Custom Search By Google

Custom Search

วันศุกร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2552

อาหารในถิ่นทุรกันดาร

อพยพ 16:4-12
หัวข้อ : “ท่าทีที่ถูต้องต่อการอ่านพระคัมภีร์”

http://www.redfamily.co.cc/index.php?option=com_content&task=view&id=26&Itemid=30

โบสถ์แห่งหนึ่งเมื่อศิษยาภิบาลเทศนาอย่างตื่นเต้นเร้าใจจนยืดยาวเลยเวลาเที่ยง วันสมาชิกหลายคนเริ่มระสับกระส่าย บ้างก็เหลือบมองนาฬิกาที่แขวนผนังโบสถ์ บ้างก็ก้มดูนาฬากาข้อมือ ท่านศิษยาภิบาลก็เลยรีบขมวดคำเทศนาว่า “อาหารกับมนุษย์เป็นของคู่กัน อาหารโปรดของแต่ละคนก็ต่างกันออกไป บางคนก็ชอบอาหารรสจัด บางคนก็ชอบอาหารรสจืด บ้างคนก็ชอบอาหารฝรั่ง บ้างก็ชอบอาหารจีน บ้างก็ชอบอาหารป่า พระคัมภีร์วันนี้บอกกับเราว่า อาหารของพระเยซูก็คืออาหารของเราด้วยนั่นคือการทำตามพระทัยของพระเจ้า...” แล้วท่านก็จบคำเทศนา บางทีเราเป็นเหมือนที่อาจารย์คนนั้นเทศน์ เราต่างชอบอาหารที่ต่างกันออกไป และเราก็มีบุคลิกอย่างนี้สำหรับฝ่ายวิญญาณ ฝ่ายความเชื่อด้วย บ้างก็ชอบชอบการเทศนาที่เร้าใจแรงๆ ชอบพระคัมภีร์ข้อนี้ตอนนี้ตอนนั้น บ้างก็ชอบพระคัมภีร์และการเทศนาที่นุ่มๆ เน้นเรื่องพระคุณ ไม่ต้องเรียกร้องอะไรจากฉันมากนอกจากเงินถวาย แต่ลืมสิ่งสำคัญของการอ่านพระคัมภีร์หรือฟังพระวจนะของพระเจ้าไป คือเพื่อจะทำตามพระทัยของพระเจ้าที่ปรากฏในพระคัมภีร์ที่อ่านไปนั้น


อพยพ บทที่ 16 ได้บันทึกการเดินทางออกจากดินแดนทาสของคนอิสราเอล เพียงเดือนครึ่งเท่านนั้นพวกเขา บ่นเอาเป็นเอาตายเพราะอยากจะทำตามใจที่เขาต้องการ แทนการทำตามพระทัยของพระเจ้า พระเจ้าจึงสัญญาว่า
“ดูเถิด เราจะให้อาหารตกลงมาจาก ท้องฟ้าดุจฝน สำหรับพวกเจ้า ให้ประชาชนออกไปเก็บทุกวัน พอกินเฉพาะวันหนึ่งๆ เพื่อเราจะได้ลองใจว่า เขาจะปฏิบัติตามโอวาท ของเราหรือไม่ 5ในวันที่หก เมื่อเขาเตรียมของที่เก็บมาอาหารนั้นก็จะเพิ่มเป็นสองเท่าของที่เขาเก็บทุกวัน”

