หากเขาต้องการเชิดชูบัญญัติของพระเจ้าเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือ? หรือพวกเขาต้องการให้ผู้หญิงนี้มีประสบการณ์กับพระเยซูผู้มีพระทัยเมตตา และพร้อมที่จะให้อภัยแก่คนบาป คำตอบคือ ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง เหตุผลที่เขาพาผู้หญิงมาหาพระเยซูก็เพราะเขาจะหาช่องจับผิดพระเยซูว่าละเมิดพระบัญญัติของพระเจ้า จุดประสงค์อันเดียวของพวกเขาก็คือ สร้างสถานการณ์ที่จะจับผิดพระเยซู ชะตากรรมของผู้หญิงคนนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของเธอ กับจิตต์วิญญาณของเธอ ไม่ใช่เป็นสิ่งที่พวกเขาเสียใจ ความรักไม่ใช่เป็นแรงจูงใจในการกระทำของพวกเขา

II. หัวใจที่เต็มด้วยความรัก ย่อมทำทุกสิ่งด้วยเหตุผลที่ถูกต้อง
หัวใจที่ทำการดีไม่ใช่ทำด้วยความรักจะได้รับอะไร?

1. เจตนาที่อยู่เบื้องหลังในการกระทำการดีมีความหมายต่อพระเจ้ามาก

พระเจ้าได้ตรัสแก่ซามูเอลว่า “แต่พระยะโฮวาทรงตรัสแก่ซามูเอลว่า อย่าเห็นแก่รูปหรือร่างสูงของเขา เพราะมนุษย์เคยแลดูหน้าตากัน แต่พระยะโฮวาทรงทอดพระเนตรดวงจิตต์” (1 ซามูเอล 16:7)

2. พระเยซูสอนไว้อย่างชัดเจนใน

มัดธาย 6:1 ท่านจงระวังให้ดี อย่าทำความชอบธรรมของท่านต่อหน้ามนุษย์เพื่อหวังจะให้เขาเห็น ถ้าทำอย่างนั้นท่านจะไม่ได้รับบำเหน็จแต่พระบิดาของท่านผู้สถิตย์ในสวรรค์”

แม้ว่าจะทำในสิ่งที่ถูกต้อง แต่ด้วยเหตุผลที่ต้องการให้คนยกย่องสรรเสริญตนเอง เขาก็จะได้ความสรรเสริญจากมนุษย์ แต่ไม่ใช่จากพระเจ้า

3. พระเยซูได้สอนการดี 3 ประการ ที่คนทำด้วยเจตนาที่ผิด

(ก) “เหตุฉะนั้นเมื่อทำทาน อย่าเป่าแตรข้างหน้าท่าน เหมือนคนหน้าซื่อใจคดกระทำในธรรมศาลาและตามถนน เพื่อจะได้ความสรรเสริญจากมนุษย์ เราบอกท่านตามจริงว่าเขาได้รับบำเหน็จของเขาแล้ว ฝ่ายท่านทั้งหลายเมื่อทำทานอย่าให้มือซ้ายรู้การซึ่งมือขวากระทำนั้น เพื่อทานของท่านจะเป็นทานลับ และพระบิดาของท่านผู้ทรงเห็นในที่ลับลี้ จะทรงโปรดประทานบำเหน็จให้ท่าน” (มัดธาย 6:2-4)

(ข) “เมื่อท่านทั้งหลายจะอธิษฐานอย่าเป็นเหมือนคนหน้าซื่อใจคด เพราะเขาชอบยืนอธิษฐานในธรรมศาลาและตามถนน เพื่อจะให้คนทั้งปวงเห็น เราบอกท่านตามจริงว่า เขาได้รับบำเหน็จของเขาแล้ว ฝ่ายท่านเมื่ออธิษฐานจงเข้าในห้องชั้นใน และเมื่อปิดประตูแล้ว จงอธิษฐานขอจากพระบิดาของท่านผู้อยู่ในที่ ลับลี้ และพระบิดาของท่านผู้อยู่ในที่ลับลี้จะทรงโปรดประทานแก่ท่าน” (มัดธาย 6:5-6)

(ค) “เมื่อท่านถือศีลอดอาหาร อย่าทำหน้าเศร้าหมองเหมือนคนหน้าซื่อใจคด ด้วยเขาทำหน้าให้มอมแมมเพื่อจะให้ปรากฏแก่มนุษย์ว่าเขาถือศีลอดอาหาร เราบอกท่านตามจริงว่าเขาได้บำเหน็จของเขาแล้ว ส่วนท่านเมื่อถือศีลอดอาหาร แต่ให้ปรากฏแก่พระบิดาของท่านผู้อยู่ในที่ลับลี้ และพระบิดาของท่านผู้เห็นในที่ลับลี้ก็จะทรงประทานบำเหน็จให้แก่ท่าน” (มัดธาย 6:16-18)

4. การแจกทานแก่คนยากจน, การอธิษฐาน และการอดอาหาร เป็นการดีที่พวกยิวสมัยโบราณ, ยิวปัจจุบัน และ คริสเตียนกระทำ แม้ว่าการดีเหล่านี้ (ซึ่งยังไม่นับการสอนชั้นรวี, การนำเพลง, การเทศนา, การอธิษฐาน, การถวายทรัพย์, ทำพิธีระลึก) อาจจะทำด้วยเหตุผลที่ไม่ถูกต้อง พระเยซูสอนไว้อย่างชัดเจนว่า การกระทำใดๆ ที่ไม่ออกมาจากความรัก พระองค์ถือว่า ไร้ประโยชน์, ว่างเปล่า, สูญเปล่า

5. ใน 1 โกรินโธ 13:1-3 เปาโลได้บอกการดีต่างๆ ที่คนทำเช่น (1) การพูดภาษาแปลกๆ (2) มีความรู้และมีความเชื่อมาก (3) ยอมตายเพื่อพระเยซู แต่เปาโลสรุปว่า “ถ้าไม่มีความรัก การต่างๆที่ข้าพเจ้ากระทำก็ไม่มีค่าอะไรเลย”

6. นักเทศน์ที่ประสบความสำเร็จ คือนักเทศน์ที่เทศนาว่า จงปรนนิบัติรับใช้พระเจ้า พระองค์จะอวยพรให้ท่านร่ำรวย, มีความสุข คำเทศนานี้จะขายดี แต่บำเหน็จในการรับใช้พระเจ้าไม่ใช่ทรัพย์สิ่งของ ความมั่งคั่ง ถ้าเราดูคำเทศนาของพระเยซูใน มัดธาย บทที่ 5 เรื่องความสุขแท้ พระเยซูสัญญาว่าบำเหน็จของคริสเตียนคือ สันติสุข, ความชอบธรรม, ความเมตตา และสิทธิที่ได้ชื่อว่าเป็นบุตรของพระเจ้า

III. หัวใจทำการดีด้วยความรักเป็นแรงจูงใจจะเกิดผลดีต่อชีวิต
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าความรักเป็นแรงจูงใจให้เรากระทำการดี? จะมีผลต่อชีวิตของเราอย่างไร?

ก. ประการแรก: ความรักต่อผู้อื่นเป็นเป้าหมายทำให้ชีวิตของเรามีความหมาย

1. วัยรุ่นส่วนมากเมื่อถามว่าคุณมีเป้าหมายอะไรในชีวิต ส่วนมากจะไม่เคยคิดมาก่อน คนที่มี ความสุขคือคนที่มีเป้าหมาย และใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย และคนที่ควบคุมชีวิตของตนไปตามกรอบ

2. เราเคยอ่านหรือได้ยินเรื่องราวของคนบางคนที่ประสบความสำเร็จ เราพบว่าคนเหล่านี้มักทำงานหนัก ทำงานเป็นเวลานานๆ 99% มากกว่าโดยเฉลี่ยของคนทั่วไป บางทีไม่มีวันหยุด มีงานเยอะแยะ คนเหล่านี้มีความเบื่อไหม? ไม่มีความสุขหรือ? บ่นอุบอิบ ไม่พอใจหรือ? เปล่า! ทำไม? เพราะคนเหล่านี้รักและสนุกกับการทำงานของตน ได้กำลังใจจากผลของการทำงาน

3. ตัวอย่าง: แม่ชี Teresa ที่กัลกัตตา, อินเดีย แม่ชีได้รับคนเจ็บคนป่วย, คนที่ไม่มีที่อยู่อาศัยบนถนนนำมาเลี้ยงดู ถามเธอว่าทุกวันเธอเริ่มต้นทำงานอย่างไร? เธอตอบว่า เริ่มต้นด้วยการอธิษฐานเวลา 4:30 น. หลังจากอธิษฐานแล้วทำอะไร? “เราพยายามอธิษฐานตลอดสัปดาห์โดยการทำการกับพระเยซู เพื่อพระเยซู แด่พระเยซู นี่ช่วยให้เราทุ่มเท, กาย, ใจ ทำการเหล่านี้ คนป่วย, คนพิการ, คนปัญญาอ่อน, คนไม่มีที่อาศัย, คนที่ไม่มีใครรัก คนเหล่านี้เปรียบเหมือนตัวพระเยซูเอง”

มัดธาย 25:31-46 “เมื่อบุตรมนุษย์จะเสด็จมาด้วยรัศมีภาพของพระองค์กับทั้งหมู่ทูตสวรรค์

เมื่อนั้นพระองค์จะทรงนั่งบนพระที่นั่งอันรุ่งเรืองของพระองค์ บรรดาชนชาติต่างๆ จะประชุมพร้อมกันต่อพระพักตร์พระองค์ และพระองค์จะทรงแยกเขาทั้งหลายออกจากกัน เหมือนอย่างผู้เลี้ยงแกะแยกแกะออกจากแพะ ส่วนฝูงแกะนั้นจะทรงจัดให้อยู่เบื้องซ้าย ขณะนั้นพระมหากษัตริย์จะตรัสแก่บรรดาผู้ที่อยู่เบื้องขวาว่า ท่านทั้งหลายที่ได้รับพระพรจากพระบิดาของเรา จงมารับเอาแผ่นดินซึ่งได้ตระเตรียมไว้สำหรับท่านทั้งหลายตั้งแต่แรกสร้างโลก เพราะว่าเมื่อเราอยากอาหารท่านก็ได้จัดหาให้เรากิน เรากระหายน้ำท่านก็ได้ให้เราดื่ม เราเป็นแขกแปลกหน้าท่านก็ได้ต้อนรับเราไว้ เราเปลือยกายท่านก็ได้ให้เสื้อผ้าเรานุ่งห่ม เมื่อเราเจ็บท่านก็ได้มาหาเรา เมื่อเราต้องจำอยู่ในพันธนาคารท่านก็ได้มาหาเรา เวลานั้นบรรดาผู้ชอบธรรมจะกราบทูลว่า พระองค์เจ้าข้า ที่ข้าพเจ้าเห็นพระองค์ทรงอยากพระกระยาหาร หรือ

ทรงกระหายนั้นและได้จัดมาถวายแก่พระองค์แต่เมื่อไร ที่ข้าพเจ้าได้เห็นพระองค์เป็นแขกแปลกหน้าและได้ต้อนรับไว้ หรือเปลือยพระกายและได้สวมฉลองพระองค์ให้แต่เมื่อไร ที่ข้าพเจ้าเห็นพระองค์

ทรงประชวรหรือต้องจำอยู่ในพันธนาคารและได้มาเฝ้าพระองค์นั้นแต่เมื่อไร แล้วพระมหากษัตริย์จะตรัสแก่เขาว่า เราบอกท่านทั้งหลายตามจริงว่า ซึ่งท่านได้กระทำแก่ผู้เล็กน้อยที่สุดคนหนึ่งในพวกพี่น้องของเรานี้ ก็เหมือนท่านได้กระทำแก่เราด้วย พระองค์จึงตรัสแก่บรรดาผู้ที่อยู่เบื้องซ้ายว่าเจ้าทั้งหลายผู้ต้องแช่งสาปจงถอยไปจากเราเข้าไปอยู่ในไฟซึ่งไหม้อยู่เป็นนิตย์ ซึ่งเตรียมไว้สำหรับมารและพรรคพวกของมันนั้น เพราะว่าเมื่อเราอยากอาหารเจ้าก็มิได้ให้เรากิน เรากระหายน้ำเจ้าก็มิได้ให้เราดื่ม เราเป็นแขกแปลกหน้าเจ้าก็ไม่ได้ต้อนรับเราไว้ เราเปลือยกายเจ้าก็ไม่ได้ให้เสื้อผ้าเรานุ่งห่ม เราเจ็บและต้องจำอยู่ในพันธนาคาร เจ้าก็ไม่ได้มาเยี่ยมเรา เขาทั้งหลายจะทูลว่า พระองค์เจ้าข้า ที่ข้าพเจ้าได้เห็นพระองค์ทรงอยากพระกระยาหารหรือทรงกระหายน้ำ หรือทรงเป็นแขกแปลกหน้าและเปลือยพระกาย หรือทรงประชวรและต้องจำอยู่ในพันธนาคาร และข้าพเจ้ามิได้ปรนนิบัติพระองค์นั้นแต่เมื่อไร เมื่อนั้นพระองค์จะตรัสแก่เขาว่า เราบอกเจ้าทั้งหลายตามจริงว่า ซึ่งเจ้ามิได้กระทำแก่ผู้เล็กน้อยที่สุดสักคนหนึ่งใน พวกนี้ เจ้าก็มิได้กระทำแก่เราด้วย และพวกเหล่านี้จะต้องไปรับโทษอยู่เป็นนิตย์ แต่ผู้ชอบธรรมจะเข้าในชีวิตนิรันดร์”

แล้วแม่ชีได้ชี้แจงเป้าประสงค์ในการทำงานของเธอ “ฉันไม่อ้างผลงานเหล่านี้เป็นของฉัน แต่เป็นงานของพระเจ้า ฉันเป็นเหมือนดินสออยู่ที่พระหัตถ์ของพระเจ้าแค่นั้น พระองค์เป็นผู้คิด, พระองค์เป็นผู้เขียน เพียงแต่ยอมให้พระหัตถ์ของพระองค์ใช้เท่านั้นเอง”

(Time Magazine 12/4/89, p.11)

แม่ชีเทริซามีแรงจูงใจในการทำงานด้วยความรัก แม่ชีเทริซาเรียนรู้จักการทำงานอันสำคัญยิ่งใหญ่มากกว่าตัวเธอเอง ซึ่งเป็นแรงจูงใจในการทำการที่ประสบความสำเร็จ ด้วยเหตุผลดังกล่าวมีคนมากมายอาสาสมัครจากทั่วโลกไปช่วยเธอทำงาน เธอทำงานโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

4. คนส่วนมากในโลกนี้ ใช้ชีวิตอย่างไม่มีความสุข แต่ลึกๆ ในใจของเรา พระเจ้าบอกความจริงว่า ชีวิตของเราน่าจะมีความหมายมากยิ่งกว่า “การกิน, ดื่ม, สนุกสนานเท่านั้น” จนกว่าเราจะใช้ชีวิตให้สัมพันธ์กับจุดประสงค์อันแท้จริง เราอาจจะทำการสำเร็จ ซื้อทุกสิ่งตามที่เราต้องการ เรายังคงพบกับความเบื่อหน่ายและความว่างเปล่าในชีวิต คนที่ใช้เวลาไปในการเที่ยวหา ซื้อรถยนต์, เสื้อผ้า, ซื้อเพชรนิลจินดา รู้ว่าจะยอมรับความจริงหรือไม่ก็ตาม ยิ่งมีวัตถุสิ่งของมากเท่าไร ชีวิตก็ยิ่งมีความรู้สึกว่างเปล่าเหมือนไม่มีอะไรเลย เป็นไปได้ที่คนเราจะมีชื่อเสียงโด่งดังในสังคม แต่ไม่รู้จักตัวของตัวเอง



5. ตัวอย่าง: Jack Lemmon นักแสดงกล่าวว่า “เหมือนคนอื่นทั่วไป ผมเคยคิดว่าความสำเร็จคือการมีเงินและมีชื่อเสียง คิดว่ามีเงินและมีชื่อเสียง ปัญหาทั้งสิ้นก็จบลง แต่มันไม่ใช่จบ แต่ปัญหามันเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่นแทน ปัญหาเป็นอย่างอื่นที่ใหญ่ขึ้นมากกว่าเดิม คนที่ทำงานกวาดถนนสามารถประสบความสำเร็จได้ถ้าเขารักในสิ่งที่เขาทำ และเขาทำดีที่สุดในสิ่งที่เขาทำ รักในสิ่งที่ท่านทำและมีเจตนาอันถูกต้องในการทำ นั่นแหละจะทำให้ท่านสำเร็จ

ข. ประการที่สอง: ความรักเป็นแรงจูงใจจะช่วยให้ชีวิตของคนมีทิศทาง

1. ถ้าเรามีทิศทางที่จะไปก็จะช่วยให้เรารู้จักใช้เวลาให้ดีที่สุดแต่ละวันอย่างไร? หวังใจว่าท่านได้เริ่ม

คิดแล้วว่าพระเจ้ามีจุดประสงค์อะไรในตัวท่าน ขึ้นอยู่ที่ตัวท่านจะก้าวจากตรงนั้นไปอย่างไร?

2. จินตนาการจะช่วยท่านอย่างดีในเรื่องการใช้เวลา สมมุติว่าหมอบอกท่านว่า ท่านมีชีวิตอยู่ได้อีกแค่หกเดือน ท่านจะใช้เวลาภายในหกเดือนอย่างไร? มีอะไรที่ท่านรู้ว่าท่านต้องทำบ้าง? ท่านอยากทำอะไร? และมีอะไรบ้างที่ท่านได้ทำแล้ว หรือมีบางสิ่งที่สำคัญมากที่ท่านควรทำแต่ท่านไม่ได้ทำ? ถ้าท่านตอบคำถามเหล่านี้ได้ก็จะช่วยให้ท่านรู้ว่าท่านควรใช้เวลาแต่ละวันอย่างไร

3. เปาโลประสบความสำเร็จในการรับใช้พระเจ้า เพราะเปาโลมีเป้าประสงค์เดียว

(ก) ฟิลิปปอย 3:12-13 “มิใช่ว่าข้าพเจ้าได้แล้วหรือลุโสดาแล้ว แต่ข้าพเจ้าบากบั่นมุ่งไปเพื่อข้าพเจ้าจะได้ฉวยเอาตามอย่างที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงฉวยเอาข้าพเจ้าไว้นั้น ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่ถือว่าข้าพเจ้าได้ฉวยไว้ได้แล้ว แต่มีอย่างเดียวคือว่าสิ่งเหล่านั้นที่ผ่านพ้นมาแล้วข้าพเจ้าก็ลืมเสีย และโน้มตัวออกไปหาสิ่งเหล่านั้นที่อยู่ข้างหน้า”

(ข) ฟิลิปปอย 1:20-21 “ตามความมุ่งหมายอย่างยิ่ง และความหวังของข้าพเจ้าว่าข้าพเจ้าจะไม่มีความละอายในสิ่งใดๆ เลย แต่เมื่อก่อนทุกครั้งมีใจกล้าเสมอฉันใด บัดนี้ก็ขอให้เป็นเช่นเดียวกันฉันนั้น แม้จะเป็นก็ดีหรือจะตายก็ดี พระคริสต์ก็จะได้รับเกียรติยศในร่างกายของข้าพเจ้า เพราะว่าสำหรับข้าพเจ้านั้น การที่มีชีวิตอยู่ก็ได้พระคริสต์ และการที่ตายก็ได้ดีกว่านั้น”

(ค) 2 ติโมเธียว 4:6-7 “ด้วยว่าฝ่ายข้าพเจ้านั้นโลหิตก็กำลังจะไหลออกเป็นเครื่องสักการบูชาแล้ว และเวลาซึ่งข้าพเจ้าจะต้องลาไปนั้นก็ใกล้จะถึงแล้ว ข้าพเจ้าเข้าในการปล้ำสู้อย่างดีแล้ว ข้าพเจ้าวิ่งแข่งถึงที่สุดปลายแล้ว ข้าพเจ้าได้รักษาความเชื่อนั้นไว้แล้ว”

4. ถ้าคริสเตียนทุกคนรู้จุดมุ่งหมายว่า เราอยู่ในโลกนี้ก็เพื่อทำให้โลกเป็นที่น่าอยู่น่าอาศัย เราทำอย่างนั้นได้ก็โดยสำแดงพระกิตติคุณแห่งความรัก และเราทำโดยการส่งรอยยิ้ม และสำแดงความรักแก่ทุกคนที่เราพบ นอกเหนือจากนั้น พระเจ้ามีจุดประสงค์พิเศษให้เราแต่ละคน เราจำเป็นต้องค้นหาเมื่อพบแล้วก็ดำเนินไปตามนั้น



5. ถ้าเราดำเนินชีวิตโดยไม่มีจุดหมายปลายทางก็จะเป็นเหมือนสุนัขล่าสัตว์วิ่งส่ายไปทั่ว โดยไม่รู้ว่าจะไปทางใด ตอนแรกมันได้กลิ่นกวาง มันวิ่งไปตามหากวาง อีกสักครู่มันได้กลิ่นกระต่ายป่า มันก็วิ่งไปตามกลิ่นนั้น พอเห็นกระรอกวิ่งผ่านหน้า มันก็วิ่งไล่ตามกระรอกไป พอเจ้าของสุนัขวิ่งไปถึงมันก็เห่าใส่หลุมกอล์ฟ เป็นการง่ายที่จะวิ่งไล่ตามอะไรที่ผ่านหน้าเรา จบลงด้วยการเห่าใส่หลุมกอล์ฟ เพราะเราไม่มีเป้าประสงค์ที่แน่นอนอย่างชัดเจนในสมองของเรา

ค. ประการที่สาม: ความรักเป็นแรงจูงใจจะช่วยให้เราใช้ชีวิตอยู่เหนือคำตำหนิ

และ คำนินทาต่างๆ ได้

1. การถูกตำหนิเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต โดยเฉพาะถ้าต้องการจะเปลี่ยนแปลงชีวิตให้มันดีขึ้น การมีเป้าหมายที่แน่นอนและรู้เหตุผลที่แน่นอน จะช่วยให้เผชิญหน้ากับการถูกตำหนิได้ง่ายขึ้น

2. จำเรื่องราวของนะเฮ็มยาใน OT. ได้ไหม? เขาเป็นเสนาบดีถวายเครื่องเสวยของกษัตริย์ อะระธาสัศธา แห่งเปอร์เซีย พระเจ้าเรียกให้นะเฮ็มยากลับไปกรุงยะรูซาเล็มเพื่อสร้างกำแพงตอนที่ท่านได้ทำหน้าที่ พวกศัตรูได้เข้ามารบกวนและตำหนิติเตียนท่านถึง 4 ครั้ง ท้าทายนะเฮ็มยาให้ออกไปสู้รบ แต่ 4 ครั้ง นะเฮ็มยาตอบว่า “ข้าพเจ้ากำลังทำการใหญ่ของพระเจ้า เราไปหาเจ้าไม่ได้”

3. เราก็เหมือนกันควรเป็นเหมือนนะเฮ็มยา ให้เราจดจ่อกับเป้าประสงค์ของพระเจ้า เป็นการง่ายที่เราจะถูกรบกวนสมาธิทำให้เราเบนออกไปนอกเส้นทาง และบ่อยครั้งสิ่งที่เราถูกตำหนิหรือตำหนิคนอื่นในคริสตจักร เป็นเรื่องขี้ผง อาทิตย์ต่อไปเราลืมแล้ว แต่รอยแผลที่ทิ้งไว้ใช้เวลากว่าจะรักษาให้หายได้