เมื่อ 45 วันหลังจากที่พวกเขาออกจากอียิปต์ พวกเขาได้รับพระสัญญาและวิธีสำหรับการรับพระพรบททดสอบสำคัญตั้งแต่นี้ต่อไปคือการเชื่อฟังพระดำรัสสั่ง ประมาณ 3,300 ปี ผ่านมาแล้วยุคนั้นไม่มีพระคัมภีร์เป็นเล่ม ๆ ให้อ่านเฉกเช่นปัจจุบัน ที่เรามีพระคัมภีร์ทั้งเป็นหนังสือ เป็นระบบอีเลคทรอนิคส์ สามารถเก็บใส่ชิปเล็ก ๆ พกพาไปไหนๆ ได้สะดวก ไม่ต้องแบกให้หนัก คนอิสราเอลเรียนรู้น้ำพระทัยของพระเจ้าจากการตรัสผ่านผู้นำ ดังนั้นเขาจึงต้องเชื่อฟังผู้นำให้มากที่สุด บุคลิกอย่างหนึ่งของคนอิสราเอลคือสู้ชีวิตไม่ยอมอะไรง่ายๆ บ่อยครั้งเราเรียกว่าดื้อแต่พระเจ้ายังทรงเป็นพระเจ้าองค์สัตย์ซื่อไม่เปลี่ยนแปลง พระองค์ยังทรงเที่ยงตรงอยู่เสมอ
เมื่อเผชิญอันตรายการขาดแคลน ความไม่สะดวกสบาย คนอิสราเอลมับ่นต่อว่าด้วยความขมขื่น เมื่อเขาบ่นอยากรับประทานเนื้อ(ข้อ 2) พระเจ้าก็ประทานให้ โดยให้ยกคุ่มบินมาเต็มค่ายในเวลาเย็น(13) และเวลาเช้าก็มีมานาให้เก็บ(14) พระเจ้าส่งฝูงนกคุ่มบินมาเลี้ยงคนเป็นล้านได้อย่างไร นี่มิใช่การลดความน่าเชื่อถือของพระคัมภีร์หรือลดสิทธิอำนาจเรื่องการอัศจรรย์ของพระเจ้า ในการศึกษาทางประวัติศาสตร์พบว่าโดยปรกตินกคุ่มจะบินเรี่ยไปกับพื้นดินและบินทนมาก ในฤดูหนาวมันจะบินไปยังแอฟริกา และในฤดูใบไม้ผลิก็จะบินกลับมาทางอียิตป์ตอนบนและปาเลสไตน์ ซึ่งจะผ่านถิ่นทุรกันดารที่คนอิสราเอลเดินทาง นกคุ่มคงจะเหน็ดเหนื่อยจากการบินในเวลากลางวัน เมื่อหยุดพักในตอนเย็น และในกลางคืนจะเกาะบนคอน พุ่มไม้เตี้ย ๆจึงถูกจับได้ง่ายดาย นี่เป็นวิธีที่พระเจ้าประทานเนื้อให้แก่ประชากรของพระองค์

บางทีเราอาจจะสงสัยว่าทำไมเขาไม่ฆ่าแกะเป็นอาหารล่ะเพราะเลี้ยงเยอะแยะ น้อยครั้งมากที่คนเลี้ยงแกะ แพะ จะฆ่าสัตว์ที่เลี้ยงของตนมาเป็นอาหาร เพราะว่าสัตว์เหล่านั้นให้น้ำนมและเนยแข็งซึ่งเป็นอาหารหลัก แต่ละวันอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องทุบหม้อข้าวหม้อแกงของตนเอง ซึ่งจริงๆ แล้วพวกเขาก็ไม่ได้รับประทานเนื้อในอียิปต์บ่อยนัก ยิ่งคนที่เป็นทาสยิ่งจะไม่มีโอกาสเลย แต่ในถิ่นทุรกันดารนี้ เขาก็บ่นที่อยากกินเนื้ออยู่ร่ำไปนอกจากเนื้อในเวลาเย็นและกลางคืนแล้วพระเจ้ายังประทานมานาในเวลาเช้า
“เมื่อน้ำค้างระเหยไปแล้วก็เห็นสิ่งหนึ่งเหมือนเกล็ดเล็กๆเท่าเม็ดน้ำค้างแข็งอยู่ที่พื้นดินในถิ่นทุรกันดารนั้น เมื่อชนชาติอิสราเอลเห็นจึงพูดกันว่า “นี่อะไรหนอ” เพราะเขาไม่ทราบว่าเป็นสิ่งใด โมเสสจึงบอกเขาว่า “นี่แหละเป็นอาหารที่พระเจ้าประทานให้พวก ท่านรับประทาน” (ข้อ 14-15)“เหล่าวงศ์วานของอิสราเอล เรียกชื่ออาหารนั้นว่ามานา เป็นเม็ดขาวเหมือนเมล็ดผักชี มีรสเหมือนขนมแผ่นประสมน้ำผึ้ง” (ข้อ31)

พระเจ้าทรงประทานมานาด้วยวิธีง่าย ๆ เช่นกัน ในแถบคาบสมุทรซีนายจะมีต้นทามาริสก์ มีเมล็ดสีขาวเกือบเทาคล้ายเมล็ดผักชี แมลงที่มากินบนต้นทามาริสก์ จะสร้างสารตกผลึกเป็นเกล็ดขาวมีรสหวานปานน้ำผึ้ง วงต้นฤดูร้อนจะพบเกล็ดเหล่านี้บนพื้นดินในตอนเช้าๆ เป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ชาวอาหรับเรียกสิ่งนี้ว่า “มานน์” อาหารนี้จะมาพร้อมกับน้ำค้างในตอนเช้า เมื่อเวลาสายแสงแดดจ้ามันก็ละลายไป ประชาชนต้องออกไปเก็บทุกเช้าให้พอดีกินสำหรับทุกคนในครอบครัว และในวันที่หกพระเจ้าได้สั่งให้เก็บเป็นสองเท่า เพื่อวันสะบาโต ซึ่งเป็นวันบริสุทธิ์ของพระเจ้า เขาจะได้หยุดพักการงานทุกอย่าง มันเป็นการอัศจรรย์อันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่ให้มีมานาถึง 40 ปีตลอดการเดินทางสู่คานาอัน มีผู้คำนวนปริมาณของมานาไว้อย่างนี้
1 โอเมอร์เท่ากับประมาณ 1.88 ลิตร มีประชาชนประมาณ 2 ล้านคนในค่าย นับทั้งชาย หญิง และเด็ก (ชาย 600,000 คน) มีมานาตกลงมาวันละประมาณ 4,500 ตัน ซึ่งเต็มรถไฟ 10 ขบวน ๆ ละ 30 ตู้ ๆ ละ 15 ตัน ตลอด 40 ปี พระเจ้าประทานอาหารเช่นนี้ลงมาทุกๆ เช้าเป็นอาหารที่มีปริมาณมหาศาล เป็นงานเมกะโปรเจคที่พระเจ้ากระทำกับประชาชน สิ่งที่พระองค์ได้รับคือ คนจำนวนไม่น้อยไม่ได้วางใจในพระองค์ มิได้เชื่อฟังในสิ่งที่พระตรัสสั่ง

การเชื่อฟังพระโอวาทของพระเจ้า เป็นบทพิสูจน์ความรักที่เรามีต่อพระองค์ พระเจ้าทรงซื่อสัตย์ตามคำสัญญา พระเจ้าทรงสัตย์ซื่อต่อผู้ที่รักษาพระบัญญัติของพระองค์ การอัศจรรย์ข้ามทะเลแดง การแก้น้ำขมที่มาราห์ ประทานมานาทุกเช้า ประทานเนื้อทุกๆ เย็น เป็นพระคุณของพระเจ้า แต่คนอิสราเอล กินอยู่กับปากอยากอยู่กับท้องแท้ๆ ยังไม่รู้จักพอใจ บางคนก็เก็บมานามาเกินตนเองกิน มานาจึงบูดเน่าและมีหนอน (ข้อ 18-20,)
“ชนชาติอิสราเอลก็กระทำตาม บางคนเก็บมาก บางคนเก็บน้อย แต่เมื่อเขาใช้โอเมอร์ตวง คนที่เก็บได้มากก็ไม่มีเหลือ และคนที่เก็บได้น้อยก็หาขาดไม่ ทุกคนเก็บได้เท่าที่คนหนึ่งรับประทานพอดี โมเสสจึงสั่งว่า “อย่าให้ผู้ใดเก็บเหลือไว้จนรุ่งเช้า” แต่เขามิได้เชื่อฟังโมเสส บางคนเก็บส่วนหนึ่งไว้จนรุ่งเช้าอาหารนั้นก็เน่าเป็นหนอนและบูดเหม็นโมเสสจึงโกรธคเหล่านั้น”