4. โลกตำหนิคริสเตียน เพราะโลกไม่เข้าใจเป้าหมายในชีวิตของเราอย่างแท้จริง ไม่ว่าโลกจะประณามว่าเราโง่ อย่าหวั่นไหว จงจ้องสายตาในสิ่งที่เราทำเพื่อพระเจ้า การถูกตำหนิติเตียนจะต้องเจอแน่นอน แต่ถ้าเราทำในสิ่งที่ถูกต้องด้วยเหตุผลที่ถูกต้อง จะเป็นแรงจูงใจให้เราทำการจนสำเร็จ

IV. เป้าประสงค์ดีเป็นแรงจูงใจที่ดี

จริงอยู่ความรักเป็นแรงจูงใจในการสร้างสรรสิ่งที่ดีงาม เป้าประสงค์ดีก็สมควรปลูกฝังในชีวิตของเรา

1. เป้าดีประการแรก: เป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าที่จะให้เราเป็นเหมือนพระเยซูพระบุตรของพระเจ้า

(ก) “ด้วยว่าผู้หนึ่งผู้ใดที่พระองค์ได้ทรงทราบอยู่แล้ว ผู้นั้นพระองค์ได้ทรงดำริไว้ให้เป็นตามพระลักษณะพระบุตรของพระองค์ เพื่อพระบุตรนั้นจะได้เป็นบุตรหัวปีท่ามกลางพวกพี่น้องเป็นอันมาก”

(โรม 8:29)



(ข) พระองค์ฝึกฝนอบรมและเฆี่ยนตีสั่งสอนเราเพื่อให้เราบรรลุเป้า “และท่านได้ลืมคำเตือนนั้นเสีย ซึ่งได้เตือนท่านเหมือนกับเตือนบุตรว่า ดูก่อนบุตรของข้าพเจ้า อย่าประมาทต่อการตีสอนขององค์ พระผู้เป็นเจ้า และอย่าระอาใจเมื่อพระองค์ทรงติเตียนท่านนั้น และพระองค์ทรงรับคนใดเป็นบุตร พระองค์ก็ทรงเฆี่ยนตีผู้นั้น” (เฮ็บราย 12:5-6)

(ค) เป้าที่ดีก็ต้องร่วมมือกับพระเจ้าในการพัฒนานิสัยให้เป็นเหมือนพระเยซู เราสามารถรับการ เฆี่ยนตีสั่งสอน, เรียนรู้ และเจริญเติบโต หรือเราจะดื้อรั้น และประสบกับความวุ่นวายต่างๆ ท่านเป็นผู้เลือกเอง ท่านตั้งเป้าที่จะเป็นเหมือนพระเยซู มุ่งมั่นในการอธิษฐาน, การนมัสการ, การร่วมสามัคคีธรรมกับพี่น้อง,ศึกษาพระคำของพระเจ้า เพื่อว่าพระคริสต์จะได้ก่อกำเนิดในตัวเรา

2. เป้าดีประการที่สอง: ในชีวิตของเรา เราควรทำอะไรที่มีคุณประโยชน์แก่ผู้อื่นอย่างถาวร

(ก) พระเยซูตรัสว่า “ท่านทั้งหลายมิได้เลือกเรา แต่เราได้เลือกท่านทั้งหลายและได้ตั้งท่านไว้เพื่อท่านจะได้เกิดผล และผลของท่านจะอยู่ถาวร เพื่อเมื่อท่านจะขอสิ่งใดจากพระบิดาในนามของเรา พระองค์จะทรงประทานสิ่งนั้นแก่ท่าน” (โยฮัน 15:16)

(ข) อัครสาวกเปาโลกล่าวว่า “เพราะว่าเราทั้งหลายเป็นกิจการของพระองค์ที่ทรงสร้างขึ้นใหม่ในพระเยซูคริสต์ เพื่อจะให้กระทำการดี ซึ่งพระเจ้าได้ทรงดำริไว้ก่อนให้เราประพฤติตามนั้น” (เอเฟโซ 2:10)

(ค) เป้าหมายในชีวิตแบบนี้จะยกชูเราให้สูงเหนือระดับเนื้อหนังมังสา เวลา, พลัง, เงินของเราส่วนมากจะใช้ไปกับการเลี้ยงชีพของเรา พระเยซูสอนไม่ให้เรากระวนกระวายใจด้วยสิ่งใด พระองค์สอนให้เราแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าก่อนสิ่งอื่นใด (มัดธาย 6:25-33)

(ง) ทุกวันนี้ท่านทำอะไร? สัปดาห์หน้านี้มีโปรแกรมธุระยุ่งกับอะไร เป็นธุระที่มีคุณค่าถาวรนิรันดร์หรือชั่วคราว? ท่านจริงใจตอบว่า “ไม่” ขอเสนอว่าท่านตั้งเป้าชีวิตของท่านเสียใหม่ว่าท่านจะใช้ชีวิตอย่างไร?

3. เป้าดีประการที่สาม: มีอุดมคติในชีวิตที่มีคุณค่าควรแก่การที่เรายอมตายเพื่อสิ่งนั้นได้

มีอะไรที่สำคัญที่สุดในชีวิตของท่าน?

(ก) พระเยซูตรัสว่า “เพราะว่าผู้ใดจะใคร่เอาชีวิตของตนรอด ผู้นั้นจะเสียชีวิต แต่ผู้ใดจะเสียชีวิตของตนเพราะเห็นแก่เราและเพราะเห็นแก่กิตติคุณของเรา ผู้นั้นจะได้ชีวิตรอด เพราะถ้าผู้ใดจะได้สิ่งของสิ้นทั้งโลก แต่ต้องเสียชีวิตของตน ผู้นั้นจะได้ประโยชน์อะไร?” (มาระโก 8:35-36)

(ข) ลองถามตัวเองดูว่า “ต้องการให้ชีวิตของเราจบลงอย่างไร?” บางคนบอกว่าไม่ทราบ ไม่เคยคิด มาก่อน

(ค) เป็นการดีที่จะถามตัวเองว่า ถ้าเราเหลือชีวิตอีกหกเดือนเราจะใช้ชีวิตอย่างไร? และถ้าเราจากไปแล้ว เราต้องการให้คนเขาระลึกถึงเราอย่างไร? คนจะคิดถึงท่านอย่างไร?

(ง) คนบางคนจะฆ่าหรือยอมตายเพื่อเงิน บางคนอาจจะยอมตายเพื่อคนที่ตนรัก บางคนยินดีตายเพื่อประกาศ คนเป็นอันมากตายเพื่อจะได้มาซึ่งเสรีภาพ อุดมการณ์ยิ่งใหญ่ก็คือ แผ่นดินของพระเจ้ามีคนเป็นอันมากยอมตายเพื่อพระเยซู เฮ็บราย 11 ได้ยกตัวอย่างบางคน

4. เบนไปจากเป้าทำให้ตาลาย: คนที่ไม่มีสมาธิ มักจะตาลาย โฟกัสไม่ชัดเจน

(ก) อุทาหรณ์: น่าสนใจที่สังเกตดูผู้ฝึกสิงห์โตให้เชื่อง ผมแปลกใจว่าทำไมคนฝึกสิงห์โตมักถือโต๊ะที่มี 4 ขา เวลามีการแสดงแล้วยังถือแซ่และก็ถือปืน เหตุผลก็ชัดเจน แต่ทำไมโต๊ะ 4 ขา มันไม่ได้ช่วยให้สิงห์โตเชื่องช้าลง มันยังดุมากขึ้น William H. Himson ผู้ฝึกสิงห์โตได้ชี้แจงว่า เหตุผลที่ใช้โต๊ะ 4 ขา เวลาฝึกก็เพราะว่า สิงห์โตจะโฟกัสโต๊ะที่มี 4 ขาพร้อมๆ กัน เมื่อมันทำอย่างนั้นมันยิ่งมองไม่เห็นชัดเจน ทำให้มันเชื่องมากขึ้น เมื่อสิงห์โตตาลาย ทำให้มันสับสนมันจึงไม่วิ่งเข้าใส่ผู้ฝึก

(ข) นั่นเป็นบทเรียนที่ดีสำหรับชีวิต ส่วนมากเรามีธุระยุ่ง ยุ่งกับธุระสารพัดอย่าง มากยิ่งกว่าโต๊ะ 4 ขา ทำให้เราเกิดตาลาย ผลทำให้ตาใจของเราตาลาย เรายุ่งกับธุระที่ไม่สำคัญทุกวันๆ แต่ธุระที่สำคัญกว่ากลับไม่สนใจ

(ค) ธุระของพระเจ้าที่สำคัญที่สุดคนมองข้าม หรือไม่ก็ผัดวันประกันพรุ่งไม่รู้สิ้นสุด ฝันว่าสักวันหนึ่งข้างหน้าเราคงมีเวลา

(ง) เราต้องการศูนย์กลางคือพระเยซู มีสายตาของเราจับจ้องอยู่ที่พระองค์

“เหตุฉะนั้นครั้นเรามีพยานหมู่ใหญ่อย่างนั้นอยู่รอบข้าง ให้เราทิ้งของหนักทุกสิ่งที่ขัดข้องอยู่ และการผิดที่เรามักง่ายกระทำนั้น และการวิ่งแข่งกันที่กำหนดไว้สำหรับเรานั้น ให้เราวิ่งด้วยความเพียรพยายามหมายเอาพระเยซูเป็นผู้นำ และเป็นผู้ส่งเสริมความเชื่อของเราให้สำเร็จ เพราะเห็นแก่ความยินดีที่มีอยู่ตรงหน้านั้น พระองค์ได้ทรงทนเอากางเขน ทรงถือว่าความละอายไม่เป็นสิ่งสำคัญอะไร และได้เสด็จนั่งเบื้องขวาพระที่นั่งของพระเจ้าแล้ว” (เฮ็บราย 12:1-2)



สรุป:

1. เมื่อพระเจ้าส่งซามูเอลไปบ้านยิซัยเพื่อจะเลือกกษัตริย์องค์ใหม่ของยิศราเอล พระองค์ตรัสกับซามูเอลว่า “แต่พระยะโฮวาทรงตรัสแก่ซามูเอลว่า อย่าเห็นแก่รูปหรือร่างสูงของเขา เพราะมนุษย์เคยแลดูหน้าตากัน แต่พระยะโฮวาทรงทอดพระเนตรดวงจิตต์” (1 ซามูเอล 16:7)

2. ดาวิดได้ถูกเลือกให้เป็นกษัตริย์องค์ใหม่แทนกษัตริย์ซาอูล ทั้งๆ ที่พระเจ้ารู้ว่าดาวิดจะทำให้พระเจ้าเสียพระทัยในความผิดที่เขาทำ ท่านคิดว่า ทำไมพระเจ้าเลือกดา

วันอังคารที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

การช่วยกู้จากพระเจ้า


เตือนใจไม่ให้ลืมพระเจ้า: DON’T FORGET THE LORD(ฉธบ. 8:11 *** 20)
ข้อ 11 "ท่านทั้งหลายจงระวังตัวอย่าลืมพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ด้วยไม่รักษาพระบัญญัติและกฎหมาย
และกฎเกณฑ์ของพระองค์ ซึ่งข้าพเจ้าได้บัญชาท่านในวันนี้
ข้อ 12 เกรงว่า เมื่อท่านได้รับประทานอิ่มหนำ ได้สร้างบ้านเรือนดีๆและได้อาศัย
อยู่ในนั้น
ข้อ 13 และเมื่อฝูงวัวและฝูงแพะแกะของท่านทวีขึ้น มีเงินทองมากขึ้น และบรรดาซึ่งท่านมีอยู่ก็ทวีขึ้น
ข้อ 14 จิตใจของท่านทั้งหลายจะผยองขึ้น และท่านทั้งหลายก็ลืมพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลายผู้
ทรงนำท่านทั้งหลายออกจากแผ่นดินอียิปต์ ออกจากแดนทาส
ข้อ 15 ผู้ทรงนำท่านมาตลอดถิ่นทุรกันดารใหญ่น่ากลัว ซึ่งมีงูแมวเซาและแมงป่อง และดินแห้งแล้งไม่มีน้ำ
ผู้ทรงประทานน้ำจากหินแข็งให้แก่ท่าน
ข้อ 16 ผู้ทรงเลี้ยงท่านทั้งหลายด้วยมานาในถิ่นทุรกันดาร ซึ่งปู่ย่าตายายของท่านไม่ทราบ เพื่อว่าพระองค์
จะทรงกระทำให้ท่านถ่อมใจและทดลองท่าน เพื่อกระทำให้เกิดประโยชน์แก่ท่านในบั้นปลาย
ข้อ 17 จงระวังให้ดีเกรงว่าท่านจะนึกในใจว่า "กำลังและเรี่ยวแรงของข้านำ
ทรัพย์มีค่านี้มาให้"
ข้อ 18 ท่านทั้งหลายจงจำพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลาย เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ให้กำลังแก่
ท่านที่จะได้ทรัพย์สมบัตินี้ เพื่อว่าพระองค์จะทรงดำรงพันธสัญญาซึ่งพระองค์ทรงกระทำโดยปฏิญาณ
ต่อบรรพบุรุษของท่าน ดังวันนี้
ข้อ 19 และถ้าท่านลืมพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ไปติดตามพระอื่นและปฏิบัตินมัสการพระเหล่านั้น
ข้าพเจ้าขอเตือนท่านจริงๆในวันนี้ว่าท่านจะต้องพินาศเป็นแน่
ข้อ 20 อย่างกับบรรดาประชาชาติซึ่งพระเจ้าทรงกระทำให้พินาศไปต่อหน้าท่าน ท่านทั้งหลายจะพินาศอย่าง
นั้นแหละ เพราะท่านไม่เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลาย
โครงร่าง
คนมักจะลืมพระเจ้าในเรื่องอะไรบ้าง
1. ลืมว่าพระเจ้าเป็นผู้ช่วยกู้ชีวิตของเรา (14ข – 15ก)
2. ลืมว่าพระเจ้าเป็นผู้จัดสรรสิ่งจำเป็นให้กับเรา (15ข – 16)
3. ลืมว่าพระเจ้าเป็นแหล่งแห่งกำลังของเรา (17 – 18)
4. ลืมว่าพระเจ้าเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้ (19ก)
ผลที่จะตามมาหากลืมพระเจ้า
เราจะพินาศ เช่น การสูญเสียความรอด (19ข – 20)
2
คำนำ
เรื่องเล่า
• สมชาย นักธุรกิจหนุ่มคนหนึ่ง กำลังตื่นเต้นที่มอบของขวัญให้ภรรยาเพราะเขาคิดว่า ภรรยาของเขาจะ
แปลกประหลาดใจ และเต็มไปด้วยความสุขแน่ เพราะเขาไม่ลืมวันเกิดของเธอ แต่เมื่อนักธุรกิจหนุ่มคน
นั้นยื่นของขวัญวันเกิดนั้นให้ภรรยาของเขา ปรากฏว่าภรรยาของเขากลับอยู่ในอาการแปลกประหลาด
นักธุรกิจหนุ่มจึงถามว่า “เธอไม่ดีใจหรอกหรือที่ฉันไม่เคยลืมวันเกิดของเธอเลย” ภรรยาจึงตอบชายคน
นั้น “ฉันจะดีใจได้อย่างไรก็ในเมื่อวันเกิดวันนี้มันเป็นวันเกิดของคุณ เอานี่ สุขสันต์วันเกิดค่ะ”
สรุป
• ชีวิตของเราก็เหมือนกัน ที่อาจจะลืมของบางสิ่งบางอย่าง จนเป็นเหตุให้เกิดปัญหา เช่น เราอาจเคยลืม
นำหลักฐานไปให้กับหน่วยงานที่เราติดต่อ จนเป็นเหตุให้ต้องกลับไปเอาอีก
• ถ้าลืมสิ่งเล็กๆน้อยๆอาจจะไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าเรายิ่งลืมสิ่งสำคัญมากที่สุด เราคงประสบกับปัญหาใหญ่
หลวงแน่ๆ
• เหมือนกับที่ชีวิตของบางคนมักไม่เคยลืมปากกา หมี POOH เวลาไปสอบ หรือไม่เคยลืมตุ๊กตาพระเจ้า
ARFIELDเวลาไปเที่ยว สิ่งเหล่านี้ไม่เคยลืมแต่เรากลับลืมที่สำคัญที่สุดนั้นคือ พระเจ้า
• พระเจ้าที่สามารถช่วยเราเวลาเกิดอุบัติเหตุ ได้แต่ ปากกา หมี POOH ช่วยเราไม่ได้
• พระเจ้าที่สามารถช่วยเราเวลาเจอปัญหาได้ แต่ ตุ๊กตา พระเจ้าARFIELD ช่วยเราไม่ได้
• และในพระธรรมเฉลยธรรมบัญญัติ บทที่ 8 นี้ เป็นบทที่โมเสสได้เตือนอิสราเอลไม่ให้ลืมสิ่งที่สำคัญที่สุด
นั้นคือ พระเจ้าของเขาและพระเจ้าของเราด้วย
อธิบายบริบท พระคัมภีร์
• พระธรรมเฉลยธรรมบัญญัตินี้ได้ถูกบันทึกขึ้นในยุคโมเสสช่วงปลายศตวรรษ กคศ.15
• โดยโมเสสได้บันทึกพระวจนะนี้ เพื่อเตือนใจให้แก่ อิสราเอลในรุ่นที่ 2 หลังจากอิสราเอลรุ่นแรกที่พระเจ้า
ทรงช่วยเขาให้ออกจาอียิปต์ เสียชีวิตหมด เหลือเพียงแต่โยชูวาและคาเลบ เพราะอิสราเอลรุ่นแรก ไม่ได้
เห็นคุณค่าและเชื่อฟังสิ่งที่พระเจ้าสอนพวกเขาไว้ จนเป็นเหตุให้พวกเขาต้องอยู่ในถิ่นทุรกันดาร 40 ปี
• เพราะเหตุนี้ โมเสสจึงได้เขียนพระธรรมเล่มนี้เพื่อเตือนใจ อิสราเอลรุ่นที่ 2 จะไม่ดำเนินรอยตาม
อิสราเอลรุ่นแรก และหันเหทางของเขาไปหาพระอื่น และเป็นการย้ำให้เขาจดจำการช่วยกู้ของพระเจ้า
เพราะเขาไม่ได้อยู่ในช่วงเวลาที่พระเจ้าทรงช่วยอิสราเอลในอียิปต์
• วันนี้เราเองก็เป็นอิสราเอลในผ่ายวิญญาณ เป็นผู้ที่เชื่อและวางใจในพระเจ้าเที่ยงแท้
• หวังว่าวันนี้พระธรรมตอนนี้จะมาถึงชีวิตของเรา เพื่อเตือนใจเราไม่ให้ลืมสิ่งที่สำคัญที่สุดนั้นคือ
พระเจ้าของเรา
• ผมจึงให้หัวข้อคำเทศนา วันนี้ว่า “เตือนใจไม่ให้ลืมพระเจ้า”
• ซึ่งจะมี 2 หมวดใหญ่ๆ
• พระคัมภีร์ ไ
โดย: [0 3] ( IP )

--------------------------------------------------------------------------------
ความคิดเห็นที่ 1
ด้เริ่มต้นอธิบายบริบทนี้ก่อนในข้อที่ (11 – 14ก)
3
• และในข้อ (14 – 19ก) ได้อธิบายเกี่ยวกับ หมวดที่ 1 คนมักจะลืมพระเจ้าในเรื่องอะไรบ้าง
• และในข้อ (19ข – 20) ได้อธิบายเกี่ยวกับ หมวดที่ 2 ผลที่จะตามมาหากลืมพระเจ้า
• เริ่มต้นบริบทในข้อ (11 – 14ก)
• โมเสสได้ให้คำนิยามของการลืม พระเจ้า ว่า แท้ที่จริงอะไรคือความหมายของการลืมพระเจ้า ซึ่งปรากฏ
อยู่ในข้อ 11
ข้อ 11 "ท่านทั้งหลายจงระวังตัวอย่าลืมพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ด้วยไม่รักษาพระ
บัญญัติและกฎหมายและกฎเกณฑ์ของพระองค์ ซึ่งข้าพเจ้าได้บัญชาท่านในวันนี้
• นิยามของการลืมพระเจ้านั้น ไม่ใช่การลืมในสมอง แต่คือการที่ไม่ได้ประพฤติหรือกระทำตาม
พระบัญญัติของพระเจ้าต่างหาก
• ดังนั้น แม้วันนี้เราจำพระคัมภีร์ได้หมดทุกข้อ แต่ชีวิตของเราไม่ได้ประพฤติตามพระวจนะ เราก็ได้
หลงลืมพระเจ้าไปแล้ว
• ซึ่งไม่ได้หมายความว่า การท่องจำพระวจนะไม่ดี
• เราจึงต้องระมัดระวังชีวิตของเรา เหมือนอย่างที่ พระคัมภีร์ เตือนให้ชีวิตของเราอยู่ในทางของ พระเจ้า
ตอบสนองพระองค์ในทุกทาง ไม่ให้เหมือนอิสราเอล
• เพราะในท้ายที่สุด อิสราเอลก็ลืมและไม่รักษาพระบัญญัติ โดยที่เมื่อเขาเข้าคานาอัน เขาก็ไม่ได้ทำลาย
คนคานาอันอย่างที่พระเจ้าสั่งเขาไว้จนเป็นเหตุให้หลังจากนั้นอีก 6 ศตวรรษ อิสราเอลก็ต้องตกเป็น
เชลยแก่คนพวกนี้
• วันนี้ชีวิตของเราตอบสนองเสียงของ พระเจ้า แล้วหรือยัง เรากำลังดำเนินชีวิตในเส้นทางแห่งความเชื่อ
ที่มีจุดทดสอบเราแต่ละขั้นที่ผลจะเกิดขึ้นจะมีอยู่ 2 ทางคือ การเกิดผลหรือคำแช่งสาป เราจำเป็นต้อง
เลือกเหมือนที่โมเสสกล่าวไว้
ฉธบ. 30:19 *** 20 19 ข้าพเจ้าขออัญเชิญสวรรค์และโลกให้เป็นพยานต่อท่านในวันนี้ว่า ข้าพเจ้าตั้ง
ชีวิตและความตาย พระพรและคำสาปแช่งไว้ต่อหน้าท่าน เพราะฉะนั้นท่านจงเลือก
เอาข้างชีวิตเพื่อท่านและลูกหลานของท่านจะได้มีชีวิตอยู่ข้อ 20 ด้วยมีความรักต่อ
พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระองค์ และติดพันอยู่กับ
พระองค์ กระทำเช่นนั้นจะได้ชีวิตและความยืนนาน เพื่อท่านจะได้อยู่ในแผ่นดินซึ่ง
พระเจ้าปฏิญาณแก่บรรพบุรุษของท่าน คือแก่อับราฮัมแก่อิสอัค และแก่ยาโคบว่า
จะประทานแก่ท่านเหล่านั้น"
• วันนี้เราจึงต้องระมัดระวังตัวเตือนใจเราเสมอ เพราะแม้เรายังอยู่ในบรรยากาศโบสถ์แต่เราอาจจะลืม
พระเจ้าไปแล้วก็ได้
• ใน ข้อ 12 – 14ก ได้เตือนเราให้ระมัดระวังเป็นพิเศษโดยเฉพาะในสถานการณ์ที่เรามักมีความอุดม
สมบูรณ์ เราจะลืมพระเจ้า !!
ข้อ 12 เกรงว่า เมื่อท่านได้รับประทานอิ่มหนำ ได้สร้างบ้านเรือนดีๆและได้อาศัยอยู่ในนั้น 13
และเมื่อฝูงวัวและฝูงแพะแกะของท่านทวีขึ้น มีเงินทองมากขึ้น และบรรดาซึ่งท่านมี
4
อยู่ก็ทวีขึ้น 14ก จิตใจของท่านทั้งหลายจะผยองขึ้น และท่านทั้งหลายก็ลืม
พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลาย…
• เพราะในเวลานั้นเราอาจจะมั่นใจตนเองมากเกินไป หยิ่งคิดว่าสิ่งที่เราสำเร็จได้วันนี้เพราะความสามารถ
แต่โมเสสก็เตือนสติ ให้เราตระหนักว่า พระเจ้า ต่างหากที่เป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จครั้งนี้
• ชีวิตของเราแต่ละคนมีความจำกัด เราต้องการคนอื่นเสมอ ไม่มีประสบความสำเร็จได้ด้วยตนเองลำพัง
• EX. ผู้ที่ประสบความสำเร็จในเวทีประกวดออสการ์ ทุกคนที่ขึ้นมารับรางวัลเขาจะกล่าวขอบคุณกลุ่ม
บุคคลต่างๆที่สนับสนุน เพราะตัวเขาตระหนักว่าตนเองมีความจำกัด ความสำเร็จไม่ได้มาจากการ
กระทำเพียงคนเดียวแต่มีผู้อื่นที่ช่วยสนับสนุน
• วันนี้สำหรับแขกผู้มีเกียรติบางท่าน ที่ยังไม่รู้จัก พระเจ้า ท่านอาจจะประสบความสำเร็จมากมายในชีวิต
และข้าพเจ้าก็เชื่อว่า ท่านมีความสามารถจริงๆ แต่ความจริงแท้อีกประการหนึ่งคือ มนุษย์ทุกคนมีความ
จำกัด จะมีบางสิ่งที่เราไม่สามารถควบคุมได้
• EX. การทำข้อสอบ – (ข้อสอบของเราหาย, ป่วยวันนั้น, กาข้อสอบผิด, อ่านหนังสือเก็งข้อสอบผิด ฯลฯ)
การทำงาน – (วางแผนว่าหุ้นนี้น่าจะเป็นอย่างนี้ แต่หุ้นกลับตก, ขายอันนี้น่าจะดี แต่กลับขายไม่ออก)
• เราทุกคนล้วนแต่มีความจำกัด หรือแม้แต่ตัวข้าพเจ้าเอง แต่วันนี้ข้าพเจ้ารู้จักผู้หนึ่งที่ไม่จำกัดและยินดี
ช่วยข้าพเจ้าเสมอ นั้นคือ พระเจ้า
• พี่น้องครับ เราจำกัด แต่พระเจ้าของเราไม่จำกัด
• เวลาที่เราประสบความสำเร็จ คริสเตียนจึงไม่ลืมที่จะขอบคุณพระเจ้าด้วยเพราะรู้ว่า (รม. 8:37) “ใน
เหตุการณ์ทั้งปวง เรามีชัยเหลือล้นโดยพระองค์ผู้ทรงรักเราทั้งหลาย”
• ดังนั้นเวลาที่เราประสบความสำเร็จ มีสิ่งต่างๆมากมาย เราต้องไม่ลืมพระคุณและตอบสนองพระคุณ
พระองค์ด้วยการรับใช้พระองค์ มีส่วนปรนนิบัติรับใช้พระเจ้า ดูแลฝูงแกะของพระเจ้า
• และในบริบทต่อมา พระคัมภีร์ ได้กล่าว (14ข – 19ก) ถึง
หมวดที่ 1 คนมักจะลืมพระเจ้าในเรื่องอะไรบ้าง 4 ประการ
1. ลืมว่า พระเจ้า เป็น
โดย: [0 3] ( IP )

--------------------------------------------------------------------------------
ความคิดเห็นที่ 2
ผู้ช่วยกู้ชีวิตของเรา (14ข – 15ก)
ข้อ 14ข *** 15ก และท่านทั้งหลายก็ลืมพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลายผู้ทรงนำท่านทั้งหลาย
ออกจากแผ่นดินอียิปต์ ออกจากแดนทาส15ก ผู้ทรงนำท่านมาตลอดถิ่นทุรกันดาร
ใหญ่น่ากลัว ซึ่งมีงูแมวเซาและแมงป่อง และดินแห้งแล้งไม่มีน้ำ...
• โมเสสได้พูดทวนย้อนให้อิสราเอลนึกถึงการช่วยกู้ของ พระเจ้า ที่มีต่ออิสราเอล ที่ช่วยอิสราเอลทั้ง
ตอนที่ข้ามทะเล, ช่วยให้พ้นภัยอันตรายจากทะเลทรายแห้งแล้ง เล็งถึง ความขัดสน ยากลำบาก
งูแมวเซา แมงป่อง เล็งถึง ความอันตราย
• ชีวิตของเราที่มาถึงวันนี้ได ้ เราต้องไม่ลืมว่าวันนี้ถา้ พระเจ้าไม่เขา้ ไปช่วยกู้เราจากเหตุการณ์วิกฤต
ครั้งนั้น เราคงไม่มีวันนี้
5
• มีหลายคนที่อาจจะเคยมีประสบการณ์การช่วยกู้ของ พระเจ้า ในชีวิตเมื่อตอนที่เรามาเชื่อ วันนี้เรา
ลืมพระคุณ การช่วยกู้นั้นแล้วหรือยัง วันนั้นเมื่อพระเจ้าช่วยเราแล้วเราตื่นเต้นบอกกับพระเจ้า
มากมายจะรับใช้ ติดจามพระเจ้าร้อนรนแน่ๆ แต่บัดนี้เรายังรู้สึกตื่นเต้นเหมือนวันนั้นหรือไม่
• พระวจนะจึงเตือนเรา วันนั้นที่ พระเจ้า ช่วยกู้เราจากโรคภัย, ปัญหาเศรษฐกิจ, ปัญหาความสัมพันธ์,
การเรียน
• อย่าให้เราลืม เพื่อเราจะไม่ลำพองตัวคิดว่า เรานี่แหละเป็นผู้กู้ชีวิตของเรา และต้องไม่ลืมไปว่า พระ
เจ้า เป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จนี้ เหมือนในเหตุการณ์ตอนที่พระเยซูรักษาคนโรคเรื้อน 10 คน
ลก. 17:17 *** 19 17 ฝ่ายพระเยซูตรัสว่า "มีสิบคนหายสะอาดมิใช่หรือ แต่เก้าคนนั้นอยู่ที่ไหน 18 ไม่
เห็นผู้ใดกลับมาสรรเสริญพระเจ้าเว้นไว้แต่คนต่างชาติ คนนี้" 19 แล้วพระองค์ตรัส
กับคนนั้นว่า "จงลุกขึ้นไปเถิด ความเชื่อของเจ้าได้กระทำให้ตัวเจ้าหายปกติ"
• คนหายจากโรคเรื้อน 10 คน แต่มีเพียง 1 คนที่จดจำว่าเขาได้หายโรคเพราะ พระเยซูคริสต์ช่วยเขา
และยังเป็นคนต่างชาติไม่ใช่ยิวด้วย
• วันนี้เราจึงต้องจดจำหนี้พระคุณพระเจ้าเสมอ
• แม้เจอปัญหาหนักอย่างไร? สบายอย่างไร? เราจะไม่ลืม พระเจ้า
• จงอย่าลืม แม้ในเวลาท่านอาจจะเจอปัญหาอยู่ เพราะ พระเจ้า ที่เคยช่วยในอดีตได้ก็จะช่วยท่านได้
อีกแน่
2. ลืมว่า พระเจ้า เป็นผู้จัดสรรสิ่งจำเป็นให้กับเรา (15 – 16)
ข้อ 15ข *** 16 15 ผู้ทรงประทานน้ำจากหินแข็งให้แก่ท่านข้อ 16 ผู้ทรงเลี้ยงท่านทั้งหลายด้วยมานา
ในถิ่นทุรกันดาร ซึ่งปู่ย่าตายายของท่านไม่ทราบ เพื่อว่าพระองค์จะทรงกระทำให้ท่าน
ถ่อมใจและทดลองท่าน เพื่อกระทำให้เกิดประโยชน์แก่ท่านในบั้นปลาย
• พระคัมภีร์ กล่าวถึง มานา และ น้ำ ที่พระเจ้าประทานให้ อิสราเอล เมื่อเขาอยู่ในถิ่นทุรกันดาร
• อิสราเอลไม่เคยขาดสิ่งจำเป็น พระเจ้าทรงประทานให้เขาเสมอ และถ้าพระเจ้าในวันนั้นยังทรงเป็น
พระเจ้า ที่รู้ว่าเราจำเป็น ต้องการ ในวันนี้ พระเจ้า องค์เดียวกัน ก็จะช่วยเหลือท่านได้ด้วย
• ในทะเลทรายเต็มไปด้วย เวิ้งว้างกันดารอาหารหายากมาก แต่พระเจ้าทรงเลี้ยงอิสราเอลด้วยมานาซึ่ง
เป็นสิ่งจำเป็น
• ไม่เพียงเท่านั้น เรากินมานา 4 *** 5 วัน ก็ยังไม่ตายเร็วเท่ากับการขาดน้ำ 3 *** 4 วัน แต่พระเจ้าเลี้ยงดู
อิสราเอลด้วยน้ำซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นในการเดินในถิ่นทุรกันดาร
มธ. 6:31 *** 32 31 เหตุฉะนั้น อย่ากระวนกระวายว่า จะเอาอะไรกิน หรือจะเอาอะไรดื่ม หรือจะเอา
อะไรนุ่งห่มข้อ 32 เพราะว่าพวกต่างชาติแสวงหาสิ่งของทั้งปวงนี้ แต่ว่าพระบิดาของ
ท่านผู้ทรงสถิตในสวรรคท์ รงทราบแลว้ ว่า ท่านต้องการสิ่งทั้งปวงเหล่านี้พระบิดาทรง
ทราบแล้วว่า ท่านต้องการสิ่งทั่งปวงเหล่านี้ (33) แต่ให้เราแสวงหาแผ่นดินของพระ
เจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน
6
• เราจึงไม่ควรสงสัย พระเจ้า เอเมนมั้ยครับ?
• วางใจพระองค์ทำส่วนของเราเต็มที่ ติดตาม พระเจ้า เต็มที่ ให้ชีวิตของเราเป็นพยาน
• บางครั้ง พระเจ้า อนุญาตทดสอบเราเพื่อให้เราเติบโต EX. การสอบเพื่อวัดผลตนเอง เพื่อเป็น
ประโยชน์แก่เรา เราจะได้โตแต่รับพระพร
1 ซมอ. 1 พระเจ้าทดสอบใจนางฮันนาห์ และ เมื่อเธอตัดสินใจ
1 ซมอ. 21 พระเจ้าอวยพรเธอ
1 ซามูเอล 2:21 และพระเจ้าทรงเยี่ยมเยียนฮันนาห์ และนางก็ได้ตั้งครรภ์คลอดบุตรเป็นชายสามหญิง
สอง และกุมารซามูเอลก็เติบโตขึ้นเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า
• พระเจ้าทดสอบ ฮับราฮัม เมื่อเขาตัดสินใจ
ปฐมกาล 22:12 ทูตสวรรค์ว่า "อย่าแตะต้องเด็กนั้นหรือกระทำอะไรเขาเลย เพราะบัดนี้เรารู้แล้วว่า
เจ้ายำเกรงพระเจ้า ด้วยเห็นว่าเจ้ามิได้หวงบุตรชายของเจ้า แต่ยอมถวายบุตรชาย
คนเดียวของเจ้าให้เรา"
• พระเจ้า ทดสอบเราก็เพื่อเรา
ยากอบ 1:2 *** 4 ดูก่อนพี่น้องของข้าพเจ้า เมื่อท่านทั้งหลายประสบความทุกข์ยากลำบากต่างๆก็จงถือ
ว่าเป็นเรื่องน่ายินดีเพราะท่านทั้งหลายรู้ว่า การทดลองความเชื่อของท่านนั้นทำให้
เกิด ความหนักแน่นมั่นคงและจงให้ความมั่นคงนั้
โดย: [0 3] ( IP )

--------------------------------------------------------------------------------
ความคิดเห็นที่ 3
นบรรลุผลอันสมบูรณ์ เพื่อท่าน
ทั้งหลายจะได้เป็นคนที่ดีพร้อม มีคุณสมบัติครบถ้วน ไม่มีสิ่งใดบกพร่องเลย
3. ลืมว่า พระเจ้า เป็นแหล่งแห่งกำลังของเรา (17 – 18)
ข้อ 17 *** 18 17 จงระวังให้ดีเกรงว่าท่านจะนึกในใจว่า "กำลังและเรี่ยวแรงของข้านำทรัพย์มีค่านี้
มาให้"ข้อ 18 ท่านทั้งหลายจงจำพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลาย เพราะว่า
พระองค์ทรงเป็นผู้ให้กำลังแก่ท่านที่จะได้ทรัพย์สมบัตินี้ เพื่อว่าพระองค์จะทรงดำรง
พันธสัญญาซึ่งพระองค์ทรงกระทำโดยปฏิญาณต่อบรรพบุรุษของท่าน ดังวันนี้
• โมเสสเตือนใจอิสราเอล ในเวลานั้นเพราะด้วยพวกเขามั่งคั่งอยู่ในช่วงเวลาเก็บเกี่ยวผลต่างๆ
มากมายกลัวเขาจะลืมว่ากำลังของเขาจำกัดแต่ พระเจ้า ทรงอยู่เบื้องหลังแห่งกำลังของเขา
• เหมือนอย่างที่ดาวิดเป็นกษัตริย์ที่รู้ว่า พระเจ้าทรงเป็นกำลังของเขา
สดุดี 18:1 ข้าแต่พระเจ้า พระกำลังของข้าพระองค์ ข้าพระองค์รักพระองค์
• และเมื่อเขาไปรบที่ไหน ความสำเร็จเป็นของเขาเสมอ และเมื่อเขาไปรบที่ใดเขาจะทูลถาม พระเจ้า
ก่อนการรบทุกครั้ง
ฟป. 4:13 ผจญทุกสิ่ง โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า
• พระเจ้า สัญญาไว้แล้วว่าเราจะได้ทุกอย่างเพียงพอ ถ้าเราเดินกับพระองค์สัตย์ซื่อ เราจึงอวดพระ
เจ้าของเรามากกว่าตัวเรา
สดุดี 20:7 บ้างก็โอ้อวดเรื่องรถรบ บ้างก็เรื่องม้า แต่เราอวดเรื่องพระนามพระเจ้าของเรา
7
4. ลืมว่า พระเจ้า เป็น พระเจ้า เที่ยงแท้ (19ก)
ข้อ 19ก และถ้าท่านลืมพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ไปติดตามพระอื่นและปฏิบัตินมัสการ
พระเหล่านั้น...
• โมเสสเตือนอิสราเอล เพราะเมื่อเขาจะเข้าคานาอัน เขาจะเจอกับพระของชาวคานาอันต่างๆมากมาย
แต่พระเหล่านั้นไม่ใช่ พระเจ้า ที่เป็นพระผู้สร้าง เกรงอิสราเอลจะถูกกลืน
• และเกรงว่าเขาจะประนีประนอมว่า พระอื่นก็เป็น พระเจ้า ของเขา แต่ พระเจ้า ยืนยัน พระเจ้า ทรง
เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้แต่องค์เดียว
สดด. 155:4 *** 8 รูปเคารพเป็นสิ่งที่พูดไม่ได้ มาจากมือมนุษย์แต่พระเจ้า ไม่ได้มาจากมือมนุษย์วัน
สุดท้ายเขาจะเลือกพระของเขาเอง
2 ทิโมธี 4:3 *** 4 เพราะจะถึงเวลาที่คนจะทนต่อคำสอนที่มีหลักไม่ได้ แต่เขาจะรวบรวมครูไว้ให้สอน
ในสิ่งที่เขาชอบฟัง เพื่อบรรเทาความอยาก4 เขาจะเลิกฟังความจริง และจะหันไป
ฟังเรื่องนิยายต่างๆ
ฟิลิปปี 3:19 ปลายทางของคนเหล่านั้นคือความพินาศ พระของเขาคือกระเพาะ เขายกความที่น่า
อับอายของเขาขึ้นมาโอ้อวด เขาสนใจในวัตถุทางโลก
• พระเจ้าของเราที่เรากำลังรู้จักเป็นพระผู้สร้างสรรพสิ่งและทุกสิ่งรอบข้างในชีวิตของเราสะท้อนว่ามี
พระเจ้า จริง
หมวดที่ 2 ผลที่ตามมาหากลืมพระเจ้า (19ข – 20)
ข้อ 19ข *** 20 19 ...ข้าพเจ้าขอเตือนท่านจริงๆในวันนี้ว่าท่านจะต้องพินาศเป็นแน่ 20 อย่างกับ
บรรดาประชาชาติซึ่งพระเจ้าทรงกระทำให้พินาศไปต่อหน้าท่าน ท่านทั้งหลายจะ
พินาศอย่างนั้นแหละ เพราะท่านไม่เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของ
ท่านทั้งหลาย
• ความพินาศ พระเจ้า ได้เตือนอิสราเอลไว้ว่า ความพินาศจะมาถึงเขาไม่ใช่พินาศเพราะ พระเจ้า จะทรงตี
เขาเท่านั้น แต่ในสิ่งที่ไม่เชื่อฟังนั่นแหละจะกระทำให้เขาพินาศเอง (เขาตกเป็นเชลย, โดนโรคระบาด)
• เพราะในสิ่งที่เขาทำผิดลงไปกระทำ มันจะตอบสนองกลับมาเอง อันเป็นผลเสียมาจาการกระทำของคน
นั้น
• นอกจากนี้ พระเจ้าจะเป็นผู้พิพากษาและทำลายแผนงานที่ต่อสู้หรือค้านกับระบบของพระเจ้าอีกด้วย
ยกตัวอย่างเรื่องการสร้างหอบาเบล
ปฐก. 11:8 “พระเจ้าจึงทรงทำให้เขากระจัดกระจายจากที่นั่นไปทั่วพื้นแผ่นดิน คนเหล่านั้นก็เลิก
สร้างเมืองนั้น”
• การสร้างหอถูกยุติลง
8
• ดังจะเห็นว่า ระบบอะไรที่สวนกลับระบบพระเจ้า มันจะไม่ยั่งยืนเหมือนคอมมิวนิสต์ ที่มันจะล้มครืนใน
ที่สุด
• และเมื่อเราลืม พระเจ้า ในที่สุดเราจะทิ้ง พระเจ้า และความพินาศจะมาถึงเรานั่นคือ การตกบึงไฟนรก
• นรก สวรรค์ มีจริง
• และแม้วันนี้เราลืมพระเจ้า ความพินาศในรูปธรรมอาจจะยังไม่มาถึง แต่อาการพินาศก็ได้เริ่มตั้งแต่
เดี๋ยวนี้ในฝ่าย วิญญาณ แล้ว นั่นก็คือ เรากำลังหมดสันติสุข ความชื่นชมยินดีในฝ่ายวิญญาณ
• และวันนี้ พระวจนะได้มาเตือนใจเราไม่ให้ลืม พระเจ้า
• ให้เราอธิษฐานร่วมกันด้วย
เพลงตอบสนอง เพลงพระคริสต์เป็นเจ้าชีวิตของข้า
....................................
โดย: may/peeairclub@yahoo.com (เจ้าบ้าน ) [18 ก.ค. 51 12:37] ( IP A:203.99.253.8 X: )

วันอาทิตย์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

พระธรรมกิจการของอัครทูต


พระธรรมกิจการของอัครทูต เป็น

เรื่องราวของพระวิญญาณบริสุทธิ์
เรื่องของบรรดาอัครทูตยืนยันถ้อยคำขององค์พระผู้เป็นเจ้า
การกระจายของผู้เชื่อในพระคริสต์
งานรับใช้ของเปาโลสู่คนต่างด้าว
ขยายความพระคำใน มก 16:20
บันทึกการเสด็จลงมาของพระวิญญาณบริสุทธิ์เหนือคริสตจักรใหม่
พูดถึงอาณาจักร 1000 ปี ตลอดทั้งเล่ม
คนต่างด้าวได้รับความรอดและจะรับผิดชอบพระกิตติคุณแทนอิสราเอล(ยิว) (มธ 21:33-46 , 23:37-39 , ยน 10:16)
มีการสำรวจธรรมบัญญัติของโมเสส และในที่สุดสรุปว่า คริสเตียนไม่อยู่ภายใต้ธรรมบัญญัติ
Ceased not to teach and preach Jesus Christ. อย่าอยุดที่จะสั่งสอนและเทศนาเรื่องพระเยซูคริสต์ (กจ 5:42)

หน้าที่ประจำวันของคริสเตียน 10 ประการ (Ten daily duties of Christians)

อธิษฐาน (Prayers) (มธ 6:11 , ลก 11:3)
รับกางเขนของตน (Take up daily cross) ลก 9:23 "เอาชนะตัวเอง และรับกางเขนของตนแบกทุกวันและตามเรามา" (If any man will come after me, let him deny himself and take up his cross daily and follow me.) พระวจนะตอนนี้ไม่ได้เขียนว่า ตรึงกางเขนตนเอง หรือ ตรึงเนื้อหนัง แต่บอกให้แบกกางเขนของตน
เอาชนะตนเอง หรือ ปฏิเสธตนเอง มีตัวอย่างในพระคัมภีร์คือ
อับราฮัม ปฐม 13:9 (อับรามแยกกับโลท) ปฐม 22:1-12 อับราฮัมถวายอิสอัค
โมเสส ฮบ 11:25 , กดว 16:15 (กบฎโคราห์)
ซามูเอล 1 ซมอ 12:3-4
หญิงม่ายชาวศาเรฟัท 1 พกษ 17:8-16
เอสเตอร์ อสธ 4:16
เรคาบ ยรม 35:3-4
อัครทูต กจ 20:24
รวมกันอย่างสม่ำเสมอ (Continue in one accord) กจ 2:46 "เขาได้ร่วมใจกันไปในพระวิหาร และหักขนมปังตามบ้านของเขา ร่วมรับประทานอาหารด้วยความชื่นชมยินดี และใจกว้างขวาง ทุกวันเรื่อยไป" หรือหมายถึง รวมกันในโบสถ์ รวมกันในกลุ่มเซลล์ตามบ้าน ร่วมรับประทานอาหาร หลังนมัสการสรรเสริญและฟังคำเทศนาในวันอาทิตย์ น่าจะมีการร่วมกันรับประทานอาหาร จึงจะถูกต้องกว่า
สอน มธ 26:55 , ลก 19:47
นำคนมารับความรอด (Win souls) กจ 2:47 , 16:5
ประกาศพระเยซู (Preach Jesus) กจ 5:42
ค้นดูพระคัมภีร์ทุกวัน (Search the scriptures) กจ 17:11
สัมมนาข้อพระคำ (สนทนาพระคัมภีร์) (Discuss scriptures) กจ 19:9
มีความรับผิดชอบ มีความห่วงใยคริสตจักร (Carry resopnsibility) 2คร 11:28 "the care of all the churches"
เตือนสติกันและกันทุกวัน (Exhort one another) ฮบ 3:13 "ท่านจงเตือนสติกันและกันทุกวัน ตลอดเวลาที่เรียกว่า "วันนี้" เพื่อว่าจะไม่มีผู้ใดในพวกท่าน มีใจแข็งกระด้างไป เพราะเล่ห์กลของบาป"

วันอังคารที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ดาวิด จากเด็กเลี้ยงแกะ สู่กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่


ดาวิด เป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ในพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม เริ่มปกครองอิสราเอลตั้งแต่อายุ 30 ปี และครองราชย์ นานถึง 40 ปี (2 ซามูเอล 5:4) จากเด็กเลี้ยงแกะในทุ่งหญ้า (1 ซามูเอล 16:11) พระเจ้าได้เลือกเขา เข้าสู่ราชบัลลังค์อิสราเอล และดาวิด ก็เป็นบิดาของกษัตริย์ผู้เรืองปัญญาที่สุดในประวัติศาสตร์โลก "ซาโลมอน"

ดาวิด ปรากฎตัวครั้งแรกในหนังสือ 1 ซามูเอล 16 หลังจาก ซาอูล กษัตริย์องค์แรกของอิสราเอล ไม่เชื่อฟังพระเจ้า เขาไม่สำนึกผิด และยังคงทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า พระเจ้าได้ถอดซาอูลออกจากการเป็นกษัตริย์ และใช้ให้ ซามูเอล ผู้เผยพระวจนะคนสำคัญ เจิมดาวิด เด็กหนุ่มอายุ 17 เป็นกษัตริย์ขึ้นแทน (1 ซามูเอล 16:13)

ดาวิด เป็นเด็กเลี้ยงแกะ "เป็นคนผิวแดงๆ มีหน้าตาสวยและรูปร่างงามน่าดู" (1 ซามูเอล 16:11-12) มีความสามารถ ในการดีดพิณ เป็นคนพูดเก่ง กล้าหาญ พระวิญญาณพระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วย (1 ซามูเอล 16:18) ดาวิด มีอารมณ์ศิลปินที่อ่อนไหว เขียนโคลงและคำสรรเสริญพระเจ้าในสดุดี ที่เป็นแบบอย่างดีที่สุด ท่านรักพระเจ้า ด้วยสุดจิต สุดใจ และเชื่อฟังพระเจ้าอยู่เสมอ

วีรกรรมอันเรืองชื่อของดาวิด

วีรกรรมหนึ่งที่น่าจดจำ คือ ความกล้าหาญ มีความเชื่อมั่น และพึ่งพาพระเจ้า เมื่อครั้งดาวิดยังเป็นเด็กหนุ่ม ชาวอิสราเอล ถูกยักษ์ชาวฟิลิสเตียท้าให้มารบอยู่หลายวัน แต่ไม่มีผู้กล้าคนใดอาสาออกมาเลย มีเพียงเด็กเลี้ยงแกะ ที่ดีดพิณให้พระราชาฟัง อาสาออกรบโดยไม่สวมยุทธภัณฑ์ใดๆ และดาวิดล้มยักษ์ ชาวฟิลิสเตีย ด้วยก้อนหินจากสลิง และตัดคอด้วยดาบของยักษ์เอง (1 ซามูเอล 17:48-51) เหมือนดังที่เคย ฆ่าสิงโตและหมี ครั้งที่เขาเคยเลี้ยงแกะ (1 ซามูเอล 17:34) เพราะดาวิดมั่นใจเสมอ ว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเขา!

" อยู่มาเมื่อคนฟีลิสเตียคนนั้นลุกขึ้นเข้ามาใกล้เพื่อ ปะทะดาวิด ดาวิดก็วิ่งเข้าหาแนวรบ เพื่อปะทะกับคนฟีลิสเตีย คนนั้นอย่างรวดเร็ว และดาวิดเอามือล้วงเข้าไปในย่าม หยิบหินก้อนหนึ่งออกมา แล้วเหวี่ยงหินก้อนนั้น ด้วยสายสลิง ถูกคนฟีลิสเตียคนนั้นที่หน้าผาก ก้อนหินจมเข้าไปในหน้าผาก เขาก็ล้มหน้าคว่ำลงที่ดิน ดังนั้นดาวิดก็ชนะคน ฟีลิสเตียคนนั้น ด้วยสลิงและก้อนหินก้อนหนึ่ง และคว่ำคนฟีลิสเตียคนนั้นลง และฆ่าเขาเสีย ดาวิดไม่มีดาบ อยู่ในมือ แล้วดาวิดวิ่งไปยืนอยู่เหนือคนฟีลิสเตียคนนั้น หยิบดาบของเขาชักออกจากฝัก ฆ่าเขาเสีย และตัดศีรษะ ของเขา ออกเสียด้วยดาบ เมื่อคนฟีลิสเตียเห็นว่ายอดทหารของเขาตายเสีย แล้วก็พากันหนีไป "

ทั้งที่ดาวิดเป็นคนกล้าหาญ และเป็นชายชาตินักรบ แต่ท่านเป็นคนอ่อนสุภาพ ให้เกียรติผู้อื่น ในขณะที่ซาอูล พยายามจะสังหารดาวิดอยู่หลายครั้งหลายคราว ดาวิดกลับไว้ชีวิตซาอูล แม้โอกาสจะอยู่ตรงหน้า นอกจากนี้ ดาวิดยังมีจิตใจเมตตา คอยเอื้อเฟื้อช่วยเหลือญาติที่เหลืออยู่ของซาอูล และโยนาธานเพื่อนรักเก่า แม้ท่านจะ ครองราชย์เป็นกษัตริย์แล้วก็ตาม ท่านตั้งใจจะไม่รับบังลังค์อิสราเอลโดยวิธีฆ่าคนที่เป็นครอบครัวของซาอูล แต่กลับประหารพวกที่ได้ฆ่าบุตรชายของซาอูล

ดาวิดอยากจะสร้างวิหาร เพื่อนมัสการพระเจ้า และพระเจ้าก็อนุญาต แต่ช่วงเวลาของดาวิดเอง มีการสงคราม อันทำให้เลือดตกเป็นอันมาก พระเจ้าจึงวางแผนให้ราชโอรสของดาวิด เป็นผู้สืบทอดในอนาคต อย่างไรก็ตาม ดาวิด ช่วยเหลือซาโลมอนทุกอย่าง โดยเตรียมวางโครงการไว้ และช่วยในเรื่องการเงิน วัสดุก่อสร้างต่างๆ (1 พงศาวดาร 22:2-6; 28:11)

ผลแห่งความบาปในราชวงศ์

การสงครามมากมายในช่วงการปกครองของดาวิด ทำให้ดาวิดอยากจะปลีกตัวพักผ่อนอยู่ในพระราชวัง และพระองค์ได้กระทำผิดอย่างร้ายแรง มีผลทำให้ชีวิตตอนหลังมีความทุกข์โศกมากมาย ท่านล่วงประเวณีกับ นางบัทเชบา ทั้งที่นางมีสามีอยู่แล้ว และเมื่อนางตั้งครรภ์ ท่านจึงวางแผนฆ่าสามีที่ชื่ออุรีอาห์ พระเจ้าจึงลงโทษ โดยครอบครัวของดาวิดจะต้องแตกแยก ด้วยการผิดประเวณีและฆ่าคน (2 ซามูเอล 12:7-12) แต่ดาวิด เป็นแบบอย่าง ของการกลับใจที่ดี ท่านได้สารภาพความผิดบาป สำนึกและยอมต่อพระเจ้าอย่างแท้จริง และพระเจ้า ก็กรุณา โปรดอภัยให้ แต่ไม่ได้ทำให้ดาวิดพ้นความเดือนร้อน เพราะสิ่งที่ดาวิดทำไปแล้ว ย่อมมีผลร้ายตามมา

ผลการกระทำแห่งความบาป ดาวิดต้องสูญเสียบุตรชายคนแรกที่เกิดกับนางบัทเชบา บุตรชายของดาวิดคนหนึ่ง ข่มขืนน้องสาวของตัวเอง แล้วถึงความตายด้วยมือของบุตรชายอีกคนหนึ่ง นอกจากนั้น ราชโอรสของคนอื่นๆ ได้ทำการกบฎซ้ำแล้วซ้ำเล่า ดาวิดต้องระหกระเหินเพราะการกบฎของบุตรชาย แต่ในที่สุด บุตรที่กบฎก็ถูกฆ่าตาย ตลอดเวลาการปกครองของดาวิด มีการขัดแย้งทั้งภายในและภายนอกราชวังอยู่เสมอ แม้ในขณะที่จะสิ้นพระชนม์ จนกระทั่งซาโลมอนได้เป็นผู้สืบราชบัลลังก์แทน
พระพรของดาวิด

อย่างไรก็ตาม ดาวิดนับเป็นบุคคลที่พระเจ้าพอพระทัย ท่านเป็นแบบอย่างที่ดีของผู้เชื่อฟัง เรื่องราวของดาวิด ปรากฎอยู่ในหนังสือหลายเล่มของพระคัมภีร์ อีกทั้งท่านยังแต่งบทเพลงสรรเสริญพระเจ้า ในสดุดี 73 บท จากทั้งหมด 150 บท ได้อย่างลึกซึ้งและจับใจ ท่านจัดระเบียบในการนมัสการในพระวิหาร จัดตั้งกลุ่มนักร้อง และนักดนตรีจนสืบต่อมารุ่นหลัง

พระเจ้ากำหนดให้พระเมสิยาห์ เป็นเชื้อสายของดาวิด แต่ยิ่งใหญ่กว่าหลายเท่า พระองค์จะประทับ บนบัลลังก์ของกษัตริย์ดาวิด (อิสยาห์ 9:7; เยเรมีห์ 23:5; 33:15; มัทธิว 12:23; ลูกา 1:32; ยอห์น 7:42) และพระเมสิยาห์ ก็ยังเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของดาวิดด้วย (โรม 1:3-4; วิวรณ์ 22:16)

ถ้าพูดถึงบุคคลดังในพระคัมภีร์ หลายคนจะนึกถึงดาวิดเป็นคนแรก เพราะวีรกรรม และเรื่องราวที่น่าจดจำ ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์มากมาย ท่านจึงนับเป็นบุคคลตัวอย่าง ให้คนรุ่นหลัง ทั้งอนุชน และคริสเตียนทั่วไป ศึกษาเป็นตัวอย่างในหลายๆ แง่มุมอีกคนหนึ่ง

วันจันทร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2551

พระคริสต์ธรรมคัมภีร์


....พระคริสตธรรมคัมภีร์ มีทั้งหมด 66 เล่ม โดยมีกาีรแยกเป็น 2 ภาค ภาคแรกเรียกว่า พันธสัญญาเดิมมีอยู่ 39 เล่ม มีเนื้อหาประมาณสามในสี่ของพระคริสต์ธรรมคัมภีร์ทั้งเล่ม เขียนขึ้นโดยผู้ที่ได้รับการดลใจจากพระเจ้า 35 คน และภาคที่สองเรียกว่าพันธะสัญญาใหม่มีอยู่ 27 เล่ม เขียนขึ้นโดยอัครสาวกและสาวกของพระเยชู โดยแต่ละเล่มสรุปย่อๆ ได้ดังต่อไปนี้ ....


พันธสัญญาเดิม
........1.ปฐมกาล ปฐมกาลแปลว่า เริ่มแรก หนังสือปฐมกาลเป็นเรื่องการเริ่มต้นของหลายสิ่งหลายอย่าง เช่นการเริ่มต้นของจักรวาล การเริ่มต้นของมนุษย์ชายหญิง ...
การที่บาปเริ่มเข้ามาในชีวิตมนุษย์ และการที่พระเจ้าเริ่มให้พระสัญญาญเกี่ยวกับความรอด นอกจากนั้นยังกล่าวถึงชนชาติของพระเจ้าโดยเฉพาะ
และแผนการของพระเจ้าสำหรับชีวิตของพวกเขา เราจะได้รู้จักกับอาดัมและเอวา โนอาห์ อับราฮัม อิสอัค ยาโคบ และโยเซฟกับพวกพี่น้องของเขา ...


........2.อพยพ อพยพแปลว่า "โยกย้ายออกไป" หนังสืออพยพบรรยายถึงชนชาติของพระเจ้าต่อจากหนังสือปฐมกาล เป็นเรื่องที่พระเจ้าทรงเลือกโมเสสให้เป็นผู้นำประชาชนอิสราเอลออกจากการเป็นทาสในอิยิปต์ไปยังแผ่นดินพระสัญญาญ คือคานาอัน
พระเจ้าทรงสำแดงให้ประชากรของพระองค์เห็นว่า พระองค์ทรงมีฤทธิ์อำนาจยิ่งใหญ่เหนือฟาโรห์ของคนอิยิปต์ผ่านทางภัยพิบัติสิบอย่างและการแหวกทะเลแดง และในระหว่างที่คนอิสราเอลเร่ร่อนอยู่ในถิ่นทุรกันดารพระเจ้าทรงประทานกฎเกณฑ์ต่างๆ ให้พวกเขาถือปฎิบัติรวมทั้งพระบัญญัติสิบประการด้วย
นอกจากนั้นพระเจ้ายังเตือนประชากรของพระองค์ตลอดเวลาว่า พระองค์จะให้เขาเป็นประชาชาติที่ยิ่งใหญ่ถ้าพวกเขารักและเทิดทูลบูชาพระองค์ผู้เดียว
และประพฤติตามคำสั่งของพระองค์ .


....... เลวีนิติ เลวีนิติแปลว่า"เกี่ยวกับพวกเลวี"ตระกูลเลวีเป็นปุโรหิตของพระเจ้า หนังสือเลวีนิติกล่าวถึงกฎระเบียบการปฏิบัติงานของพวกเลวี - กฎเกณฑ์ในการนมัสการพระเจ้าและการถวายเครื่องบูชา ในเลวีนิติ 11:45 พระเจ้าตรัสว่า"เจ้าต้องบริสุทธิ์ เพราะเราบริสุทธิ์"กฎเกณฑ์ที่พระเจ้าให้คนอิสราเอลในหนังสือเลวีนิตินี้ก็เพื่อช่วยพวกเขาให้มีชีวิตบริสุทธิ์

......กันดารวิถี สองบทของเล่มนี้กล่าวถึงการนับจำนวนประชากรอิสราเอล นอกนั้นส่วนมากเป็นเรื่องการเดินทานรอนแรมในถิ่นทุรกันดารของพวกเขา ดังนั้น
เล่มนี้จึงได้ชื่อว่ากันดารวิถี ตลอดหนังสือกันดารวิถีทั้งเล่มชี้ถึงความห่วงใยของพระเจ้าต่อประชากรของพระองค์ พระองค์ทรงจัดหา น้ำ มานา และนกคุ่มให้อย่างอัศจรรย์
แม้พวกเขาจะบ่นว่าและกบฏต่อพระองค์ พระองค์ยังคงรักและให้อภัยเสมอมา

........เฉลยธรรมบัญญัติ รากศัพท์เฉลยธรรมบัญญัติในภาษาฮีบรูมีความหมายว่า"พระบัญญัติครั้งที่สอง" หลังจากวนเวียนอยู่ในถิ่นทุรกันดารสี่สิบปีคนอิสราเอล
็พร้อมเข้าคานาอัน ซึ่งเป็นแผ่นดินพระสัญญา แต่ก่อนจะเข้าไป โมเสสต้องการเตือนความจำของพวกเขา ถึงทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำเพื่อพวกเขาโดยตลอด ถึงพระบัญญวัติของพระเจ้าที่พวกเขาจำเป็นต้องเชื่อฟังและถือรักษาในฐานะที่เป็นชนชาติของพระองค์ โมเสสยังย้ำด้วยว่าพวกเขาต้องสอนลูกหลานให้รักและเชื่อฟังพนะเจ้าด้วยเช่นกันด้วยท้ายเล่มเป็นเรื่องที่พระเจ้าฟื้นฟูพันธสัญญากับคนอิสราเอลใหม่(บทที่29)
โยชูวาได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้นำคนใหม่(บทที่31)และโมเสสสิ้นชีวิต(บทที่34)

........โยชูวา โยชูวาเป็นชื่อของผู้นำคนสำคัญที่พระเจ้าแต่งตั้งขึ้นเขานำคนอิสราเอลข้ามแม่น้ำจอร์แดนบุกเยรีโคอย่างอัศจรรย์ พวกเขาจึงสามารถยึดครองเนื้อที่ ที่เป็นส่วนสำคัญของคานาอันได้ในเวลาไม่นานนัก ฌดยความช่วยเหลือของพระเจ้า ก่อนโยชูวาจะสิ้นชีวิต เขาเตือนเหล่าประชากรของพระเจ้าถึงเรื่องพันธสัญญาที่มีต่อพระเจ้า และท้าทายพวกเขาให้รักและเชื่อฟังพระองค์ต่อไป

ี่........ผู้วินิจฉัย หลังจากโยชูวาสิ้ื้นชีวิตแล้ว อิสราเอลขาดผู้นำ บ่อยครั้งประชาชนได้หลงลืมพระเจ้าและพระบัญญัติของพระองค์ แล้วหันไปนับถือรูปเคารพต่างๆ ต่อมาพระเจ้าทรงลงโทษพวกเขาโดยให้ชนชาติเพื่อนบ้านมากดขี่ข่มเหงเมื่อประชาชนเหล่านั้นหันกลับไปหาพระเจ้า และขอร้องให้พระองค์ยกโทษให้ พระองค์ทรงประทานผู้ืนำพิเศษโยเฉพาะให้ เพื่อช่วยพวกเขาให้พ้นมือศัตรู เขาเรียกบรรดาผู้นำพิเศษนี้ว่าผู้วินิจฉัย และผู้วินิจฉัยที่รู้จักกันดีคือ เดโบราห์ กิเดโอน และแซมสัน ...

........นางรูธเล่มนี้เป็นเรื่องของสองสามีภรรยาชาวอิสราเอลที่ย้างไปอยูประ้ทศโมอับในช่วงที่เกิดการกันดารอาหารผู้เป็นสามีกับบุตรชายสองคนสิ้นชีวิตที่นั่นทิ้งให้
ภรรยา(นาโอมี)กับลูกสะใภ้สองคน(โอบาห์กับรูธ)กยูกันตามลำพัง นางนาโอมีตัดสินใจกลับอิสราเอลส่วนนางรูธยืนยังว่าจะตามเธอไปด้วย เมื่อถึงอิสราเอลกับพวกเธอหวังว่าจะได้รัีบความช่วยเหลือจากโบอาสผู้เป็นญาติ ในที่สุดนางรูธแต่งงานกับโบอาส ลูกหลานที่สืบเชื้อสายต่อมาเป็นราชวงศ์ของดาวิดและพระเมสสิยาห์ - พระเยซูคริสต์ หนังสือนางรูธแสดงให้เห็นว่า พระเจ้ากำลังดำเนินงานให้แผนการไถ่บาปให้บรรลุผลสำเร็จ

........1ซามูเอล เล่มนี้เริ่มเรื่องด้วยการถือกำเนิดของซามูเอลและรับการฝึกฝนในพระวิหารจากนั้นบรรยายถึงวิถีทางที่เขานำประเทศชาติ
ในฐานะเป็นผู้เผยพระวจนะ ปุโรหิต และผู้วินิจฉัย เมื่อประชาชนอิสราเอลร้องขาให้มีกษัตริย์ซามูเอลเจิมซาอูลขึ้นเป็นกษัตริย์องค์แรก แต่พระเจ้าทรงถอดซาอูลออกจากตำแหน่งเพราะความไม่เชื่อฟังของเขา และให้ซาอูลเจิมดาวิดขึ้นแทนอย่างลับๆ ที่เหลือนอกนั้นกล่าวถึงการขับเคี่ยวกันระหว่างซาอูลกับดาวิด

........2ซามูเอล หนังสือ2ซามูเอลกล่าวถึงการก่อตั้งอาณาจักรอิสราเอลต่อเริ่มจากการสิ้นพระชนม์ของซาอูลเป็นต้นไปจากนั้นบรรยายถึง
การครองราชย์ตลอดสี่สิบปีของดาวิดเรื่องเด่นๆได้แก่ การยึดเยรูซาเล็ม ความบาปของดาวิดเกี่ยวกับนางบัทเชบา และการกบฏของอับซาโลม

........1 พงศ์กษัตริย์ หลังจากดาวิดสิ้นพระชนม์แล้ว พระโอรสซาโลมอนขึ้นครองราชย์แทน บทที่1-11 บรรยายถึงรัชสมัยของซาโลมอนรวมถึงการสร้างพระวิหารและพระราชวังที่เยรูซาเลม กษัยริย์องค์ต่อมาคือเรโหโบอัมผู้ซึ่งสูญเสียดินแดนตอนเหนือไป นับแต่นั้นมาอาณาจักรส่วนเหนือเรียกว่าอิสราเอล ...ส่วนอาณาจักรส่วนใต้เรืยกว่ายูดาห์ บทท้ายๆของเล่มนี้กล่าวถึงกษัตริย์อาหับผู้ชั่วช้ากับเอลิยาห์ผู้เผยพระวจนะของพระเจ้าที่กล่าวประณามความชั่วช้าของอาหับ และการไม่เชื่อฟังของคนอิสราเอล

........2พงศ์กษัตริย์ 2พงศ์กษัตริย์เป็นเรื่องของเอลิยาห์กับเอลิชาต่อนอกจากนั้นยังกล่าวถึงความเป็นไปของอาณาจักรเหนืออิสราเอลและใต้ของยูดาห์ควบคู่กัน
ไปจนกระทั่งสูญเสียเอกราชในที่สุด อิสราเอลตาเป็นของอัสซีเรียในปี 722 ก.ค.ศ. และยูดาห์เป็นของบาบิฏลนในป ี586 ก.ค.ศ.พวกผู้เผยพระวจนะของทั้งสองอาณาจักรได้ร้องเตือนประชาชนอย่างไม่หยุดว่า พระเจ้าจะลงโทษถ้าพวกเขาไม่กลับใจใหม

่........1 พงศาวดาร หนังสือพงศาวดารเริ่มด้วยการลำดับเชื้อสายตั้งแต่อาดัมไปจนถึงกษัตริย์ซาอูล จากนั้นกล่าวถึงรัชสมัยของกษัตริย์ดาวิด ดูเหมือนเรื่องราวในหนังสือพงศาวดารจะซ้ำกับซ้ำกับซามูเอลและพงศ์กษัตริย์ อย่างไรก็ตามพงศาวดารทั้งสองเล่มนี้เขียนขึ้นสำหรับคนอิสราเอลที่กลับจากการถูกเนรเทศ เพื่อให้สำนึกถึงความจริงที่ว่าพวกเขาสืบเชื้อสายจากกษัตริย์ดาวิด และเป้นพงศ์พันธุ์ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไว้ หลักใหญ่ใจความคือชี้ให้เห็นว่าพระเจ้าทรงซื่อสัตย์ต่อพันธสัญญาที่พระองค์ทรงกระทำไว้ ...

........ื้2 พงศาวดาร 2พงศาวดารเป็นเรื่องของราชวงศ์ดาวิดต่อ บทที่1-9 บรรยายถึงการสร้างพระวิหารระหว่างรัชสมัยของซาโลมอน บทที่ 10-36 เป็นประวัติความเป็นไปของอาณาจักรใต้คือยูดาห์ถึงเยรูซาเลมถูกทำลายในที่สุด และประชาชนเนรเทศไปบาบิโลน

........เอสรา เล่มนี้เป็นเรื่องราวของพวกยิวที่กลับมาจากการเป็นเชลยที่บาบิโลน เริ่มด้วยพระราชปกาศิตของไซรัส พระราชาแห่งเปอร์เซีย
ที่อนุญาติให้พวกเชลยกลับได้ ประชาชนเริ่มสร้างพระวิหารใหม่อย่างกระตือรือร้นแต่พวกศัตรจากทางเหนือมาถ่วงเวลาให้ต้องชะงักไปถึง 18 ปี
ในที่สุดพระราชาดาริอัสทรงออกกฤษฎีกาให้สร้างให้เสร็จ(ดูเอสรา1-6 ) บทที่ 7-10 กล่าวถึงปุโรหิตเอสรากลับคืนสู่เยรูซาเลม เขาสอนประชาชน
ให้รู้ถึงพระบัญญัติของพระเจ้า และปฏิรูปชีวิตของพวกเขาเสียใหม่โดยให้หันกับมาหาพระเจ้า เอสราอาจจะเป็นผู้เขียนหนังสือเอสรากับเนหะมีย์

ู........เนหะมีย์ เล่มนี้กล่าวถึงพวกยิวที่กลับจากถูกเนรเทศเนหะมีย์ถอนตัวจากการเป็นพนักงานเชิญถ้วยเสวยของอารทาเซอร์ซีสพระราชาเปอร์เซีย
เพื่อไปเป็นผู้ว่าราชการที่เยรูซาเล็ม เขานำประชาชนสร้างกำแพงเมืองขึ้นใหม่หนังสือเล่มนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการอธิษฐานในชีวิตของเนหะมีย์

........เอสเธอร์ หนังสือเอสเธอร์เป็นเรื่องของสาวงามชาวยิวที่กษัตริย์อาหสุเอรัสเลือกมาเป็นราชินี เมื่อฮามานวางแผนฆ่าคนยิวทั้งหมดในแผ่นดิน โมรเดคัยผู้เป็นญาติของพระราชินีพยายามยื่นมือช่วยเหลือชีวิตพี่น้องร่วมชาติไว้ได้ แม้ว่าหนังสือเอสเธอร์จะไม่เอ่ยพระนามของพระเจ้าเลยสักแห่งเดียว
แต่เราก็ได้เห็นถึงการปกป้องของพระองค์อย่างชัดเจน

........โยบ ตัวเอกของหนังสือเล่มนี้คือโยบ เขาเป็นคนดีรอบคอบและเที่ยงธรรม ที่มั่งคั่งร่ำรวยแม้ต้องสูญเสียทุกสิงที่ี่มีอยู่
และต้องทนทุกข์เวทนาจากโรคร้าย ดยบก็ยังคงเชื่อวางใจในพระเจ้า หนังสือโยบเป็นเรื่องการหาเหตุูผล ว่าทำไมคนดีๆต้องทนทุกข์เพื่อนของ
โยบย้ำว่าเขาต้องทนทุกข์์เพราะถูกลงโทษเนื่องจากบาปของเขา แต่โยบทักท้วงว่าเขาไม่ได้ทำอะไรผิด และแสดงให้เห็นถึง
ความไว้วางใจในพระเจ้าของเขา ภายหลังพระเจ้าตรัสกับพวกเขาและสำแดงถึงฤทธานุภาพของพระองค์ให้โยบเข้าใจ
โยบจึงยอมรับว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่เกินที่เขาจะเข้าใจได้

........สดุดี เป็นหนังสือที่ไพเราะที่สุดเล่มหนึ่งของพระคัมภีร์ สดุดีเป็นบทเพลงสรรเสริญ นมัสการ ขอบพระคุณและกับใจใหม่
ส่วนใหญ่กษัตริย์ดาวิดเป็นผู้แต่ง ที่เหลือเป็นนอกจากนั้นเป็นของพวกบุตรของโคราห์ ซาโลมอน โมเสส และคนอื่นๆ

ี ........สุภาษิต เล่มนี้เป็นการรวบรวมคำแนะนำอันชาญฉลาดสำหรับมาใช้ในชีวิตประจำวัน ขึ้นต้นด้วยคำเตือนว่า"ความยำเกรงพระเจ้า เป็นบ่อเกิดของความรู้"
(สุภาษิต1:17)ส่วนใหญ่เป็นของกษัตริย์ซาโมมอน บทอื่นๆรวบรวมไว้โดยคนของเอเซคียาห์ และผู้เขียนสอบบทสุดท้ายคือ การ์กูร์กับเลมูเอล

........ปัญญาจารย์ ปัญญาจารย์ได้ถกปัญหาความหมายแห่งชีวิต "ปัญญาจารย์"พินิจพิเคราะห์ดูสติปัญญา ความเบิกบานใจ การงาน อำนาจ ความมั่งคั่ง ศาสนา และสิ่งอื่นๆเขาสรุปว่าถ้าไม่มีพระเจ้าทุกสิ่งในชีวิตก็ไร้ความหมาย เป็นอนิจจัง

........เพลงซาโลมอน เพลงซาโลมอนเป็นเพลงยาวที่ให้เห็นภาพของความรักอันงดงามตามอุดมคติของมุนษย์และการแต่งงานใช้ชีวิตร่วมกัน ...

........อิสยาห์ อิสยาห์ได้เผยพระพระวจนะของพระเจ้าในอาณาจักรยูดาห์ช่วงสมัยของกษัตริย์อุสซียาห์ โยธาม อาหัส และเฮเซคียาห์ เขาร้องเตือนประชาชนซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าเยรูซาเลมกับยูดาห์จะถูกพิพากษาลงโทษเพราะความชั่วช้า(ความผิดรุนแรง)ของพวกเขา ในบทที่39
เขาพยากรณ์ว่า คนอิสราเอลจะถูกกวาดต้องไปบาบิโลน แต่เขายังให้ความหวังว่าราชอาณาจักรจะฟื้นตัวใหม่หรือได้เอกราชอีครั้ง ตั้งแต่บทที่ 40 เรื่อยมาผู้เผยพระวจนะให้คำประเล้าประโลมใจโดยหยิบยกเอาพันธะสัญญาต่างๆของพระเจ้ามากล่าวคือ ..
1.)คนที่ถูกกวาดต้อนไปจะได้กลับเยรูซาเลมอีก
2.)ผู้รับใช้ที่กรปรด้วยความชอบธรรมจะต้องทนทุกข์และจะมาประธานความรอดให้
3.)พระเจ้าจะสถาปนาราชอาณาจักรใหม่ที่กอปรด้วยความเที่ยงธรรม

........เยเรมีย์ เยเรมีย์เหมือนกับอิสยาห์ คือเป็นคนหนุ่มที่พระเจ้าทรงเรียกให้ไปร้องเตือนคนยูดาห์เกี่ยวกับความชั่วช้าของพวกเขา20 ปีแรกของเขา
อยู่ใต้การปกครองของโสิยาห์ กษัตริย์ผู้ซึ่งพยายมโน้มนำประชาชนชาวยูดาห์กลับมาหาพระเจ้า แต่หลังจาก แต่หลังจากนี้ต่อมาเยเรมีห์ต้องเผชิญอันตราย จากผู้นำทางการเมืองและศาสนาที่แค้นเคืองเยเรมีห์เนื่องด้วยถ้อยคำที่เขาประกาศ พระเจ้าทรงปกป้องเยเรมีห์ไว้ ดังนั้น เขาจึงยังยงสามารถร้องเตือน
คนชั่วช้าและปลอบประโลมใจคนที่เชื่อพึ่งพระเจ้าต่อไป หลังจากเยูซาเลม ถูกทำลาย เยเรมีห์เลือกอยู่กับประชาชนที่เหลือ และเดินทางไปอียิปต์กับพวกเขาด้วย ...

........บทเพลงคร่ำครวญ หนังสือบทเพลงคร่ำครวญเป็นคล้ายๆ บทเพลงที่ใช้ในงานศพ ผูเขียนอาจจะเป็นเยเรมีห
์ ซึ่งแสดงความเศร้าโศกเสียใจตอนที่เห็นเยรูซาเลมถูกทำลายเขาเขียนสารภาพความบาปของประชาชน และอธิษฐานขอพระเมตตาจากพระเจ้า ...


........เอสเสเคียล เล่มนี้ตั้งตามชื่อของผู้เผยพระวจนะเอเซเคียล ผู้เป็นปุโรหิตในเยรูซาเลม เขาถูกนำตัวไปยังกรุงบาบิโลนพร้อมกับชาวยิวคนอื่นๆ
ที่ถูกกวาดต้อนในปี 598 ก.ค.ศ.บทที่ 1-24 เป็นคำพยากรณ์เกี่ยวกับการทำลายเยรูซาเลมพังพินาศแล้วเอเซเคียลเริ่มป่าวประกาศถ่้อยคำ
ที่เป็นความหวังใหม่ของประชาชนชาวอิสราเอล ที่จะได้กลับสู่ถิ่นฐานเดิม

........ดาเนียล เป็นหนังสือที่กล่าวถึงชีวิตของดาเนียลและเพื่อน3คนที่ถูกจับไปเป็นเชลย เขาทั้งสี่ยังคงเชื่อฟังและนมัสการพระเจ้าต่อไป
แม้บางครั้งต้องเอาชีวิตเข้าเสี่ยง หกบทสุดท้ายของเล่มนี้ดาเนียลบรรยายถึงนิมิตที่เขาเห็นเกี่ยวกับอาณาจักรต่างๆในโลก
ก่อนที่อาราจักร อมตะชั่วนิรันดร์จะปรากฏขึ้นในที่สุด

........โฮเซยา โฮเซยาเป็นผู้เผยพระวจนะของอาณาจักรส่วนเหนือของอิสราเอลในรัชกาลของเยโรโบอัมที่2 บทที่ 1-3 กล่าวถึงความรักของ
โฮเซยากับภรรยาที่นอกใจเขา บทอื่นๆที่เหลือโฮเชยาใช้ประสบการณ์จากชีวิตสมรสของเขามาเป้นภาพพจน์ของความรักที่พระเจ้ามี
ต่อชาวอิสราเอลผู้ไม่ซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า

........โยเอล โยเอลเผยพระวจนะในรัชสมัยของกษัตริย์โยอาชเขาบรรยายถึงภัยพิบัติจากฝูงตั๊กแตนที่มาทำลายแผ่นดินยูดาห์ จากนั้นโยเอลเตือนประชาชนให้กลับ
ใจมาหาพระเจ้า และปรพกาศว่า"วันแห่งพระเจ้า"ใกล้มาถึง และจะมีการพิพากษายิ่งใหญ่กว่านี้อีก

........อาโมส อาโมสเป็นผู้เลื้ยงแกะที่พระเจ้าทรงเรียกมาเป็นผู้เผยพระวจนะตามหัวเมืองภาคเหนือของอิสราเอล เขาร้องประกาศว่าพระเจ้าจะพิพากษาลงโทษ
ประชาชนเพราะการที่พวกเขาหันหลังให้กับพระเจ้า ทารุณคนยากจน และดำรงชีวิตอยู่อย่างเห็นแก่ตัว

........โอบาดีห์ เป็นเล่มที่สั้นที่สุดของพระคัมภีร์ ซึ่งพยากรณ์กล่าวโทษชาวเอโดม
โอบาดีห์ป่าวประกาศว่าพระเจ้าทรงพิพากษาโทษของพวกเขาแล้ว และพยากรณ์ว่าประเทศของเขาจะถุกทำลาย

........โยนาห์ โยนาห์เะป็นผู้เผยพระวจนะที่พระเจ้าทรงเ้รียกให้ไป ประกาศยังต่างแดน คือ นครนีนะเวห์ โยนาห์พยายามหนีจากพระเจ้าแต่ถูกปลาใหญ่มหึมมา
กลืนเข้าไป เมือปลาสำรอกเขาไปไว้ที่ชายฝั่งโยนาห์ยอมเดินทางไปนีนะเวห์และตักเตือนประชาชน
เรื่องที่พระเจ้าจะพิพากษาลงโทษโยนาห์ได้เรียนรู้ว่าพระเจ้าจะให้อภุยกับทุกคนที่สำนึงผิดแม้พวกเขาจะไม่เคยรู้จักกับพระองค์เลยก็ตาม ...

........มีัคาห์ มีคาห์อาศัยอยู่ในชนบทเขตยูดาห์ในรัชกาลของอาหัสและเฮเซคียาห์ เขาเตือนว่าพระเจ้าจะพิพากษาลงโทษเยรูซาเลมและสะมาเรีย เพราะความผิดบาปของผุ้นำทั้งสองเมืองนั้น แต่มีพันธสัญญามาถึงเหล่าคนที่ไว้วางใจในพระเจ้าว่า พระองค์จะฟื้นฟูศิโยนใหม่และจะทำให้เป็นแผ่นดินแห่งสันติสุข เขาพยากรณ์ว่าจะมีผู้ปกครองมาเกิดที่เบธเลเฮม และอำนาจของเจาจะไม่มีวันสิ้นสุด ...

........นาฮูม นาฮูมเป็นหนังสือพยากรณ์กล่าวโทษนครนีนะเวห์เมืองหลวงของอัสซีเรีย นาฮูมบรรยายถึงความทารุณโหดร้ายของพวกอัสซีเรียในเวลาที่พวกเขาบุกเข้ายึดดินแดนต่างๆ เขาพยากรณ์ถึงการทำลายล้างนครนีนะเวห์และการล่มจมของอาณาจักรอัสซีเรีย

........ฮาบากุก เล่มนี้เขียนในรูปการสนทนาระหว่างพระเจ้ากับผู้เผยพระวจนะ ฮาบากุกเป็นฝ่ายถามพระเจ้าก่อนว่า ทำไม่พระองค์จึงปล่อยให้ความชั่วช้าทารุณดำเนินอยู่โดยที่พระองค์ไม่ยับยั้ง เมื่อพระเจ้าครัสตอบเขาว่าพระองค์จะส่งชาวบาบิโลนมาลงโทษชาวยูดาห์ ฮาบากุกนึกห่วงมากขึ้น เขาไม่เข้าใจว่า ทำไม่พระเจ้าถึงใช้ชาวบาบิโลนมาทั้งที่พวกนี้ชั่วช้ายิ่งกว่าคนยิวเสียอีก พระเจ้าตรัสตอบว่า"คนชอบธรรมจะดำรงชีวิตอยู่ด้วยความเชื่อ" และบอกว่าพวกบาบิฏลนจะถูกลงโทษเช่นเดียวกัน หนังสือฮาบากุกจบลงด้วยบทเพลงสรรเสริญ ...

........เศฟันยาห์ เศฟันยาห์เผยพระวจนะในรัชกาลดยสิยาห์เขาร้องเตือนว่าวันแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้าจะมาถึงยูดาห์และเยรูซาเลม และร้องเรียกให้คนอิสเราเอลกลับมาหาพระเจ้าทรงสัญญาว่าพระองค์จะนำประชากรของพระองค์กลับถิ่นฐานของพวกเขา ...

........ฮักกัย สิปแปดปีได้ผ่านไปนับตั้งแตพระราชาไซรัสออกกฤษฎีกาอนุญาตให้ชาวยิวกลับจากการเนรเทศ แต่พวกเขายังสร้างพระวิหารที่กรุงเยรูซาเลมไม่เสร็จ
ฮักกัยนำพระวจนะของพระเจ้าไปบอกว่าถึงเวลาแล้สที่จะสร้างพระนิเวสของพระเจ้าขึ้นมา และพระองค์จะให้พระนิเวศนี้เต็มด้วยสง่าราศี

........เศคาริยาห์ เศคาริยาห์เริ่มเผยพระวจนะหลังฮักกัยสองเดือนพระเจ้าใหเเศคาริยาห์เห็นนิมิตแปดอย่าง เพื่อหนุนใจพวกเขาให้สร้างพระวิหารให้เสร็จ
บทที่7 กับ 8 เป็นคำสั่งให้ประชาชนเชื่อฟังพระเจ้าด้วยการให้ความยุติธรรมและความ
เมตตาต่อกันและกัน บทที่9-14 พยากรณ์ถึงการเสด็จมาของกษัีตริย์แห่งศิฏยน "พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด"

........มาลาคี พระเจ้าใช้มาลาคีไปพูดกับคนยิวที่กลับจากการเป็นเขลย เขาเตือนประชาชนไม่ให้เพิกเฉยและดื้อดึงต่อพระเจ้า มิฉะนั้นพระองค์จะลงโทษพวก
เขา พระเจ้าประธานพระสัญญาทางมาลาคีว่า พระองค์จะช่วยคนเที่ยงธรรมให้รอด ...



พันธสัญญาใหม่
........มัทธิว ผู้เขียนพระกิตติคุณเล่มแรกคือมัทธิว ผู้เป็นหนึ่งในสาวกสิบสองคนของพระเยซู และเขียนขึ้นก่อนที่ชาวโรมจะทำลายกรุึงเยรูซาเลมในปี ค.ศ.70 มัทธิวเขียนพระกิตติคุณเล่มนี้สำหรับคนยิว เพื่อแสดงให้เห็นว่า พระเยซูคริสต์เป็นพระเมสิยาห์ตามที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ในพันธสัญญาเดิม เขายกคำพยากรณ์มาอ้างอิงหลายข้อ และชี้แจงให้ผุ้อ่านตระหนักว่าทุกอย่างเหล่านั้นสำเร็จเป็นจริงในชีวิตของพระเยซู นอกจากนั้นเขายังรวบรวมคำสอนของพระเยซูเกี่ยวกับแผ่นดินสวรรค์ไว้มากมายทีเดียว เพราะพวกยิวกำลังแสวงหาผู้ที่จะมาเป็นกษัตริย์ของพวกเ้ขา ตอนหนึ่งในหนังสือมัทธิวที่รู้จักกันดีคือตอนที่เทศนาบนภูเขา ซึ่งบ่งชี้ว่าพระเยซูเป็นบรมครูที่ยิ่งใหญ่

........มาระโก มาระโกผู้เขียนพระกิตติคุณเล่มนี้อาจเป็นคนแรกที่จดบันทึกเหตุการณ์ต่างๆในชีวิตของพระเยซูเอาไว้ เขาอาจเป็นคนเดียวกับผู้ที่ทำงานประกาศร่วมกับเปาโลและบารนาบัสมาหลายปี มาระโกเขียนพระกิตติคูณเล่มนี้ เพื่อให้คริสต์เตียนยุกแรกรู้ว่าพระเยซูทรงเป็นเช่นไรและทำไมพระองค์ต้องสิ้นพระชนม์ เขาชี้ให้เห็นว่าพระองค์ออกทำงานไม่หยุดหย่อน และทำสิ่งเหล่านั้นด้วยสิทธิอำนาจของพระองค์ หนึ่งในสามของเล่มนี้กล่าวถึงเหตุการณ์สัปดาห์สุดท้ายบนแผ่นดินโลกของพระองค์แล้วจบลงด้วยการสิ้นพระชนม์และการเป็นขึ้นมาจากความตายของพระองค์

........ลูกา นายแพทย์ลูกาผู้ร่วมเดินทางไปกับเปาโล เป็นผู่เขียนพระกิตติคุณเล่มที่สามนี้ ลูกาเกริ่นกล่าวไว้ในสี่ข้อแรกว่าเขาเขียนพระกิตติคุณเล่มนี้เพื่อให่เรารู้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องราวในชีวิตของพระเยซู พระกิตติคุณลเ่มนี้มีรายละเอียดมากที่สุด จัดเหตุการณ์ต่างๆในชีวิตของพระเยซูให้เป็นไปตามลำดับ และชี้ให้เห็นความรักของพระเยซูที่มีต่อคนทุกชนชั้น - มิใช่เพราะแต่คนร่ำรวยหรือคนสำคัญเท่านั้น แต่กับคนยากจน และคนที่สังคมดูหมิ่นด้วย ...

........ยอห์น พระกิตติคูณเล่มนี้เขียนโดยสาวกอีกคนหนึ่งที่"พระองค์ทรงรัก"คือยอห์น เขาเขียนขึ้นเพื่อ"ท่านทั้งหลายจะได้เชื่อว่า พระเยซูทรงเป็นพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า และเมื่อท่านมีความเชื่อแล้ว ท่านก็จะมีความเชื่อโดยพระนามของพระองค์"(ยอห์น 20:31)ยอห์นต้องการชี้ให้ผู้อ่านได้เห็นว่าคำตรัสของพระเยซูและการอัศจรรย์ที่ทรงกระทำพิสูจน์ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า เขาเลือกหยิบยกเฉพาะเหตุการณ์ที่แสดงว่าพระเยซูทรงเปี่ยมล้นด้วยฤทธิ์อำนาจในยามที่มนุษย์ไม่มีทางช่วยตัวเองได้ แต่ขณะเดียวกันเขาก็ชี้ให้เห็นว่า
พระเยซูเป็นมนุษย์ พระองค์เหนื่อยเป็น หิวเป็น และเสียใจเป็นเช่นเดียวกับพวกเรา .

........กิจการ หนังสือกิจการเป็นหนังสือที่ต่อจากลูกา เล่มนี้เป็นบันทึกข้อเท็จจริงถึงการเริ่มขขยายตัวของคริสต์จักร บางครั้งจิงเรียกว่า"กิจการของอัครทูต" ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นงานของอัครทูต2ท่านคือเปโตรกับเปาโล นอกจากนั้นอาจเรียกได้อีกชื่อหนึ่งว่า "กิจการของพระวิญญาณบริสุทธิ์" เพราะเล่มนี้บอกเราถึงการเสด็จมาและพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ หนังสือกิจการมีคำสอนเกี่ยวกับคริสตจักรสมัยแรก3ประการ คือ ...
1.)คริสคจักรยุคแรกสอนอะไร
2.)วิถีทางที่พวกยิวไม่ยอมรับคำสอนนี้ และวิถีทางที่พระเจ้าใช้พวกอัครทูตไปหาคนต่างชาติยอมรับพระกิตติคุณ
3.)วิถีทางที่ผู้มีอำนาจในท้องถิ่นกับรัฐบาลโรมปฏิบัติต่อคริสตจักยุคแรก

........โรม ดูเหมือนเปาโลเขียนจดหมายฉบับนี้ไปถึงชาวโรมตอนเขาเสร็จสิ้นการเดินทางเที่ยวที่3 เขากำลังจะกลับไปเยรูซาเลม และวางแผนแวะไปเยี่ยมกรุงโรมแล้วเลยไปเสปน(โรม15:23-25) หลังใหญ่ใจความของจดหมายฉบับนี้กล่าวถึงความชอบธรรม เปาโลสอนว่า
(1)ไม่มีมนุษย์คนใดเป็นผู้ชอบธรรมเลยสักคนเดียว
(2)พระเยซูคริสต์เป็นผู้ชอบธรรมสมบูรณ์ไม่มีที่ติ
(3)ถ้าเราเชื่อในพระเยซู เราจะได้รับการปลดปล่อยเป็นอิสระจากอำนาจบาป มีชีวิตใหม่ และได้กลับไปคืนดีมีความสัมพันธ์อันถูกต้องกับพระเจ้า
(4)เราควรมีชีวิตที่"บริสุทธิ์และเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า"

........1 โครินธ์ เปาโลเขียนจดหมายฉบับนี้ขณะอยู่ที่เมืองเอเฟซัส เพราะเขาได้ข่าวไม่เป็นมงคลเกี่ยวกับคริสตจักรโครินธ์พวกคริสเตียนที่นั่น
ไม่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัีน - แตกกันเป็นก๊กเป็นเหล่า และบางคนดำเนินชีวิตอยูในความบาปเปาโลเขียนจดหมายฉบับนี้ไปต่อว่าและส้่งสอนพวกเขาว่า
ควรจะัประพฤติตัวอย่างไร โครินธ์เป็นเมืองชั่วร้ายเมืองหนึง จึงยากสำหรับพวกคริสเตียนที่จะใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางคนเหล่านั้น โดยไม่ประพฤติเหมือนพวกเขา ในจดหมายฉบับนี้เปาโลพยายามให้บทเรียนสอนใจถึงชีวิตคริสเตียน เพื่อช่วยพวกเขาให้แยกความชั่วร้ายออกจากความดี

์ิ........2โครินธ์ เมื่อคริสเตียนที่โครินธ์ได้รับจดหมายฉบับแรกของเปาโล บางคนโกรธ แต่ส่วนมากสำนึกว่าพวกเขาทำผิด พวกเขาจึงส่งข่าวไปถึงเปาโลว่าพวกเขายินดีที่จะแก้ไขความประพฤติเสียใหม่ และฉบับนี้ก็เป็นอีกฉบับหนึ่งที่เปาโลเขียนตอบพวกเขามา ส่วนแรกบอกถึงความยินดีและความโล่งอกโล่งใจที่เห็นชาวโครินธ์เสียใจในการกระทำของตน และบัดนี้พวกเขากำลังปรับปรุงชีวิตให้เป็นที่พอพระทัยต่อพระเจ้า ส่วนที่สองของฉบับนี้คล้ายเป็นคำกล่าวโต้ตอบเหล่าคนที่โกรธเขาและให้ร้ายเขา ...

์........กาลาเทีย เปาโลเขียนจดหมายฉบับนี้ไปถึงคริสตจักรต่างๆที่ตั้งอยุ่ในแคว้นกาลาเทียของโรม คริสตจักรเหล่านั้นกำลังวุ่นวายเนื่องจากได้รับคำสอนผิดๆจากคนที่ฝังใจในลัทธิยิว คนเหล่านั้นเข้าไปสอนพวกคริสเตียนชาวกาลาเทียนว่าพวกเขาไม่รอดถ้าไม่เชื่อฟังพระเจ้าและประพฤติตามกฎเกณฑ์หมดในศาสนายิว
- เช่น การเข้าสุหนัต การรับประทานอาหารตามบทบัญญัติ และการถือวันเทศกาลของยิว เปาโลเขียนบอกพวกเขาว่า การเชื่อฟังและถือตามกฎเกณฑ์ต่างๆเหล่านั้นไม่ช่วยให้พวกเขารอดพ้นบาปได้ พวกเขาจะรับความรอดโดยการเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์อย่างเดียวเท่านั้น เขายังสอนด้วยว่าคริสต์เตียนมีเสรีภาำพที่จะดำเนินชีวิตในกฏแห่งความรัก มิใช่กฏของโมเสส ...

........เอเฟซัส เปาโลเขียนขณะติดคุกอยู่ที่กรุงโรม และจดหมายฉบับนี้อาจถูกส่งไปยังคริสจักรอื่นๆรอบเมืองเอเฟซัสด้วย เอเฟซัสสมัยนั้นเป็นเมือง
ใหญ่และสำคัญมาก จึงเป็นศูนย์กลางของคริสจักรอื่นๆที่อยู่รอบๆ - มิใช่อาคารสถานที่แห่งใดแห่งกนึ่ง แต่เป็นคริสจักรที่รวมคริสเตียนจากทุกยุคทุกสมัยไว้ด้วยกัน ซึ่งเราเรียกว่า "คริสตจักรสากล"เปาโลกล่าวว่าเนื่องจากคริสเตียนทุกคนต่างเป็นครอบครัวเดียวกันในพระเยซูคริสต์ พวกเขาควรแสดงความรักต่อกันและกัน

........ฟิลิปปี เปาโลเขียนขณะติดคุกอยู่ที่กรุงโรม พวกคริสเตียนที่ฟิลิปปีส่งเอปาโฟรดิอัสมาเยี่ยมพร้อมนำข้าวของมาฝากด้วย ขณะที่พักอยู่ในกรุงโรมเอปาโฟรดิอัสล้มป่วยลง และพวกคริสเตียนชาวฟิลิปปีพากันเป็นห่วงเป็นใย หลังจากเอปาฏฟรดิอัสอาการดีขึ้น เปาโลจึงส่งเขากลับฟิลิปปีพร้อมจดหมายนี้ แม้เปาโลจะเขียนมาจากที่คุมขังก็ตาม แต่จดหมายฉบับนี้ก็เปี่ยมไปด้วยรักและชื่นชมยินดี เปาโลรู้สึกซาบซึ้งใจในความรักและความช่วยเหลือของพี่น้องชาวฟิลิปปีอย่างที่สุด

........โคโลสี โคโลสีเป็นฉบับที่สามที่เปาโลเขียนมาจากคุกในกรุงโรม ก่อนหน้านี้เอปาฟรัสเดินทางมาในกรุงโรมเพื่อแจ้งให้เปาโลทราบว่า มีผู้สอนเท็จมายังคริสจักรโคโลสีสอนว่าที่พวกเขาเชื่อเช่นนั้นยังไม่ครบถ้วน พวกเขาบอกว่าชาวโคโลสีต้องกราบไหว้ทูตสวรรค์และถือกฏกับพิธีต่างๆด้วย เปาโลจึงเขียนไปถึงชาวโคโลสีเพื่อต่อต้านผู้สอนเท็จพวกนี้ เขาเตือนพวกคริสเหล่านั้นให้รำรึกถึงพระเยซูทรงสูงสุดเหนือสรรพสิ่ง การสิ้นพระชนม์ก็เพียงพอแล้วที่จะนำเราให้ได้รับความรอดพ้นจากบาปโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งสิ่งใดอีกและโดยทางพระองค์เราจะเป็นอิสระจากกฏเกณฑ์
ทั้งหลายที่มนุษย์สร้างมา

........1 เธสะโลนิกา เปาโลก่อตั้งคริสต์จักรเมืองเธสะโลนิกาขึ้นในการเดินทางเที่ยวที่ 2 เขาอยู่สอนพวกเขาประมาณสามสัปดาห์ แต่ต่อมาเขาต้องหนีไปจากที่นั่นเพราะพวกยิวต่อต้านอย่างรุรแรง เปาโลเขียนจดหมายฉบับนี้จากเมืองโครินธ์ เพื่อหนุนใจคริสเตียนเมืองเธสะโลนิกาและสอนพวกเขาให้รู้ถึงคำสอนมากขึ้นด้วย เขายกย่องพวกเขาว่ากล้าหาญ และไม่ยอมทิ้งความเชื่อ"ทั้งๆที่ต้องเผชิญกับอุปสรรคมากมาย"เขาสอนพวกเขาว่า"ควรจะประพฤติอย่างไร จึงเป็นที่ชอบพระทัยของพระเจ้า และสอนถึงการเสด็จกลับมาครั้งที่สองของพระเยซูคริสต์ว่าเวลานั้นจะเป็นความลับหรือไม่มีผู้ใดล่วงรู้เลย ดังนั้นขอให้แต่ละคนทำงานให้เต็มที่จนกว่าวันนั้นจะมาถึง

........2 เธสะโลนิกา เปาโลเขียนจากโครินธ์ส่งตามฉบับที่หนึ่งไปโดยระยะเวลาห่างกันไม่นานเพื่อแก้ความผิดของบางคนเกี่ยวกับตัวเปาโล และการคิดว่าพระเยซูจะเสด็จมาในไม่ช้านั้น พวกเขาเอาแต่หยุดทำงานและนั่งรอพระเยซูเฉยๆ เปาโลบอกชาวเมืองเธสะโลนิดาอีกครั้งว่าการเสด็จมาครั้งที่สองของพระเยซูจะเป็นเช่นไร เขาเตือนให้พวกเขาทำงานหนักจนกว่าพระองค์จะมา

........1 ทิโมธี ทิโมธีเป็นสหายหนุ่มของเปาโลที่กลับใจมาเป็นคริสเตียนตอนที่เปาโลออกเดินทางเที่ยวแรก เขาไปกับเปาโลในการเดินทางเที่ยวที่สอง และจากนั้นเขาก็ช่วยงานเปาโลมาโดยตลอด ในเวลาที่เปาโลเขียนจดหมายฉบับนี้ ทิโมธีกำลังทำหน้าที่เป้นครูและผู้นำของคริสจักรเอเฟซัส ทิโมธีดูเด็กเกินไปสำหรับงานสำคัญอย่างนั้นเปาโลเขียนไปให้คำแนะนำเกี่ยวกับงานในหน้าที่ของเขาจดหมายฉบับแรกนี้สอนว่าสมาชิกคริสจักร์ควรปติบัติอย่างไร และผู้นำคริสจักรต้องมีคุณสมบัติอย่างไร

ีี่........2 ทิโมธี เมื่อเปาโลเขียนไปถึงทิโมธีเป็นฉบับที่สอง เขาถูกจำคุกที่กรุงโรมอีกครั้งหนึ่ง เขารู้ว่าครั้งนี้ไม่มีโอกาศรอดออกมาได้และเขาคงถูกประหารชีวิตในไม่ช้านี้เขาจึงอยากหนุนนำใจทิโมธี เพราะทิโมธีต้องรับช่ววงการเดินทางประกาศต่อหลังจากเปาโลสิ้นชีวิตแล้วเปาโลสอนทิโมธีมากขึ้นถึงเรื่องการนำคริสจักร เขาบอกทิโมธีให้ต่อต้านพวกครูสอนเทียมเท็จ และให้สัตย์ซื่อต่อคำสอนแท้จริงของคริสเตียน

........ทิตัส ทิตัสเป็นเพื่อนและผู้ชวยอีกคนของเปาโลเคยร่วมเดินทางไปกับคณะของเปาโลเป็นบางครั้ง ขณะที่ได้รับจดหมายนี้เขาทำงานในฐานะผู้นำคริสจักรที่เกาะครีต จดหมายฉบับนี้คล้ายคลึงกับอีกสองฉบับที่ถูกส่งไปถึงทิโมธีอย่างมาก เปาโลต้องการฝึกฝนทิตัสให้เป็นผู้นำคริสจักรที่ดี เขาสอนว่าควรประพฤติตนอย่างไร และงานที่ต้องรับผิดชอมมีอะไรบ้าง ...

........ฟีเลโมน ฟีเลโมนเป็นผู้นำคริสจักรที่เมืองโคโลสี และเป็นเพื่อนกับเปาโล ทาสของฟีเลโมนคนหนึ่งชื่อโอเนสิมัสขโมยเงินของนาย แล้วหนีไปยังกรุงโรมระหว่างอยู่ที่นั่นเขาพบกับเปาโล และกลับใจมาเป็นคริสเตียน เปาโลส่งเนสิมัสกลับไปหาฟีเลโมน พร้อมด้วยจดหมายฉบับนี้เปาโลขอฟีเลโมยกโทษให้โอสิเนมัสและปฏิบัติต่อเขาในฐานะพี่น้องในพระคริสต์ มิใช่ทาสที่หนีไป(ที่ต้องตายสถานเดียว)

........ฮีบรู จดหมายฉบับนี้เขียนขึ้นในสมัยที่คริสเตียนถูกข่มเหงและถูกฆ่าตายเพราะเชื่อในพระเยซู มีคริสเตียนชาวยิวบางคนคิดจะเลิกเป็นคริสเตียนและกลับไปอยู่ศาสนายิวหนังสือฮีบรูได้เขียนสอนชาวยิวเหล่านี้ว่า ความเชื่อตามทางของคริสเตียนดีกว่าความเชื่อตามลัทธยิวในทุกสถนาเล่มนี้ชี้ให้ผู่อ่านเห็นว่า พระเยซูทำให้ความเชื่อของพวกยิวบรรลุผลสำเร็จ โดยการถวายตัวพระองค์เองเป็นเครื่องบูชาครั้งสุดท้ายเนื่องจากบาปของมนุษย์ หลังจาการสิ้นพระชนม์แล้ว ไม่จำเป็นต้องถวายเครื่องบูชาดังที่กำหนดไว้ในพันธสัญญาเดิมอีกต่อไปบทที่ 11 - เป็นบทที่รู้จักกันดีที่รวบรวมวีรบุรุษแห่งความเชื่อสมัยพันธสัญญาเดิม - เป็นตัวอย่างที่ดีให้คริสเตียนได้เจริญรอยตามและเกิดความไว้วางใจในพระเจ้า

........ยากอบ หนังสือพันธสัญญาใหม่เจ็ดเล่มตั้งแต่ยากอบถึงยูดาจัดอยู่ในประเภทจดหมายทั่วไป ฉบับแรกเลยยากอบน้องชายของพระเยซูเป็นผู้เขียน เขาเป็นหนึ่งในผู้นำในคริสจักรที่เยรูซาเลม ยากอบเขียนจดหมายฉบับนี้เพื่อสอนถึงหลักปฏิบัติของคริสเตียน เขาเชื่อว่าผู้ที่มีความเชื่อแท้จริงจะสำแดงออกด้วยการประพฤติตนเเบบคริสเตียนเขาให้คำแนะนำที่สามารถนำไปใช้ในชีวิตจริงเช่นเรื่องความโกรธ การทะเลาะวิวาท การเห็นแก่หน้าคน การยับยั้ง การอวดตัว ความอดทน และการอธิษฐาน

........1 เปโตร เปโตร หนึ่งในสาวกสิบสองคนของพระเยซูเป็นผู้เขียนเขาฝากไปให้พวกคริสเตียนที่กระจัดกระจายอยู่ตามแคว้นต่างๆในเอเซียไมเนอร์ตอนเหนือ คริสเตียนเหล่านี้กำลังถูกข่มเหงเพราะความเชื่อ ดังนั้น เปโตรบอกพวกเขาว่าให้นึกถึงความทุกข์ทรมานของพรเยซูที่ต้องรับเพื่อพวกเขา และให้เอาแบบอย่างด้วยความกล้าหาญและไว้วางใจในพระเจ้า เขาให้เหตุผลว่าเพราะพระเจ้าทรงเลือกพวกเขาให้เป็นคนของพระองค์ และเนื่องจาพระเยซูได้รับความทุกข์ทรมานจนสิ้นพระชนม์แทนพวกเขา ฉะนั้น พวกเขาควรดำเนินชีวิตในวิถีทางที่พระเจ้าทรงพอพระทัย

........2เปโตร เปโตเขียนฝากไปให้คริสเตียนพวกเดียวกับฉบับแรก พวกเขาเหล่านี้กำลังตกอยู่ในอันตรายจากผู้สอนเท็จที่ชักนำให้หลงผิดไป เปโตรให้ข้อคิดว่าวิธีต่อต้านครูเทียมเท็จที่ดีที่สุดคือ เราต้องเติบโตขึ้นในชีวิตคริสเตียนทั้งในด้านความรู้และความเชื่อ เขาเตือนว่าพระเจ้าจะทำลายครูเทียมเท็จทั้งหลาย เปโตรยังยำ้อีกว่าพวกเขาควรมีชีวิตที่ บริสุทธิ์และดีงาม เพราะพระเยซูจะเสด็จกลับมาตามพระสัญญาแน่นอน

........1ยอห์น ยอห์นสาวกที่พระองค์ทรงรักและเป็นผู้เขียนพระกิตติคุณเล่มที่สี่ ได้เขียนจดหมายอีกสามฉบับต่อจากนี้ด้วยฉบับแรกเขียนเตือนคริสเตืยนทั้งหลายถึงอันตรายของครูผู้สอนเท็จที่พยายามชักนำพวกเขาให้หลงผิดไป ครูเหลานั้นสอนว่าพระเยซูทรงเป็นมนุษย์ ไม่ได้เป็นพระคริสต์หรือบุตรพระเจ้าแต่อย่างใด เพราะพระเจ้าจะไม่มาบังเกิดเป็นมนุษย ยอห์นเน้นความสำคัญที่คริสเตียนเราต้องรู้และเชื่อในเรื่องที่พระเยซูเป็นทั้งพระเจ้าและมนุษย์ และบอกพวกเขาว่าเมื่อพวกเขารักซึ่งกันและกันและเชื่อฟังพระบัญญัติของพระเจ้า พวกเขาก็แน่ใจใด้ว่าเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว

์........2 ยอห์น ยอห์นเขียนจดหมายฉบับนี้ส่งไปถึง สุภาพสตรีที่ทรงเลือกไว้ และบรรดาบุตรของท่าน เขาอาจจะหมายถึงสตรีีคริสเตียนคนหนึ่งกับครอบครัวของเธอ หรืออาจจะหมายถึงคริสจักรกับมวลสมาชิกก็ได้ ฉบับนี้ยอห์นเน้นถึงความสำคัญของการที่คริสเตียนจำต้องรักกันและกันเขากล่าวว่าการมีความรักหมายถึงการเชื่อฟังพระบัญญัติของพระเจ้า และพระบัญญัติของพระเจ้าบอกให้เราดำเนินชีวิตต้วยความรัก นอกจากนั้นยอห์นยังเตือนให้ระวังอันตรายจากครูสอนเท็จด้วย

........3 ยอห์น ยอห์นเเขียนถึงกายอัสเพื่อนของเขาและเป็นผู้นำคริสจักรส่วนหนึ่งในคริสจักรของกายอัสมีชายคนหนึ่งชื่อดิโอโตรเฟสเป็นผู้ขักขวางไมาให้ต้อนรับผู้นำข่าวของยอห์นมา และไม่ยอมรับความเป็นผู้นำของยอห์น เขาเขียนจดหมายฉบับนี้ไปยกย่องขอบคุณกายอัสที่ช่วยเหลือและติเตียนดิิโอโตรเฟรที่ไม่ให้ความร่วมมือ ยอห์นสัญญากับกายอัสว่าจะมาเยี่ยมเยียนคริสจักรแห่งนี้ในไม่ช้าเพื่อจัดกากับดิโอโครเฟสด้วยตัวเอง

........ยูดา ยูดาเป็นน้องชายพระเยซูเช่นเดียวกับยากอบ เขาเขียนเตือนพวกคริสเตียนให้ระวังครูสอนเท็จเหมือนกับหนังสือเปโตรฉบับที่สอง พวกครูเทียมทเ็จเหล่านี้ไม่เพียงแต่ปฏิเสธได้ว่าพระเยซูเป็นบุตรของพระเจ้าเพียงเท่านั้น พวกเขายังชักนำลูกของพระเจ้าให้กระทำบาปด้วย ยูดาเตือนว่าพระเจ้าจะลงโทษและทำลายครูเทียมเท็จเหล่านี้แบบเดียวกับที่พระองค์เคยลงโทษคนบาปในพันธสัญญาเดิม

........วิวรณ์ เป็นเล่มเดียวที่อยู่ในหมวดคำพยากรณ์ในพันธสัญญาใหม่หนังสือเล่มนี้เป็นเรื่อง้กี่ยวกับการอวสารของโลกนี้ และการเริ่ม ท้องฟ้าและแผ่นดินใหม่ อัครทูตยอห์นเขียนหนังสือวิวรณ์เล่มนี้ระหว่างถูกเนรเทศไปอยู่บาเกาะปัทมอส ขณะที่พระเยซูพระทานนิมิตให้ยอห์นเห็นสิ่งที่จะเกิดในอนาคต ยอห์นเขียนเล่มนี้ส่งไปถึงพวกคริสเตียนที่ถูกข่มเหงมีความไว้วางใจในพระเจ้าและเชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้ควาบคุมทุกสิ่งบาโลกนี้ นิมิตของยอห์นบ่งชี้ว่าพระเจ้าเป็นผู้ครอบครองเหนือคนและทุกสิ่ง - แม้แต่อำนาจรัฐบาลที่มีอำนาจล้นเหลือ - และพระองค์จะทรงพิพากษกลงโทษสิ่งชั่วร้ายทุกอย่าง นอกจากนั้นหนังสือวิวรณ์ยังให้ภาพของสวรรค์อันเป็นที่ซึ่งเราจะได้ไปอยู่ร่วมกับพระองค์ ...

วันพฤหัสบดีที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2551

40 วันสู่ชัยชนะ



เทศกาลเข้าสู่ธรรม หรือ 40 วันสู่ชัยชนะ เป็นช่วงเวลาที่เราจะ ติดสนิทกับพระเจ้า ใคร่ครวญ ไตร่ตรองสำรวจตัวเอง ถึงการดำเนินชีวิตในหนึ่งปีที่ผ่านมาว่าได้ดำเนินชีวิตอย่างมีคุณค่าในสายพระเนตรของพระเจ้าหรือไม่ ถ้าไม่ ก็เป็นโอกาสดีที่เราจะสำนึกในความผิดบาป กลับใจใหม่ และเริ่มต้นดำเนินชีวิตกับพระองค์อีกครั้ง

การเข้าสู่ธรรม
สัปดาห์ที่ 1 ส .สงบ
สัปดาห์ที่ 2 ส .สำรวม
สัปดาห์ที่ 3 ส.สำรวจตน
สัปดาห์ที่ 4 ส .สารภาพ
สัปดาห์ที่ 5 ส .สันติสุข
สัปดาห์ที่ 6 สัปดาห์แห่งการทนทุกข์
7 พระวาทะของพระเยซูคริสต์


คู่มือ “40วันสู่ชัยชนะ” ที่อยู่ในมือท่านเล่มนี้ ได้จัดขึ้นเพื่อเตรียมใจเข้าสู่เทศกาลอีสเตอร์ ซึ่งเป็นวันที่พระเยซูคริสต์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย เป็นวันแห่งชัยชนะเหนือความมรณา(Resurrection Day) ในช่วงเวลา 40 วันนี้ เราเรียกว่า เทศกาลเข้าสู่ธรรม ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Lent เทศกาลนี้เริ่มต้นที่วันพุธขี้เถ้า (Ash Wednesday) และในปี ค.ศ. 2008 นี้ วันพุธขี้เถ้าตรงกับวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ซึ่งนับจากวันนี้ไปเป็นระยะเวลา 40 วัน (ไม่นับวันอาทิตย์) ไปสิ้นสุดในวันเสาร์ที่ 22 มีนาคม เรียกวันเสาร์นี้ว่า “ วันเงียบ เตรียมพร้อมสำหรับอีสเตอร์ ” หรือ The Vigil of Easter

เทศกาลเข้าสู่ธรรม หรือ 40 วันสู่ชัยชนะ เป็นช่วงเวลาที่เราจะ ติดสนิทกับพระเจ้า ใคร่ครวญ ไตร่ตรองสำรวจตัวเอง ถึงการดำเนินชีวิตในหนึ่งปีที่ผ่านมาว่าได้ดำเนินชีวิตอย่างมีคุณค่าในสายพระเนตรของพระเจ้าหรือไม่ ถ้าไม่ ก็เป็นโอกาสดีที่เราจะสำนึกในความผิดบาป กลับใจใหม่ และเริ่มต้นดำเนินชีวิตกับพระองค์อีกครั้ง

หวังเป็นอย่างยิ่งว่า “คู่มือ 40วันสู่ชัยชนะเล่มนี้ จะมีส่วนในการเตรียมใจทุกท่านก่อนที่จะถึงวันเฉลิมฉลองการเป็นขึ้นมาจากความตายขององค์พระเยซูคริสต์ หรือวันอีสเตอร์ ซึ่งตรงกับวันอาทิตย์ที่ 23 มีนาคมนี้

คณาจารย์คริสตจักรสะพานเหลือง

40วันแห่งชัยชนะ
ตลอดระยะเวลา 40 วันนี้ สามารถแบ่งออกเป็น 2 ช่วง เวลา คือ การเข้าสู่ธรรม และการร่วมทนทุกข์ในสัปดาห์สุดท้าย

ก. การเข้าสู่ธรรม เป็นช่วงเวลาจัดไว้เป็นพิเศษมี 3 ขั้นตอน
1. อ่านพระคัมภีร์ ตาม คู่มือ “ 40 วัน สู่ชัยชนะ”
ใน 40 วันนี้ จะมีข้อพระคัมภีร์ประจำวัน ให้อ่านและใคร่ครวญ ตลอดจนข้อคิดที่ได้ในแต่ละวัน โดยใช้ 5 ส. ในการเข้าเฝ้าพระเจ้าเป็นพิเศษใน 5 สัปดาห์ ส่วนสัปดาห์ที่ 6 เป็นการเตรียมเข้าสู่สัปดาห์สุดท้าย เพื่อร่วมทนทุกข์กับองค์พระเยซูคริสต์ในสัปดาห์แห่งการทนทุกข์
สัปดาห์ที่ 1 ส. สงบ
สัปดาห์ที่ 2 ส. สำรวม
สัปดาห์ที่ 3 ส. สำรวจตน
สัปดาห์ที่ 4 ส. สารภาพบาป
สัปดาห์ที่ 5 ส. สันติสุข
สัปดาห์ที่ 6 สัปดาห์แห่งการทนทุกข์

2. อธิษฐานตามหัวข้อที่ได้กำหนดไว้ในคู่มือ“ 40 วัน สู่ชัยชนะ”
ตลอด 40 วัน มีหัวข้ออธิษฐานที่ได้จัดเตรียมให้ซึ่งสอดคล้องกับหัวข้อในแต่ละวัน เราสามารถเพิ่มหัวข้ออธิษฐานในเรื่องอื่นๆที่มีภาระใจเป็นพิเศษในช่วงนี้ได้ นอกจากนี้ในคู่มือยังมีตัวอย่างคำอธิษฐาน เช่น คำอธิษฐานตามแบบที่พระเยซูตรัสสอน คำอธิษฐานของเซนต์ฟรานซิสแห่งอาซิซี หลักข้อเชื่ออัครธรรมทูต รวมถึง 7 คำตรัสของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน

3. อดอาหารเพื่อระลึกถึงผู้อดอยาก ยากไร้ และด้อยโอกาส
การอดอาหารในช่วง 40 วันแห่งชัยชนะ มีจุดมุ่งหมายที่สำคัญคือ เป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้เรา ลด เลิก ละ ที่จะทำบาป หรือลดการใช้ชีวิตฟุ่มเฟือย ในขณะที่เราอดอาหาร เราก็ต้องใช้เวลาในการอธิษฐานถึงองค์พระผู้เป็นเจ้า ขอพระเจ้าเมตตาเรา และให้เรารู้จักคิดถึงผู้ที่ตกทุกข์ได้ยาก ไม่ว่าผู้ที่อดอยาก ยากไร้ ผู้ที่ด้อยโอกาส และผู้ที่อยู่ชายขอบสังคม ด้วยใจรักของพระเยซูคริสต์

ข. การเข้าร่วมทนทุกข์ในสัปดาห์สุดท้าย
เป็นการเตรียมเข้าสู่สัปดาห์สุดท้าย เพื่อร่วมทนทุกข์กับองค์พระเยซูคริสต์ในสัปดาห์แห่งการทนทุกข์ ( Passion Week) เป็นเวลา 6 วัน เริ่มต้นจากวันอาทิตย์ใบปาล์ม (Palm Sunday)
วันอาทิตย์ที่16 มีนาคม 2008 วันใบปาล์ม
เป็นวันที่พระเยซูคริสต์เสด็จเข้าสู่กรุงเยรูซาเล็มอย่างผู้มีชัยชนะ (ยอห์น12:12-19) คริสตจักรจะนมัสการพระเจ้าเพื่อระลึกถึงวันที่ประชาชนได้สรรเสริญพระเจ้า และตามเสด็จไปยังพระวิหาร เป็นขบวนแห่ไปด้วยเสียงโฮซันนา

วันจันทร์ที่ 17 มีนาคม 2008
เป็นวันที่พระเยซูเสด็จเข้าสู่กรุงเยรูซาเล็ม เพื่อชำระพระวิหาร (มาระโก 11:15-19)

วันอังคารที่ 18 มีนาคม 2008
เป็นวันที่พระเยซูคริสต์เจ้าประทานพระบัญญัติรักแก่เรา ( มัทธิว 22:37-40)

วันพุธที่ 19 มีนาคม 2008
เป็นวันที่พระเยซูคริสต์ได้รับการชโลมที่หมู่บ้านเบธานี (มัทธิว 26:6-13 )

วันพฤหัสที่ 20 มีนาคม 2008 วันสถาปนาพิธีมหาสนิท
เป็นวันนมัสการในเทศกาลขนมปังไร้เชื้อ หรือเทศกาลปัสกา (Passover) พระเยซูคริสต์ทรงรับประทานปัสการ่วมกับสาวกของพระองค์ เป็นวันที่พระเยซูทรงตั้งมหาสนิทศักดิ์สิทธิ์ (Holy Communion) และทรงมีรับสั่งให้สาวกถือปฎิบัติ จนกว่าพระองค์จะเสด็จกลับมาครั้งที่สอง (Second Coming ) (มาระโก 14:22-26)

วันศุกร์ที่ 21 มีนาคม 2008 ศุกร์ประเสริฐ
เป็นวันที่พระเยซูคริสต์ทรงถูกตรึงบนกางเขน (มาระโก 15:21-41)

วันเสาร์ที่ 22 มีนาคม 2008
เป็นวันที่สงบเงียบ ในพระธรรม 1 เปโตร 3:19 บันทึกว่า พระเยซูคริสต์ได้เสด็จไปประกาศพระวจนะแก่วิญญาณที่ติดคุกอยู่

วันอาทิตย์ที่ 23 มีนาคม 2008 วันอีสเตอร์
เป็นวันที่พระเยซูคริสต์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย พระองค์ทรงพระชนม์อยู่ และมีชัยชนะเหนือสรรพสิ่งทั้งปวง



วันที่ 1 ของ 40 วันสู่ชัยชนะ
วันพุธที่ 6 กุมภาพันธ์ 2008
“จิตใจของข้าพเจ้า สงบคอยท่าพระเจ้าแต่องค์เดียว เพราะความหวังของข้าพเจ้ามาจากพระองค์“ สดุดี 62:5

ข้อคิด “ความสงบทำเราได้พบกับพระเจ้า ที่นำความหวังมาสู่ชีวิตของเรา”
อธิษฐาน 1. ขอพระเจ้าให้เรามั่นคงอยู่ในความหวังของพระองค์ตลอดไป
2.ขอพระเจ้า ให้เรามีชีวิตที่ติดสนิทกับพระองค์

วันที่ 2 ของ 40 วันสู่ชัยชนะ
วันพฤหัสบดีที่ 7 กุมภาพันธ์
“จงสงบอยู่ต่อพระเจ้าและเพียรรอคอยพระองค์อยู่ อย่าให้ใจของท่านเดือดร้อนเพราะเหตุผู้ที่เจริญตามทางของเขาหรือเพราะเหตุผู้ที่กระทำตามอุบายชั่ว” สดุดี 37:7

ข้อคิด : การสงบและรอคอยพระเจ้า ทำให้ใจของเราไม่ตกอยู่ในหนทางของความชั่ว
อธิษฐาน1. ขอพระเจ้าช่วยเราให้จากพ้นจากการทดลองในเรื่องต่างๆ
2.ขอพระเจ้าประทานความสงบและวางใจในพระองค์อย่างแท้จริง

วันที่ 3 ของ 40 วันสู่ชัยชนะ
วันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2008“
“ โกรธก็โกรธเถิด แต่อย่าทำบาป จงคำนึงในใจเวลาอยู่บนที่นอนและสงบอยู่ ” สดุดี 4:4

ข้อคิด : ความโกรธไม่มีประโยชน์ต่อเราเลย แต่ จิตใจที่สงบช่วยให้เราไม่ทำบาป
อธิษฐาน1. ขอพระเจ้าให้เราตระหนักในความอ่อนแอของตนเอง
2. ขอพระเจ้าเสริมกำลังให้เรามีชัยชนะต่ออารมณ์โกรธ

วันที่ 4 ของ 40 วันสู่ชัยชนะ
วันเสาร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ 2008
“แต่ข้าพระองค์ได้สงบและระงับจิตใจของข้าพระองค์ อย่างเด็กที่หย่านมแล้ว สงบอยู่ที่อกมารดาของตน จิตใจของข้าพระองค์ สงบอยู่ภายในข้าพระองค์ เหมือนอย่างเด็กที่หย่านมแล้ว “ สดุดี 131:2

ข้อคิด : จิตใจที่สงบและบริสุทธิ์ เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงพอพระทัย
อธิษฐาน 1. ขอพระเจ้าประทานให้เรามีชีวิตที่งดงามถวายเกียรติยศแด่พระเจ้า
2. ขอพระเจ้าให้เราเรียนรู้ที่จะมีใจสงบเพื่อเข้าใจน้ำพระทัยพระองค์

สัปดาห์ที่ 1 ส .สงบ
สัปดาห์ที่ 1
ส . สงบ
ใช้เวลาในสัปดาห์แรกนี้เป็นเวลาส่วนตัวที่สงบเงียบ ทั้งเวลาและสถานที่ เพื่ออ่านพระคัมภีร์ใกล้ชิดกับพระเจ้า โดยละภารกิจและความวุ่นวายในเวลานั้น ตั้งไว้เป็นเวลาพิเศษเพื่อพระองค์

อาทิตย์ที่ 1
วันอาทิตย์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2008
“ ข้าพเจ้าจะสรรเสริญพระเจ้าตลอดไป คำสรรเสริญพระองค์อยู่ที่ปากข้าพเจ้าเรื่อยไป” สดุดี 34:1
ข้อคิด : ผู้ที่แสวงหาพระเจ้าจะไม่ขาดแคลนสิ่งดีใดๆจากพระองค์เลย
อธิษฐาน 1. ขอพระเจ้าประทานชีวิตที่ยำเกรงพระองค์ให้แก่เราตลอดเวลา
2. ขอพระเจ้าประทานจิตใจที่ถ่อมสุภาพให้แก่เราอยู่เสมอ

วันที่ 5 ของ 40 วันสู่ชัยชนะ
วันจันทร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2008
“ใจที่สงบให้ชีวิตแก่เนื้อหนัง แต่กิเลสกระทำให้กระดูกผุ” สุภาษิต 14:30
ข้อคิด : ความสงบเป็นผลดีต่อการงานทำให้ตั้งมั่นในสิ่งที่ถูกต้อง
อธิษฐาน 1. ขอพระเจ้าทรงสอนเราให้รู้จักมอบถวายงานของเราไว้กับพระองค์
2.ขอพระเจ้าอวยพร เพื่อนร่วมงานของเราให้ทำงานร่วมกับเราอย่างมีความสุข

วันที่ 6 ของ 40 วันสู่ชัยชนะ
วันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์ 2008
“…….จงนิ่งสงบอยู่ต่อพระเจ้า เพราะว่าพระองค์ทรงตื่นและเสด็จจากที่ประทับอันบริสุทธิ์ของพระองค์แล้ว “ เศคาริยาห์ 2:13
ข้อคิด : จงนมัสการพระเจ้า ด้วยท่าทีที่สงบและบริสุทธิ์
อธิษฐาน1. ขอพระเจ้าประทานท่าทีที่ถูกต้องในการนมัสการพระองค์
2. ขอพระเจ้าประทานให้พี่น้องสมาชิกทุกคนชื่นชมยินดีกับการนมัสการ

วันที่ 7 ของ 40 วันสู่ชัยชนะ
วันพุธที่ 13 กุมภาพันธ์ 2008
“ถ้าเป็นได้คือเท่าที่เรื่องขึ้นอยู่กับท่าน จงอยู่อย่างสงบสุขกับทุกคน” โรม 12:18
ข้อคิด : การดำเนินชีวิตอย่างสงบสุขของคริสเตียน มีส่วนทำให้สังคมเต็มไปด้วยความสงบสุข
อธิษฐาน 1. ขอพระเจ้าอวยพรให้คริสเตียนในเมืองไทยมีส่วนสร้างสรรทำให้เกิดความสงบสุขในสังคม
2.ขอพระเจ้าทรงเมตตาให้พี่น้องสมาชิกในคริสตจักรมีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

วันที่ 8 ของ 40 วันสู่ชัยชนะ
วันพฤหัสบดีที่ 14 กุมภาพันธ์ 2008
“อวสานของสิ่งทั้งปวงก็ใกล้จะมาถึงแล้ว เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงมีสติสัมปชัญญะและจงรู้จักสงบใจ
เพื่อแก่การอธิษฐาน” 1เปโตร 4:7
ข้อคิด : การดำเนินชีวิตอย่างคนมีปัญญา คือมีสติและวางใจในพระเจ้า
อธิษฐาน 1. ขอพระเจ้าสอนเราให้เราระแวดระวังในการดำเนินชีวิตอย่างมีสติปัญญา
2. ขอพระเจ้าทรงสร้างชีวิตที่มีวินัยในการติดสนิทกับพระเจ้า

วันที่ 9 ของ 40 วันสู่ชัยชนะ
วันศุกร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2008
“แต่ปัญญาจากเบื้องบนนั้นบริสุทธิ์เป็นประการแรก แล้วจึงเป็นความสงบสุข สุภาพและว่าง่าย เปี่ยมด้วยความเมตตาและผลที่ดี ไม่ลำเอียง ไม่หน้าซื่อใจคด” ยากอบ 3:17
ข้อคิด : ความสงบเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ดำเนินด้วยปัญญา
อธิษฐาน 1.ขอพระเจ้าประทานชีวิตที่สัตย์ซื่อต่อพระเจ้า และต่อผู้อื่นให้แก่เรา
2. ขอพระเจ้าประทานปัญญาจากเบื้องบนให้แก่เราเพื่อเราจะดำเนินชีวิตที่พอพระทัยพระเจ้า

วันที่ 10 ของ 40 วันสู่ชัยชนะ
วันเสาร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ 2008
“ท่านทั้งหลายจงสงบใจ จงระวังระไวให้ดี ด้วยว่าศัตรูของท่าน คือมาร วนเวียนอยู่รอบๆดุจสิงห์คำราม เที่ยวไปเสาะหาคนที่มันจะกัดกินได้” 1เปโตร 5:8
ข้อคิด : ใช้ความสงบเพื่อสยบมารร้าย และจะไม่ตกเป็นเหยื่อของมัน
อธิษฐาน 1) ขอพระเจ้าประทานกำลังให้เรามีชัยชนะต่อการทดลอง
2) ขอพระเจ้าประทานให้คนในครอบครัวของเราจะปลอดภัยจากสิ่งชั่วร้ายต่างๆ

สัปดาห์ที่ 2 ส .สำรวม
สัปดาห์ที่ 2
ส . สำรวม
สัปดาห์ที่ 2 ให้เราใช้เวลาในการสำรวมใจและกาย ระลึกถึงพระเยซูที่ทรงเข้าไปอยู่ในถิ่นทุรกันดารด้วยการอดอาหาร และมีชัยชนะต่อการทดลอง

อาทิตย์ที่ 2
วันอาทิตย์ ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2008
ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงสอนพระมรรคาของพระองค์แก่ข้าพระองค์ เพื่อข้าพระองค์จะดำเนิน
ในความจริงของพระองค์ ขอทรงสำรวมใจของข้าพระองค์ ให้ยำเกรงพระนามของพระองค์”
สดุดี 86:11
ข้อคิด : ผู้ที่รู้จักพระเจ้าจะถ่อมใจ และผู้ที่รู้จักตัวเองจะไม่หยิ่งผยอง
อธิษฐาน: 1. ขอพระเจ้าประทานให้เรามีใจที่ยำเกรงพระเจ้าและมีจิตใจที่สำรวมอยู่เสมอ
2. ขอพระเจ้าประทานกำลังให้เรามีดำเนินชีวิตตามความจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า

วันที่ 11 ของ 40 วันสู่ชัยชนะ
วันจันทร์ ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2008
“ ความยำเกรงพระเจ้า เป็นที่เริ่มต้นของปัญญา และซึ่งรู้จักองค์บริสุทธิ์ เป็นความรอบรู้ ” สุภาษิต 9:10
ข้อคิด : สติสัมปชัญญะช่วยเราดำเนินชีวิตอย่างรอบคอบและประสบความสำเร็จ
อธิษฐาน : 1.ขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับกำลังและสติปัญญาในการดำเนินชีวิตที่พระเจ้านำพาเสมอ
2. ขอพระเจ้าประทานให้เรามีจิตใจที่สำรวม ใช้เวลาในการอธิษฐาน เพื่อพร้อมเผชิญการทดลอง

วันที่ 12 ของ 40 วันสู่ชัยชนะ
วันอังคาร ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2008
“จงให้วาจาของท่านประกอบด้วย เมตตาคุณเสมอ ปรุงด้วยเกลือให้มีรส
เพื่อท่านจะได้รู้จักตอบให้จุใจแก่ทุกคน” โคโลสี 4:6
ข้อคิด : เกลือมีคุณสมบัติในการรักษาอาหาร และให้รสชาติฉันใด
คำพูดของคริสตชนควรจะมีความไพเราะ สุภาพ จริงใจ จับใจผู้ฟังฉันนั้น
อธิษฐาน: 1.ขอพระเจ้าช่วยให้เรามีท่าทีสำรวมในการใช้วาจาเพื่อเป็นการถวายเกียรติแด่พระเจ้า
2. ขอพระเจ้ายกโทษเราที่เราอาจใช้คำพูดของเราทำร้ายผู้อื่นทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ

วันที่ 13 ของ 40 วันสู่ชัยชนะ
วันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์ 2008
“ถ้าประชากรของเราผู้ซึ่งเขาเรียกกัน โดยชื่อของเรานั้นจะถ่อมตัวลง และอธิษฐานและแสวงหาหน้า
ของเรา และหันเสียจากทางชั่วของเขา เราก็จะฟังจากสวรรค์ และจะให้อภัยแก่บาป
ของเขาและจะรักษาแผ่นดินของเขาให้หาย” 2 พงศาวดาร7:14
ข้อคิด : พระเจ้าทรงต่อสู้ผู้ที่หยิ่งจองหอง แต่ทรงประทานพระคุณต่อผู้ที่ใจถ่อม
อธิษฐาน 1) ขอพระเจ้าช่วยเราให้มีท่าทีที่ถ่อมลงแสวงหาพระเจ้าอย่างสุดหัวใจ
2) ขอพระเจ้าประทานปัญญาให้เราไวต่อสิ่งชั่วร้ายและขออย่าให้เราเข้าสู่การทดลอง

วันที่ 14 ของ 40 วันสู่ชัยชนะ
วันพฤหัสบดี ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2008
“ดูเถิด เราใช้พวกท่านไปดุจแกะอยู่ท่ามกลางหมาป่า
เพราะฉะนั้นจงฉลาดเหมือนงู และไม่มีภัยเหมือนนกพิราบ” มัทธิว 10:16
ข้อคิด: จงเป็นคนที่เข้มแข็งไม่ใช้แข็งกระด้าง และจงเป็นคนที่อ่อนโยนไม่ใช่คนที่อ่อนแอ
อธิษฐาน 1. ขอพระเจ้าให้เราเป็นคนที่เข้มแข็ง และอ่อนสุภาพเหมือนพระเยซู
2. ขอพระเจ้าให้เรารู้จักใช้ความอ่อนโยนเป็นพยานเพื่อพระองค์

วันที่ 15 ของ 40 วันสู่ชัยชนะ
วันศุกร์ ที่ 22 กุมภาพันธ์ 2008
“แต่จงให้เป็นการประดับภายในจิตใจแต่งด้วยเครื่องประดับซึ่งไม่รู้เสื่อมสลาย คือด้วยจิตใจที่สงบและสุภาพซึ่งเป็นสิ่งที่ประเสริฐยิ่งในสายพระเนตรพระเจ้า” 1 เปโตร3:4
ข้อคิด มนุษย์มองคนที่ภายนอก แต่พระเจ้าทอดพระเนตรในจิตใจ
อธิษฐาน 1.ขอพระเจ้าสอนเราไม่ให้มองผู้อื่นเพียงแต่ภายนอก
2.ขอพระเจ้าช่วยให้เราสำแดงชีวิตที่งดงามทั้งภายในและภายนอกเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า

วันที่ 16 ของ 40 วันสู่ชัยชนะ
วันเสาร์ ที่ 23 กุมภาพันธ์ 2008
“ ….. เราชื่นชมยินดีในความทุกข์ยากของเราด้วย เพราะเรารู้ว่าความทุกข์ยากนั้นทำให้เกิดความอดทน และความอดทนทำให้เห็นว่าเราเป็นคนที่พระเจ้าทรงใช้ได้….” โรม 5:3-4
ข้อคิด : ความสงบ สยบปัญหา ความสำรวมแก้ปัญหาให้เป็นโอกาส
อธิษฐาน: 1. ขอพระเจ้าประทานใจที่สงบ อดทน ต่อสู้กับปัญหาต่างๆได้
2. ขอพระเจ้าประทานปัญญาให้เรารู้จักที่จะแก้วิกฤติให้เป็นโอกาส

สัปดาห์ที่ 3 ส.สำรวจตน
สัปดาห์ที่ 3
ส. สำรวจตน

ในสัปดาห์ที่ 3 เป็นช่วงเวลาพิเศษที่จะสำรวจตนว่ามีอะไรที่ พระเจ้าทรงประสงค์แต่เราไม่ได้กระทำ
มีอะไรที่ไม่ใช่น้ำพระทัยของพระเจ้า เรายังกระทำอยู่ ขอพระเจ้าช่วยเราให้สำรวจพบจุดบกพร่องของเราและพร้อมที่จะแก้ไข ปรับแต่ง ให้ดีขึ้น

อาทิตย์ที่ 3
วันอาทิตย์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2008
“อย่าประพฤติตามอย่างคนในยุคนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ แล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่
เพื่อท่านจะได้ทราบน้ำพระทัยของพระเจ้า จะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัยและอะไรดียอดเยี่ยม”
โรม 12: 2
ข้อคิด : เราได้กระทำใน สิ่งที่พระเจ้าทรงประสงค์มากน้อยเพียงใด
อธิษฐาน 1.ขอพระเจ้าปรับเปลี่ยนชีวิตจิตใจ ของเราใหม่ตามน้ำพระทัยของพระองค์
2.ขอพระเจ้าประทานกำลังให้เราสามารถดำเนินชีวิตทวนกระแสสังคมได้

วันที่ 17 ของ 40 วันสู่ชัยชนะ
วันจันทร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ 2008
“แต่ถ้าผู้ใดมีทรัพย์สมบัติในโลกนี้ และเห็นพี่น้องของตนขัดสนแล้วยังใจจืดใจดำไม่สงเคราะห์เขา ความรักของพระเจ้าจะดำรงอยู่ในผู้นั้นอย่างไรได้” 1 ยอห์น 3 :17
ข้อคิด เรารักเพื่อนบ้าน เสมือนรักตนเองหรือไม่
อธิษฐาน 1.ขอพระเจ้าสอนให้เราที่จะรู้จักรักคนอื่นโดยปราศจากเงื่อนไข
2. ขอพระเจ้าสอนเราให้มีใจแบ่งปันสิ่งดีๆ ให้กับพี่น้อง

วันที่ 18 ของ 40 วันสู่ชัยชนะ
วันอังคารที่ 26 กุมภาพันธ์ 2008
“ดังนี้แหละเราจึงรู้จักความรัก โดยที่พระองค์ได้ทรงยอมสละพระชนม์ของพระองค์เพื่อเราทั้งหลาย และเราทั้งหลายก็ควรจะสละชีวิตของเราเพื่อพี่น้อง” 1 ยอห์น 3:16

ข้อคิด รักพระเจ้า ทำดีกับพี่น้อง
อธิษฐาน 1.ขอพระเจ้าประทานกำลังให้เรากล้าที่จะกระทำสิ่งดีเพื่อพระเจ้า
2.ขอพระเจ้าสอนเราให้เรารักผู้อื่นด้วยการกระทำ

วันที่ 19 ของ 40 วันสู่ชัยชนะ
วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ 2008
“ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย ในที่สุดนี้ขอจงใคร่ครวญถึงสิ่งที่จริง สิ่งที่น่านับถือ สิ่งที่ยุติธรรม สิ่งที่บริสุทธิ์ สิ่งที่น่ารัก สิ่งที่ทรงคุณ คือถ้ามีสิ่งใดที่ล้ำเลิศ สิ่งใดที่ควรแก่การสรรเสริญ ก็ขอจงใคร่ครวญดู”ฟิลิปปี 4: 8

ข้อคิด : ชีวิตของเรางดงามดีแล้วหรือ ที่จะถวายแด่พระเจ้า
อธิษฐาน 1. ขอพระเจ้าให้เรามีชีวิตที่ดีงามเพื่อถวายเกียติแด่พระองค์
2. ขอพระเจ้าทรงตรวจสอบจิตใจของเราเสมอ เพื่อเราจะไม่กระทำบาปต่อพระองค์

วันที่ 20 ของ 40 วันสู่ชัยชนะ
วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ 2008
“ ข้าพเจ้าได้ต่อสู้อย่างเต็มกำลัง ข้าพเจ้าได้แข่งขันจนถึงที่สุด ข้าพเจ้าได้รักษาความเชื่อไว้แล้ว” 2 ทิโมธี 4:7
ข้อคิด : ความสัตย์ซื่อต้องใช้เวลาในการพิสูจน์
อธิษฐาน 1. ขอพระเจ้ารักษาความเชื่อของเราให้มั่นคงอยู่เสมอ
2.ขอพระเจ้าประทานความสัตย์ซื่อให้กับเราตลอดไป

วันที่ 21 ของ 40 วันสู่ชัยชนะ
วันศุกร์ที่ 29 กุมภาพันธ์ 2008
“ จงอุตส่าห์สำแดงตนว่าได้ทรงพิสูจน์แล้ว เป็นคนงานที่ไม่ต้องอายใช้พระวจนะแห่งความจริงอย่างถูกต้อง”
2 ทิโมธี 2 : 15
ข้อคิด : เราต้องถามตัวเองเสมอว่าเราเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงใช้การได้หรือไม่
อธิษฐาน 1. ขอพระเจ้าเปลี่ยนแปลงชีวิตเราเพื่อให้เป็นคนที่พระเจ้าทรงใช้การได้
2. ขอพระเจ้าอวยพรให้เรารับใช้ร่วมกับพี่น้องอย่างมีความสุข

วันที่ 22 ของ 40 วันสู่ชัยชนะ
วันเสาร์ที่ 1 มีนาคม 2008
“ แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน
แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้” (มัทธิว 6:33)
ข้อคิด เราได้ให้พระเจ้าเป็นที่หนึ่งในชีวิตของเราแล้วหรือ
อธิษฐาน 1.ขอมอบถวายชีวิตแด่พระเจ้า
2.ขอพระเจ้าสอนเราให้วางใจในสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้

สัปดาห์ที่ 4 ส .สารภาพ
สัปดาห์ที่ 4
ส . สารภาพ

สัปดาห์ที่ 4 เป็นสัปดาห์แห่งการสารภาพบาปกับพระเจ้า เมื่อเราทราบว่าเราได้กระทำผิดต่อพระเจ้า และต่อเพื่อนบ้าน จะเป็นการจงใจ หรือกระทำไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ตาม ขอการยกโทษตามพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์

อาทิตย์ที่ 4
วันอาทิตย์ที่ 2 มีนาคม 2008
“ เครื่องบูชาที่พระเจ้าทรงรับได้คือจิตใจที่ชอกช้ำ จิตใจที่สำนึกผิดและชอกช้ำนั้น
ข้าแต่พระเจ้า พระองค์มิได้ทรงดูถูก” สดุดี 51:17

ข้อคิดในวันนี้ พระเจ้าทรงให้อภัยแก่ทุกหัวใจที่ร่ำไห้ และทรงชูกำลังทุกคนที่อ่อนล้า
อธิษฐานเผื่อ 1. ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงให้อภัยความผิดบาปของเราในทุกเรื่อง
2. ขอบคุณพระเจ้าสำหรับความรักมั่นคงของพระเจ้าที่ไม่เคยหยุดยั้ง เป็นของใหม่อยู่ทุกเวลาเช้า

วันที่ 23 ของ 40 วันสู่ชัยชนะ
วันจันทร์ที่ 3 มีนาคม 2008
ถ้าผู้ใดว่า “ข้าพเจ้ารักพระเจ้า” และใจยังเกลียดชังพี่น้องของตน ผู้นั้นก็เป็นคนพูดมุสา
เพราะว่าผู้ที่ไม่รักพี่น้องของตนที่แลเห็นแล้ว จะรักพระเจ้าที่ไม่เคยเห็นไม่ได้ ” 1 ยอห์น 4:20

ข้อคิด : ความรักของเราต่อพระเจ้า เห็นได้จากความรักของเราต่อผู้อื่น
อธิษฐาน : 1. ขอพระเจ้ายกโทษให้เรา ในการกระทำที่เรามีต่อผู้อื่นที่ยังไม่ได้ช่วยเหลือ ไม่ได้ให้อภัยผู้อื่น
2. ขอพระเจ้าเมตตาที่เราจะรักผู้อื่นมากขึ้น และไม่ละเลยที่จะกระทำการดีเพื่อผู้อื่น

วันที่ 24 ของ 40 วันสู่ชัยชนะ
วันอังคารที่ 4 มีนาคม 2008
ข้าพเจ้าว่า “ข้าพเจ้าจะระแวดระวังทางของข้าพเจ้า เพื่อข้าพเจ้าจะไม่ทำบาปด้วยลิ้นของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะใส่บังเหียน
ปากของข้าพเจ้า ตราบเท่าที่คนอธรรมอยู่ต่อหน้าข้าพเจ้า” สดุดี 39:1

ข้อคิด : ขอให้กาย วาจา ใจ เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า
อธิษฐาน : 1. สารภาพกับพระเจ้าที่บ่อยครั้งคำพูดของเราทำให้ คนอื่นไม่สบายใจ ทำให้เกิดความบาดหมางใจ หรือ
ก่อให้เกิดความแตกร้าวภายในครอบครัวและในคริสตจักร
2. ขอพระเจ้าประทานให้เรามีความคิดในเชิงบวกและใช้วาจาที่ชื่นชมยินดีกับผู้อื่น

วันที่ 25 ของ 40 วันสู่ชัยชนะ
วันพุธที่ 5 มีนาคม 2008
“ ถ้าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรม ก็จะทรงโปรดยกบาปของเรา
และจะทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น ” 1 ยอห์น 1:9

ข้อคิด : การสารภาพบาปต่อพระเจ้านำมาซึ่งการชำระจากพระองค์เสมอ
อธิษฐาน 1. ขอพระเจ้าชำระความบาปในใจเรา โดยเฉพาะบาปเล็กน้อยที่ซ่อนเร้นอยู่
2. ขอพระเจ้าประทานสติปัญญาให้เราดำเนินชีวิตด้วยความระมัดระวังที่จะไม่กระทำความผิดบาป

วันที่ 26 ของ 40 วันสู่ชัยชนะ
วันพฤหัสที่ 6 มีนาคม 2008
“และขอทรงโปรดยกบาปผิดของข้าพระองค์ เหมือนข้าพระองค์ยกโทษผู้ที่ทำผิดต่อข้าพระองค์นั้น” มัทธิว 6:12

ข้อคิด พระเจ้าทรงให้อภัยคนบาปอย่างเรา เราควรให้อภัยพี่น้องที่เป็นคนบาปเหมือนเรา
อธิษฐาน 1. ขอพระเจ้าให้เรามีใจพร้อมให้อภัยผู้อื่นในทุกเรื่อง
2. ขอพระเจ้าอวยพรให้พี่น้องรักกันและให้อภัยแก่กันและกัน

วันที่ 27 ของ 40 วันสู่ชัยชนะ
วันศุกร์ที่ 7 มีนาคม 2008
“เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงหันกลับและตั้งใจใหม่เพื่อพระเจ้าจะทรงลบล้างความผิดบาปของท่านเสีย
เพื่อวาระพักผ่อนหย่อนใจจะได้มาจากพระพักตร์พระเจ้า” กิจการ 3:19

ข้อคิด : พระเจ้าไม่เคยทรงปฎิเสธผู้ที่หันกลับมาหาพระองค์
อธิษฐาน : 1. ขอบคุณพระเจ้าที่เฝ้ารอคอยการกลับมาของเราตลอดเวลา
2. ขอพระเจ้าให้เรายึดมั่นในพระสัญญาของพระองค์อยู่เสมอ

วันที่ 28 ของ 40 วันสู่ชัยชนะ
วันเสาร์ที่ 8 มีนาคม 2008
“ ข้าแต่พระเจ้าขอทรงสร้างใจสะอาดภายในข้าพระองค์ และฟื้นน้ำใจที่หนักแน่นขึ้นใหม่ภายในข้าพระองค์” สดุดี 51:10
ข้อคิด : พระเจ้าทรงพร้อมสร้างใจใหม่ให้กับทุกคนที่ขอพระองค์
อธิษฐาน : 1 ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงชำระใจเราให้สะอาด เป็นของใหม่อยู่เสมอ
2 ขอบคุณพระเจ้าสำหรับสวัสดิภาพและความมั่นคงอย่างอุดม

สัปดาห์ที่ 5 ส .สันติสุข
สัปดาห์ที่ 5
ส . สันติสุข
พระเยซูคริสต์ทรงตรัสไว้ว่า “ เรามอบสันติสุขไว้ให้ท่านทั้งหลาย สันติสุขของเราที่ให้แก่ท่านนั้น
เราให้ท่านมาเหมือนโลกให้ อย่าให้ใจของท่านวิตกและอย่ากลัวเลย” ยอห์น 14:27 ดังนั้นสัปดาห์ที่ 5 จึงเต็มไปด้วยสันติสุขและสันติภาพในชีวิต

อาทิตย์ที่ 5
วันอาทิตย์ที่ 9 มีนาคม 2008
“ ฝ่ายผลของพระวิญญาณนั้นคือ ความรัก ความปลาบปลื้มใจ สันติสุข ความอดกลั้นใจ
ความปรานี ความดี ความสัตย์ซื่อ ความสุภาพอ่อนน้อม การรู้จักบังคับตน
เรื่องอย่างนี้ไม่มีธรรมบัญญัติห้ามไว้เลย ” กาลาเทีย 5:22-23

ข้อคิด : “ผลของพระวิญญาณสำแดงด้วยชีวิตที่ดีงาม
อธิษฐาน 1 ขอพระเจ้าประทานให้ชีวิตเรามีผลของพระวิญญาณโดยเฉพาะอย่างยิ่งสันติสุขในชีวิต
2 ขอพระเจ้าประทานชีวิตที่เกิดผลแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์แก่สมาชิกในคริสตจักร

วันที่ 29 ของ 40 วันสู่ชัยชนะ
วันจันทร์ที่ 10 มีนาคม 2008
“ บุคคลผู้ใดสร้างสันติ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าพระเจ้าจะทรงเรียกเขาว่าเป็นบุตร ” มัทธิว5:9

ข้อคิด : พระเจ้าปรารถนาให้เราเป็นผู้สร้างสันติสุขในทุกที่ และ ทุกโอกาส
อธิษฐาน 1. ขอพระเจ้าประทานความรักและสันติสุขในครอบครัวให้แก่พี่น้องในคริสตจักร
2 ขอพระจ้าประทานสันติภาพและสันติสุขแก่สังคมไทย

วันที่ 30 ของ 40 วันสู่ชัยชนะ
วันอังคารที่ 11 มีนาคม 2008
“ เรามอบสันติสุขไว้ให้แก่ท่านทั้งหลาย สันติสุขของเราที่ให้แก่ท่านนั้น เราให้ท่านไม่เหมือนโลกให้
อย่าให้ใจของท่านวิตกและอย่ากลัวเลย ” ยอห์น14:27

ข้อคิด: สันติสุขในพระคริสต์เสริมสร้างชีวิตให้มั่นคง
อธิษฐาน 1. ขอพระเจ้าประทานสันติสุขให้กับพี่น้องของเราในการทำงานแต่ละวันอย่างดีและมีประสิทธิภาพ
2. ขอพระเจ้าประทานสันติสุขให้กับเพื่อนร่วมงานและคนรอบข้างที่เราต้องเกี่ยวข้องด้วย

วันที่ 31 ของ 40 วันสู่ชัยชนะ
วันพุธที่ 12 มีนาคม 2008
“ เราได้บอกเรื่องนี้แก่ท่าน เพื่อท่านจะได้มีสันติสุขในเรา ในโลกนี้ท่านจะประสบความทุกข์ยาก
แต่จงชื่นใจเถิดเพราะว่าเราได้ชนะโลกแล้ว ” ยอห์น 16:33

ข้อคิด : สันติสุขในพระเจ้าจะเด่นชัดขึ้นท่ามกลางความทุกข์ยาก
อธิษฐาน 1. ขอพระเจ้าให้เรากล้าเผชิญความทุกข์ยากลำบากโดยพึ่งในพระคุณพระเจ้า
2.ขอพระเจ้าประทานชัยชนะต่อความทุกข์ยากลำบากให้แก่เรา

วันที่ 32 ของ 40 วันสู่ชัยชนะ
วันพฤหัสบดีที่ 13 มีนาคม 2008
“ ….สันติสุขแห่งพระเจ้า ซึ่งเกินความเข้าใจ จะคุ้มครองจิตใจและความคิดของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์ ”
ฟีลิปปี4:7
ข้อคิด : สันติสุขนำมาซึ่งความสุขใจและชีวิตที่เกิดผล
อธิษฐาน 1. ขอพระเจ้าประทานให้เรารู้จักนำสันติสุขไปสู่ผู้อื่น
2. ขอบคุณพระเจ้าสำหรับสันติสุขของพระองค์ที่อยู่กับเราเสมอ

วันที่ 33 ของ 40 วันสู่ชัยชนะ
วันศุกร์ที่ 14มีนาคม 2008
“ ขอให้องค์พระเจ้าแห่งสันติสุข ทรงให้ท่านเป็นคนบริสุทธิ์หมดจดและทรงรักษาทั้งวิญญาณ จิตใจและร่างกายของท่านไว้ให้ปราศจากการติเตียน จนถึงวันที่พระเยซูคริสตเจ้าของเราเสด็จมา ” 1เธสะโลนิกา5:23

ข้อคิด : ความหวังใจในการเสด็จกลับมาของพระเยซูคริสต์ก็เป็นความสุขในจิตใจ
อธิษฐาน 1. ขอพระเจ้าประทานสันติสุขในการดำเนินชีวิตและรอคอยการเสด็จกลับมาของพระเยซูคริสต์
2. ขอพระเจ้าประทานชีวิตที่ดีงามให้แก่เราตลอดไป

วันที่ 34 ของ 40 วันสู่ชัยชนะ
วันเสาร์ที่ 15มีนาคม 2008
“ บุคคลผู้สนใจในพระวจนะจะพบของดี และคนที่วางใจในพระเจ้าจะสุขสบาย ” สุกาษิต 16:20

ข้อคิด : ความวางใจในพระเจ้าคือสันติสุขที่แท้จริง
อธิษฐาน 1. ขอพระเจ้าให้เรารักในการศึกษาพระวจนะของพระองค์ เพื่อจะเรียนรู้จักน้ำพระทัยของพระองค์
2. ขอพระเจ้าทรงสอนให้เราที่จะวางใจในพระองค์ในทุกสถานการณ์ของชีวิต

สัปดาห์ที่ 6 สัปดาห์แห่งการทนทุกข์
สัปดาห์ที่ 6
สัปดาห์แห่งการทนทุกข์
สัปดาห์สุดท้าย เพื่อร่วมทนทุกข์กับองค์พระเยซูคริสต์ในสัปดาห์แห่งการทนทุกข์ ( Passion Week)

อาทิตย์แห่งการทนทุกข์และชัยชนะ
วันอาทิตย์ที่ 16 มีนาคม 2008
“ฝ่ายฝูงชนซึ่งเดินไปข้างหน้ากับผู้ที่ตามมาข้างหลัง ก็พร้อมกันโห่ร้องว่า “โฮซันนา แก่ราชโอรสของดาวิด ขอให้
ท่านผู้ที่เสด็จมาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงพระเจริญโฮซันนา ในที่สูงสุด” มัทธิว 21:9

ข้อคิด พระเจ้ายิ่งใหญ่ แต่ทรงถ่อมสุภาพ สมควรแก่การยกย่อง สรรเสริญอย่างยิ่ง
อธิษฐาน 1. ขอพระเจ้าประทานใจที่ถ่อมสุภาพแก่เรา
2.ขอพระเจ้าประทานใจที่สรรเสริญพระเจ้าแก่เรา

วันที่ 35 ของ 40 วันสู่ชัยชนะ
วันจันทร์ที่ 17 มีนาคม 2008
พระองค์ตรัสกับเขาว่า “มีพระวจนะเขียนไว้ว่า นิเวศของเราเขาจะเรียกว่า เป็นนิเวศอธิษฐาน
แต่เจ้าทั้งหลายมากระทำให้เป็น ถ้ำของพวกโจร” มัทธิว 21:13

ข้อคิด พระเจ้าบริสุทธิ์ ชีวิตของเราต้องบริสุทธิ์
อธิษฐาน 1. ขอพระเจ้าทรงชำระจิตใจ ความคิด และการกระทำของเรา
2. ขอพระเจ้าทรงปกป้องรักษา ให้ชีวิตของเราบริสุทธิ์ เป็นที่ถวายเกียรติยศแด่พระองค์

วันที่ 36 ของ 40 วันสู่ชัยชนะ
วันอังคารที่ 18 มีนาคม 2008
“ พระเยซูทรงตอบเขาว่า“จงรักพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของเจ้าด้วยสุดใจสุดจิตของเจ้า และด้วยสิ้นสุดความคิดของเจ้า ข้อที่สองก็เหมือนกัน คือ จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง” มัทธิว 22:37, 39

ข้อคิด เราทั้งหลายรัก ก็เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน
อธิษฐาน 1. ขอพระเจ้าประทานความรักแก่เรา เพื่อเราจะรักพระเจ้ามากยิ่งขึ้น
2. ขอพระเจ้าประทานกำลังแก่เรา ที่สามารถรักและให้อภัยแก่ผู้ที่ทำผิดต่อเรา

วันที่ 37ของ 40 วันสู่ชัยชนะ
วันพุธที่ 19 มีนาคม 2008
“ด้วยว่าคนยากจนมีอยู่กับท่านเสมอ และท่านจะทำการดีแก่เขาเมื่อไรก็ทำได้
แต่เราจะไม่อยู่กับท่านเสมอไป” มาระโก 14:7

ข้อคิด จงกระทำดี เพื่อถวายเกียรติยศสูงสุดแด่พระเจ้าในขณะที่ยังมีโอกาสอยู่
อธิษฐาน 1. ขอพระเจ้าทรงสอนให้เรารู้จักใช้โอกาสที่มีอยู่รับใช้พระเจ้าอย่างสัตย์ซื่อ
2. ขอบคุณพระเจ้าที่ประทานโอกาสรับใช้พระองค์

วันที่ 38 ของ 40 วันสู่ชัยชนะ
วันพฤหัสบดีที่ 20 มีนาคม 2008
“…โอพระบิดาของข้าพระองค์ ถ้าเป็นไปได้ขอให้ถ้วยนี้ เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์เถิด แต่อย่างไรก็ดี อย่าให้เป็น
ตามใจปรารถนาของข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์” มัทธิว 26:39

ข้อคิด น้ำพระทัยของพระเจ้าและแผนการของพระองค์ต่อชีวิตของเราดีที่สุด
อธิษฐาน 1. ขอพระเจ้าประทานใจที่ยอมจำนนกับพระเจ้าให้กับเรา
2. ขอพระเจ้าประทานกำลังให้เราชนะความทุกข์ยากลำบากได้

วันที่ 39 ของ 40 วันสู่ชัยชนะ
วันศุกร์ที่ 21 มีนาคม 2008
“เอลี เอลี ลามาสะบักธานี” แปลว่า “พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์
ไฉนทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย” มัทธิว 27:46

ข้อคิด พระเยซูคริสต์ทรงทนทุกข์ทรมาน สิ้นพระชนม์บนกางเขนก็เพื่อเรา
อธิษฐาน 1. ขอบพระคุณพระเจ้าที่สิ้นพระชนม์ไถ่ความผิดบาปของเรา
2. ขอพระเจ้าทรงช่วยเราให้ดำเนินชีวิตสมกับพระคุณของพระองค์

วันที่ 40 ของ 40 วันสู่ชัยชนะ

วันเสาร์ที่ 22 มีนาคม 2008
“เมื่อเขากล่าวคำหยาบคายต่อพระองค์ พระองค์ไม่ได้ทรงกล่าวตอบเขาด้วยคำหยาบคายเลย
เมื่อพระองค์ทรงทนทุกข์ พระองค์ไม่ได้ทรงมาดร้าย แต่ทรงมอบเรื่องของพระองค์
ไว้แก่พระเจ้าผู้ทรงพิพากษาอย่างยุติธรรม” 1 เปโตร 2:23

ข้อคิด มอบชีวิตและทุกสิ่งไว้กับพระเจ้าเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
อธิษฐาน 1. ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงนำพาชีวิตของเราอย่างดีเสมอ
2. ขอพระเจ้าทรงสอนเราให้ไว้วางใจในพระองค์ตลอดเวลา

วันอีสเตอร์
วันอาทิตย์ที่ 23 มีนาคม 2008
“….พวกท่านแสวงหาคนเป็นในพวกคนตายทำไมเล่า พระองค์ไม่อยู่ที่นี่ แต่ทรงเป็นขึ้นมาแล้ว จงระลึกถึงคำที่พระองค์ได้ตรัสกับท่านทั้งหลาย เมื่อพระองค์ยังอยู่ในแคว้นกาลิลี” ลูกา 24:5-6

ข้อคิด พระเจ้าที่เราเคารพบูชา ทรงพระชนม์อยู่
อธิษฐาน 1. ขอบคุณพระเจ้าที่ประทานความมั่นใจว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าองค์เที่ยงแท้
2. ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงดำรงอยู่กับเราตลอดเวลา

พระวาทะของพระเยซูคริสต์
7 พระวาทะของพระเยซูคริสต์เจ้าบนกางเขน ก่อนสิ้นพระชนม์

วาระที่ 1 “โอพระบิดาเจ้าข้า ขอโปรดอภัยโทษเขาเพราะว่าเขาไม่รู้ว่าเขาทำอะไร” ลูกา 23:34
วาระที่ 2 “ เราบอกความจริงแก่เจ้าว่า วันนี้ เจ้าจะอยู่กับเราในเมืองบรมสุขเกษม” ลูกา 23:43
วาระที่ 3 “ หญิงเอ๋ย จงดูบุตรของท่านเถิด” “ จงดูมารดาของท่านเถิด” ยอห์น 19:26,27
วาระที่ 4 “ เอลี เอลี ลามาสะบักธานี” (พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ไฉนทรงทอดทิ้งข้า
พระองค์เสีย) มัทธิว 27:46
วาระที่ 5 “ เรากระหายน้ำ” ยอห์น 19:28
วาระที่ 6 “สำเร็จแล้ว” ยอห์น 19:30
วาระที่ 7 “พระบิดาเจ้าข้า ข้าพระองค์ฝากวิญญาณจิตของข้าพระองค์ไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์” ลูกา 23:46