มีบางคนที่เชื่อฟังและบางคนยังดื้อ ซึ่งส่งผลกระทบต่อชุมชน ในวันสะบาโตก็เช่นกันพระเจ้าสั่งให้เขาเก็บเป็นสองเท่าในวันที่หก เมื่อเขาเชื่อฟังมานาก็มิได้บูดเน่า เขามีอาหารรับประทานในเช้าวันที่เจ็ด มีบางคนที่ไม่เชื่อฟัง เหมือนจะลองดี จึงออกไปดูที่ทุ่งนา แต่ก็ไม่พบมานาแม้แต่เม็ดเดียว
พระเจ้าประทานมานาให้คนอิสราเอล ทุกๆ เช้าให้เป็นอาหารฝ่ายร่างกาย ส่วนจิตวิญญาณของเขาก็ต้องเชื่อฟังพระองค์ สำหรับพี่น้องและผมเราก็ควรรับประทานมานาจากพระเจ้าทุกวัน นั่นคือรับพระวจนะของพระเจ้าทุกวันเพื่อหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณ ความเชื่อ ความประพฤติของเราให้เติบโตแข็งแรง ถ้าเราอ่าน ศึกษาพระคัมภีร์ทุกๆวัน เราจะเข้าใจพระทัยของพระเจ้า มากกว่านาน ๆ อ่านที หรือมาอ่านเฉพาะที่โบสถ์ ถ้าสมมติว่าผู้ชายคนหนึ่งมีแฟนสาว แต่เขาโทรศัพท์หาเธอ คุยกับกับเธอนานๆ โทรที นานๆ คุยด้วยครั้ง ไม่นัดเจอทำความรู้จักกันบ่อยๆ รับรองได้เลย ชาตินี้อย่าหวังได้แต่งงานกับเธอ ทำนองเดียวกัน ถ้าเรานานๆ อ่านพระคัมภีร์สักครั้ง นานๆ อธิษฐานครั้ง นานๆ มาโบสถ์สักที ไม่มีทางที่เราจะเข้าใจพระทัยของพระเจ้าได้ ไม่สามารถทำตามพระทัยพระองค์ได้อย่างถูกต้อง แล้วพระพรที่เราควรจะได้รับก็คงจะได้รับแบบนานๆ ที เช่นกัน

พระเยซูคริสต์สอนเราให้ทูลขออาหารประจำวันฝ่ายกายจากพระเจ้าและอาหารที่จำเป็นกว่านั้นคือพระวจนะของพระเจ้า พระเยซูเป็นอาหารแท้ที่มาจากสวรรค์ เพราะว่าอาหารของพระเจ้านั้น คือการประทานชีวิตให้แก่โลก พระเยซูตรัสว่า “เราเป็นอาหารแห่งชีวิต ผู้ที่มาหาเราจะไม่หิวและผู้ที่วางใจในเราจะไม่กระหายอีกเลย” (ยอห์น 6:35) พระประสงค์ของพระบิดาผู้ทรงใช้พระองค์มานั้น ก็คือให้รักษาบรรดาผู้ที่พระเจ้าได้ทรงมอบไว้กับพระบุตร มิให้หายไปสักคนเดียว แต่ให้ฟื้นขึ้นมาในวันที่สุด เพราะนี่แหละเป็นพระประสงค์ของพระบิดา...ที่จะให้ทุกคนที่เห็นพระบุตร และวางใจในพระบุตรได้มีชีวิตนิรันดร์ (ยอห์น6:40)
พระเจ้าประทานอาหารประจำวันแก่เรา ประทานชัยชนะเหนืออุปสรรคปัญหา เพราะพระองค์ทรงสัย์ซื่อต่อผู้ที่รักพระองค์ ผู้ที่ทำตามพระทัยของพระองค์ การอ่านพระคัมภีร์เป็นการกินอาหารฝ่ายวิญญาณ เป็นการฟังพระสุรเสียงของพระเจ้าที่กำลังตรัสกับเรา ไม่ใช่ในธรรมชาติ ไม่ใช่ในการอัศจรรย์ แต่ในพระคัมภีร์ต่างหากที่พระเจ้าได้ตรัสกับเราอย่างสมบูรณ์ เราควรแสวงหาการอ่านพระคัมภีร์อย่างทารกที่ไขว่คว้าหานมแม่เพื่อจะดื่มกับอาหารที่จำเป็นต่อชีวิต
1 เปโตร 2:2-3 กล่าวว่า “เช่นเดียวกับทารกแรกเกิด จงปรารถนาน้ำนมฝ่ายวิญญาณอันบริสุทธิ์ เพื่อโดยน้ำนมนั้นจะทำให้ท่านทั้งหลายเจริญขึ้นสู่ความรอดเพราะท่านได้ลิ้มรสพระกรุณาคุณขององค์พระผู้เป็นเจ้า”
เมื่อเราเสาะหาพระวจนะของพระเจ้าแล้วทำตามอย่างซื่อสัตย์ พระเจ้าจะเพิ่มเติมสิ่งที่ขาดอยู่แก่ท่าน เหมือนคนอิสราเอลที่เก็บมานาน้อย แต่พอนำมาตวงก็ได้เต็มโอเมอร์คนที่ทำตามไม่ขาดสิ่งดีอันใดเลย มัทธิว 6:33 กล่าวว่า
“แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ก่อนแล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้”
และถ้าหากใครจะเติมจะเพิ่มอะไรลงไปในพระคำของพระเจ้าก็ไม่ได้เพราะพระองค์ก็จะทรงเพิ่มภัยพิบัติแก่ผู้นั้น และถ้าผู้ใดตัดข้อความออก พระเจ้าก็จะทรงเอาส่วนแบ่งของผู้นั้นไปเสีย (วิวรณ์ 22.18-19)

ข้าพเจ้าประทับใจประวัติที่มาของคู่มือเฝ้าเดี่ยวเล่มหนึ่งคือมานาประจำวัน ได้เขียนที่มาไว้อย่างน่าประทับใจว่า
1.ในอดีตพระเจ้าทรงเลี้ยงดูชนชาติอิสราเอลในถิ่นทุรกันดารด้วย "มานา"ฉันใดเราทั้งหลายผู้อาศัยในโลกปัจจุบันนี้ก็ดำรงชีวิตด้วยพระวจนะของพระเจ้าฉันนั้น ดังที่องค์พระเยซูตรัสว่า "มนุษย์จะบำรุงชีวิตด้วยอาหารสิ่งเดียวหามิได้แต่บำรุงด้วยพระวจนะทุกคำซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า" ( มัทธิว 4:4 )
2.ในอดีตเมื่อพระเจ้าเลี้ยงดูชนชาติอิสราเอลด้วยมานาในถิ่นทุรกันดารนั้นมีกฏอยู่ว่าชนชาติอิสราเอลจะต้องออกไปเก็บมานาทุกวันในจำนวนที่พอกันในแต่ละวันเท่านั้นเช่นเดียวกันกับการอ่านพระวจนะคำของพระเจ้าคริสเตียนต้องอ่านทุกๆวันเพื่อให้มีกำลังและสติปัญญาจากพระเจ้าในการดำเนินชีวิตแต่ละวัน
เช้าวันนี้เราได้เรียนรู้การเชื่อฟังพระวจนะของพระเจ้าจากประสบการณ์ของคนอิสราเอลแล้ว เมื่อเขาเชื่อฟัง เขาก็ไม่ได้ขาดสิ่งที่จำเป็นต่อการดำงรงชีวิตประการใด แต่หากเขามิได้เชื่อฟังพระพรก็ขาดๆ หายๆ ไปและภัยพิบัติก็เพิ่มขึ้น

ดังนั้น ในการอ่านพระคัมภีร์ของพี่น้องและผม ในแต่ละวัน เราควรมีท่าทีในการอ่านพระคัมภีร์เพื่อจะได้ทำตามพระทัยของพระเจ้าคือ
1. อ่านด้วยความความเชื่อศรัทธา ด้วยใจเลื่อมใสรับพระวจนะของพระเจ้า และค้นดูพระคัมภีร์ทุกวัน หวังจะรู้ว่าข้อความเหล่านั้น รู้ความจริงของพระเจ้าแล้ว ท่านจะได้มั่นคงในความเชื่อ พร้อมกับสมาชิกในครอบครัวของท่าน ทั้งชาย หญิง เด็กและคนสูงวัย (กิจการ 17:11-12)
2.อ่านด้วยใจถ่อมเป็นท่าทีแห่งการพัฒนาตนเองเพราะผู้ที่ถ่อมใจลงต่อพระเจ้าพระองค์จะทรงยกเขาขึ้นในเวลาอันสมควร (1 เปโตร 5:6) เราทุกคนยังมีความบกพร่องเราต้องถ่อมใจลงให้พระวจนะของพระเจ้าขัดเกลาชีวิตของเรา และ
3.อ่านด้วยการทำตามพระบัญชาของพระเจ้าอย่างเคร่งครัด พระเจ้าสัญญาให้พระพรแก่ผู้ที่รักษาพระบัญญัติของพระองค์ ทั้งตัวท่านเองและลูกหลานของท่านจะจำเริญเป็นนิตย์ เมื่อท่านกระทำสิ่งที่ดีและถูกต้องในสายพระเนตรของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน (เฉลยธรรมบัญญัติ 12:28) อาเมน.

ไม่มีความคิดเห็น: