Custom Search By Google

Custom Search

วันจันทร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2551

อาณาจักรพระเจ้า (God Kingdom)


โดย อาจารย์ อัจฉรีย์ 12/10/2005

พระองค์จึงตรัสว่า.."ข้อความลับลึกแห่งแผ่นดินสวรรค์ ทรงโปรดให้ท่านทั้งหลายรู้ได้ แต่คนเหล่านั้น ไม่โปรดให้รู้…มธ.13:11 ; [หรือ… "ข้อความลึกลับแห่งแผ่นดินของพระเจ้าทรงโปรดให้ท่านทั้งหลายรู้ได้ แต่สำหรับคนอื่นนั้นได้ให้เป็นคำอุปมา เพื่อเมื่อเขาดูก็ไม่เห็น และเมื่อเขาได้ยินก็ไม่เข้าใจ….ลก.8:10; … "ข้อความลับลึกแห่งแผ่นดินของพระเจ้า ทรงโปรดให้ท่านทั้งหลายรู้ได้ แต่ฝ่ายคนนอกนั้นบรรดาข้อความเหล่านี้จะแจ้งให้เป็นคำอุปมาทุกอย่าง …..มก.4:11]

พระวจนะของพระเจ้า ซึ่งยืนยันถึงเรื่องราวของพระองค์นั้น มันไม่ใช่เรื่องที่ใครจะบอกว่า "ฉันรู้แล้ว ฉันเข้าใจแล้ว" มันไม่ใช่แค่นั้น ในความเข้าใจของมนุษย์นั้น มันก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่ถ้าจะบอกว่า พิเศษที่สุดนั้น ต้องเข้าถึงซึ่งจุดแห่งความล้ำลึกของพระเจ้า แท้จริงความล้ำลึกของพระเจ้านั้น ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ซุกซ่อนหรือปกปิดไว้ แต่เป็นเพียงสิ่งที่มนุษย์ค้นหาได้ด้วยสติปัญญาของตนเองนั้นไม่ได้ ต้องแสวงหาด้วยสติปัญญาของพระเจ้า ซึ่งทรงบอกอย่างชัดเจนแล้วว่า ไม่ทรงโปรดให้คนเหล่านั้นรู้ (คนที่คิดจะเข้าใจด้วยสติปัญญาของตนเอง) แต่ทรงโปรดให้ท่านทั้งหลายรู้ได้ (พระเจ้าได้ทรงโปรดให้เรารู้ความล้ำลึกในพระทัยของพระองค์ ตามพระเจตนารมย์ของพระองค์ ซึ่งพระองค์ทรงดำริไว้ในพระคริสต์….อฟ.1:9) นั่นคือบรรดาบุคคลที่มีพระวิญญาณของพระคริสต์และแสวงหาความล้ำลึกด้วยสติปัญญาของพระเจ้า ก็จะสามารถรู้ได้เข้าใจได้

เพราะฉะนั้น หลักฐานเหล่านี้ จึงเป็นที่ชื่นชมยินดีว่า บุคคลใดก็ตามสำแดงตนเองจนเข้าถึงสภาพของการเป็นสาวกของพระเจ้า เค้าเหล่านั้นพระเจ้าจะทรงขยายความเข้าใจและบรรจุความล้ำลึกให้ได้สัมผัส (….พระองค์ทรงขยายความเข้าใจของข้าพระองค์…สดด.119:32) เหมือนที่เราทั้งหลายเริ่มเคลื่อนไหวเข้าไป เราไม่อาจบอกได้เต็มตัวว่า เราแน่และดีพร้อมเหมือนสาวกของพระองค์ แต่เราเป็นบุคคลที่ปรารถนาแสวงหาและกระหายที่จะเป็นบุคคลที่ใกล้ชิดพระเจ้าเพื่อปรนนิบัติพระองค์ เป็นสาวกของพระองค์ (….จิตใจของข้าพระองค์กระหายหาพระองค์อย่างแผ่นดินที่แห้งผาก….สดด.143:6)

เพราะฉะนั้น พระเจ้าก็จะขยับเราทีละเล็กทีละน้อย เพื่อให้เราเข้าถึงสัมผัสถึงความล้ำลึกเหล่านี้ของพระองค์ ซึ่งทรงเจาะจงไว้แล้วว่า ไม่ทรงโปรดให้คนเหล่านั้นรู้ คนอื่นคนนอกนั้นที่ไม่ได้เข้าถึงซึ่งการเป็นสาวก แต่พระองค์ทรงโปรดที่จะให้สาวกของพระองค์นั้นได้รู้แจ้ง (………เดี๋ยวนี้ความรู้ของข้าพเจ้าไม่สมบูรณ์ เวลานั้นข้าพเจ้าจะรู้แจ้งเหมือนพระองค์ทรงรู้จักข้าพเจ้า…..1คร.13:12) ให้เรามาดูว่า ชีวิตของเรา พระเจ้าทรงบอกว่า อาณาจักรของพระองค์แผ่นดินของพระองค์นั้น ได้อยู่ภายในเราแล้ว และได้อยู่ในท่ามกลางเรา เพราะฉะนั้น ทั้งภายในภายนอกของเรา เราอยู่ในแผ่นดินของพระเจ้าในอาณาจักรของพระองค์ในโลกที่ตาไม่ปรากฏ แต่พระเจ้าได้ทรงยืนยันชัดเจนว่า ได้นำแผ่นดินสวรรค์มาไว้ในท่ามกลางเรา ภายในเราทุกคนซึ่งเป็นผู้เชื่อ เราต้องมองว่า ขั้นตอนของผู้คนที่อยู่ในอาณาจักรของพระเจ้าอย่างแท้จริงนั้น ควรมีมาตรฐานอะไรบ้าง (…..เราจะไม่พิจารณาผู้ใดตามมาตรฐานของโลก แม้ว่าเมื่อก่อนเราเคยพิจารณาพระคริสต์ตามมาตรฐานของโลกก็จริง แต่เดี๋ยวนี้เราจะไม่พิจารณาพระองค์เช่นนั้นอีก…2คร. 5:16)

ขั้นตอนที่หนึ่ง คำอุปมาเรื่อง เมล็ดพืช

พระองค์ยังตรัสคำอุปมาอีกข้อหนึ่งให้เขาฟังว่า "แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนเมล็ดพืชเมล็ดหนึ่ง ซึ่งคนหนึ่งเอาไปเพาะลงในไร่ของตน, เมล็ดนั้นเล็กกว่าเมล็ดทั้งปวง แต่เมื่องอกขึ้นแล้วก็ใหญ่กว่าผักอื่น และจำเริญเป็นต้นไม้จนนกในอากาศมาทำรังอาศัยอยู่ตามกิ่งก้านของต้นนั้นได้" ….มธ.13:31-32;

หรือ….[อุปมาเหมือนเมล็ดพืชเมล็ดหนึ่ง เวลาเพาะลงในดินนั้น ก็เล็กกว่าเมล็ดทั้งปวงทั่วทั้งแผ่นดิน, แต่เมื่อเพาะแล้วจึงงอกขึ้นจำเริญโตใหญ่กว่าผักทั้งปวง และแตกกิ่งก้านใหญ่พอให้นกในอากาศมาทำรังอาศัยอยู่ในร่มนั้นได้" ……...มก.4:31-32]

เพราะฉะนั้น การเริ่มต้นพระเจ้าเป็นผู้สำแดงการเริ่มต้นในชีวิตของเรา เราจึงต้องเข้าให้ถึงซึ่งการเป็นบุคคลที่สามารถสำแดงถึงการเกิดผล และแผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนเมล็ดพืชเมล็ดหนึ่ง ที่เพาะในไร่ของตนและเมล็ดนั้นงอกขึ้นใหญ่กว่าผักอื่นๆ นั่นคือการเกิดผลในชีวิตของผู้เชื่อ ผู้เชื่อที่เกิดผลในการเป็นคนใหม่ที่แท้จริง อุปมาเมล็ดพืชตรงนี้หมายถึง ขั้นตอนแรกของผู้เชื่อที่เริ่มต้นเข้าไปมีส่วนผูกพัน แล้วก็ชัดเจนว่า อยู่ในอาณาจักรของพระเจ้า เป็นผู้เชื่อที่เกิดผลในการเป็นคนใหม่ ความเชื่อของเค้าจะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ (….."ขอพระองค์โปรดให้ความเชื่อของพวกข้าพเจ้ามากยิ่งขึ้น"….ลก.17:5) จากเมล็ดพันธุ์ผักกาดที่เล็กที่สุด เติบโตขึ้นจนเป็นต้นไม้ใหญ่ให้นกกาได้อาศัย นั่นคือกระบวนการอันดับแรก ของบุคคลที่เข้ามาถึงอาณาจักรของพระเจ้า และแน่ใจว่า อาณาจักรของพระเจ้านั้นได้บริบูรณ์อยู่ภายในตัวเค้าและอยู่ในท่ามกลางเค้า นี่คือหลักฐานอันหนึ่งในข้อความชัดเจน ที่พระเจ้าทรงวางให้เราได้ตรวจสอบความมีมาตรฐานภายในตัวตนของเราว่า เรามีอาณาจักรพระเจ้าจริงมั้ย ภายในตัวเราและตัวเราได้ยืนอยู่ในอาณาจักรพระเจ้าอย่างแท้จริงมั้ย ก็ตรวจสอบจากมาตรฐานตรงนี้แหละว่า เมื่อพระองค์หว่านสิ่งใดลงมาในตัวเรามันไม่ลบล้างหายไป แต่มันสามารถตั้งมั่นคงและงอกออกมาเป็นความชื่นชมยินดีได้

เพราะฉะนั้น ชีวิตของเราที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ ในความเชื่อกับองค์พระผู้เป็นเจ้า (…..และเป็นการสมควรเพราะความเชื่อของท่านก็จำเริญยิ่งขึ้น และความรักของท่านทุกคนที่มีต่อกันทวีขึ้นมากด้วย….ธส.1:3) เราก็สมบูรณ์แบบแล้วว่า ในขั้นตอนแรกเราชัดเจนแล้วว่า เราได้รับเมล็ดพืชนั้นและสามารถเกิดผลได้ (เพื่อท่านจะได้ประพฤติอย่างที่สมควรต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า และทำตนให้เป็นที่ชอบพระทัยพระองค์ ให้เกิดผลในการดีทุกอย่าง และจำเริญขึ้นในความรู้ถึงพระเจ้า…คส.1:10) เมล็ดพืชหรือเมล็ดพันธุ์นั้น ก็คือพระวจนะของพระเจ้า พระวจนะของพระเจ้าก็เป็นอาณาจักรที่สมบูรณ์ของพระเจ้า ที่อยู่ในชีวิตของผู้เชื่อ ฉะนั้นถ้าเราจะบอกว่า เราอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้า และอาณาจักรแห่งความรักพระเจ้าอยู่ภายในเราสมบูรณ์แค่ไหน เราก็พิจารณาว่า ในตัวตนของเราสามารถรับการหว่านเมล็ดพันธุ์เข้ามาได้มั้ย (….พืชซึ่งหว่านกลางหนามนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ฟังพระวจนะ, แล้วความกังวลตามธรรมดาโลก และความลุ่มหลงในทรัพย์สมบัติ และความโลภในสิ่งอื่นๆได้เข้ามาและรัดพระวจนะนั้น จึงไม่เกิดผล, ส่วนพืชซึ่งหว่านตกในดินดีนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ยินพระวจนะนั้น และรับไว้ จึงเกิดผลสามสิบเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง ร้อยเท่าบ้าง"….มก.4:18-20) เมื่อรับเข้ามาได้ นั่นย่อมหมายถึงว่า บันทัดฐานของเราเริ่มแสดงออกแล้ว ถึงการเป็นบุคคลที่ยืนอยู่ในอาณาจักรใหม่ของพระเจ้า แต่ก็ยังไม่สมบูรณ์แบบนัก (เพราะความรู้ของเรานั้นไม่สมบูรณ์……, แต่เมื่อความสมบูรณ์มาถึงแล้ว ความบกพร่องนั้นก็จะสูญไป……1คร.13:9-10)

ขั้นตอนที่สอง คำอุปมาเรื่อง เชื้อขนม

พระองค์ยังตรัสคำอุปมาให้เขาฟังอีกข้อหนึ่งว่า "แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนเชื้อ ซึ่งผู้หญิงคนหนึ่งเอามาเจือลงในแป้งสามถัง จนแป้งนั้นฟูขึ้นทั้งหมด"….. มธ.13:33;

(หรือ……."เราจะเปรียบแผ่นดินของพระเจ้ากับสิ่งใด, ก็เปรียบเหมือนเชื้อซึ่งผู้หญิงคนหนึ่งเอาเจือลงในแป้งสามถัง จนแป้งนั้นฟูขึ้นทั้งหมด" …ลก.13:20-21)

เราต้องรับสิ่งใหม่ทั้งหมดจากพระเจ้า (…. และเราก็แจ้งสิ่งใหม่ๆ ก่อนที่สิ่งเหล่านั้นจะเกิดขึ้น เราก็ได้เล่าให้ฟังแล้ว….อสย.42:9; ……เรากำลังกระทำสิ่งใหม่ งอกขึ้นมาแล้ว…….อสย.43:19; เหตุฉะนั้นถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆก็ล่วงไป นี่แน่ะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น 2คร.5:17) นี่คือขั้นตอนที่สอง เมื่อรับเมล็ดพันธุ์โดยความเชื่อ ที่เรามีกับพระองค์ เริ่มต้นที่เชื่อและรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดเป็นพระผู้ไถ่ให้เราแล้ว ความสมบูรณ์ของเราก็เริ่มต้นแล้วว่า ความเชื่อของเรามีมาตรฐานในการเติบโต เติบโตขึ้นเรื่อยๆ (…..มีความเชื่อมั่นคงยิ่งขึ้น จึงถวายเกียรติแด่พระเจ้า…รม.4:20) และสิ่งเหล่านั้นแสดงออกมาในพฤติกรรมของเรา (ในพวกท่านผู้ใดเป็นคนฉลาดและมีปัญญา ก็ให้ผู้นั้นแสดงการประพฤติของตนด้วยพฤติกรรมอันดี มีใจอ่อนสุภาพประกอบด้วยปัญญา……ยก.3:13) ในกระบวนการที่อยู่ภายในตัวตนของเรา อาณาจักรของพระเจ้าเปรียบเหมือนแป้งสามถังที่ฟูขึ้น

เพราะฉะนั้น แป้งสามถังจะรับเชื้ออื่นไม่ได้ นอกจากต้องเป็นเชื้อของพระเจ้าเท่านั้น เชื้อนั้นก็คือ ฟูขึ้นในความคิดของเรา ฟูขึ้นในคำพูดของเรา ฟูขึ้นในการประพฤติ การกระทำด้วยมือของเราหรือการปฏิบัติตนของเรา นั่นคือเชื้อฟูที่สมบูรณ์แบบในแป้งสามถัง(จงชำระเชื้อเก่าเสีย เพื่อท่านจะได้เป็นแป้งดิบก้อนใหม่ เหมือนขนมปังไร้เชื้อ…1คร.5:7) สามสภาพในตัวตนของแต่ละบุคคล ถ้าหากผู้ใดมีคุณสมบัติเหล่านี้อยู่ในตัวตนตลอดเวลาว่า แนบสนิทชิดใกล้มากกับพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า ทั้งในความคิดคำพูดและการกระทำแล้วล่ะก็ ก็เริ่มสำแดงแล้วว่า ชีวิตของบุคคลผู้นั้นก็กำลังฟูขึ้นมาใหม่ ในสภาพใหม่ (และให้ท่านสวมสภาพใหม่ ซึ่งทรงสร้างขึ้นใหม่ตามแบบอย่างของพระเจ้า ในความชอบธรรมและความบริสุทธิ์ที่แท้จริง…อฟ.4:24) ในอาณาจักรใหม่อย่างแท้จริง ค่อยๆ เริ่มสำแดงให้เห็นมากขึ้น ๆ จากพฤติกรรมเหล่านี้ โดยแลเห็นจากพฤติกรรมทั้งภายในและภายนอกของตัวผู้นั้นเรา ภายในก็คือความคิดจิตใจของเรา ภายนอกก็เปล่งเป็นเสียงเป็นวาจาออกมา ทั้งการประพฤติการกระทำที่ฟูขึ้นอย่างชัดเจน ทั้งภายในภายนอกในสภาพเดียวกับพระเจ้า คือเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า

(……เพื่อให้เขาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระองค์ …..ยน.17:21) นั่นก็เป็นลักษณะของบุคคลที่มีคุณสมบัติครอบครองแผ่นดินสวรรค์ ได้ยึดเอาอาณาจักรของพระเจ้ามาไว้เป็นของเค้าอย่างแท้จริงในตัว

ข้อความเหล่านี้ทั้งสิ้น พระองค์ตรัสกับหมู่ชนเป็นคำอุปมา และนอกจากคำอุปมา พระองค์มิได้ตรัสกับเขาเลย, ทั้งนี้เพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะ ที่ตรัสโดยผู้เผยพระวจนะว่า เราจะอ้าปากกล่าวคำอุปมา เราจะกล่าวข้อความ ซึ่งปิดซ่อนไว้ตั้งแต่เดิมสร้างโลก….(มธ.13:34-35)

พระเจ้าไม่ทรงโปรดที่จะให้คำอุปมานั้น เป็นสิ่งอะไรก็ตามที่ออกมาเข้าใจกันง่ายๆ เหมือนที่คนในโลกทั้งหลาย เค้าเปรียบเทียบคำสุภาษิตคำพังเพยแล้วก็ตีความกันออกมา แต่สำหรับถ้อยคำของพระเจ้า พระองค์เท่านั้นที่จะเปิดเผยสิ่งที่สำแดงการปิดซ่อนไว้ตั้งแต่เดิมสร้างโลก "เราจะอ้าปากกล่าวคำอุปมา เราจะกล่าวข้อความ ซึ่งปิดซ่อนไว้ตั้งแต่เดิมสร้างโลก" ฉะนั้นสิ่งเหล่านี้เป็นกระบวนการที่พระเจ้าปรารถนาที่จะบรรจุไว้ในตัวตนของมนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างทุกผู้ทุกนาม แต่มนุษย์ไม่ยอมรับการเหล่านี้ ที่พระองค์ทรงกำหนดไว้ตั้งแต่เดิมสร้างโลก สภาพที่แท้จริงในชีวิตจิตใจต้องสำแดงคุณสมบัติที่บริบูรณ์ออกมาในลักษณะที่เปิดเผยอาณาจักรของพระเจ้า หรือแผ่นดินของพระเจ้านั่นเอง ( และจงให้ความมั่นคงนั้นบรรลุผลอันสมบูรณ์ เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เป็นคนที่ดีพร้อม มีคุณสมบัติครบถ้วน ไม่มีสิ่งใดบกพร่องเลย….ยก.1:4)

ขั้นตอนที่สาม คำอุปมาเรื่องข้าวละมานท่ามกลางต้นข้าวสาลี

……แล้วพระเยซูเสด็จไปจากคนเหล่านั้นเข้าไปในเรือน พวกสาวกมาเฝ้าพระองค์ทูลว่า "ขอพระองค์ทรงโปรดอธิบายให้พวกข้าพระองค์เข้าใจคำอุปมาที่ว่าด้วยข้าวละมานในนานั้น" พระองค์ตรัสตอบเขาว่า "ผู้หว่านเมล็ดพืชดีนั้นได้แก่บุตรมนุษย์ และนานั้นได้แก่โลก ส่วนเมล็ดพืชดีได้แก่พลเมืองแห่งแผ่นดินของพระเจ้า แต่ข้าวละมานได้แก่พลเมืองของมารร้าย ศัตรูผู้หว่านเมล็ดพืชชั่วได้แก่มารนั้น ฤดูเกี่ยวได้แก่เวลาสิ้นยุค และผู้เกี่ยวนั้นได้แก่ทูตสวรรค์ เหตุฉะนั้นเขาเก็บข้าวละมานเผาไฟเสียอย่างไร เมื่อเวลาสิ้นยุคก็จะเป็นอย่างนั้น บุตรมนุษย์จะใช้ทูตของท่านออกไปเก็บกวาดทุกสิ่งที่ทำให้หลงผิด และบรรดาผู้ที่กระทำชั่วไปจากแผ่นดินของท่าน และจะทิ้งลงในเตาไฟอันลุกโพลง ที่นั่นจะมีการร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน คราวนั้นผู้ชอบธรรมจะส่องแสงอยู่ในแผ่นดินพระบิดาของเขาดุจดวงอาทิตย์ ใครมีหูจงฟังเถิด…..(มธ.13:36-43)

นี่เป็นอีกลักษณะหนึ่งที่ยืนยันในชีวิตว่า เราจะต้องเป็นผู้ตรวจสอบ เพราะสิ่งเหล่านี้พระเจ้ากำหนดไว้แล้วว่า ในวันสิ้นยุคเป็นฤดูเกี่ยว ที่พระเจ้าจะส่งทูตสวรรค์ มาเกี่ยวข้าวละมานออกไปเผาไฟ คำอุปมาของพระเยซูในเรื่องต้นข้าวนี้ เป็นอีกขั้นตอนในช่วงที่สาม ในจังหวะที่สามในตัวตนของเราว่า เมื่อเราเติบโตแล้วในการเป็นคริสเตียนนั้น นาที่เปรียบเหมือนชีวิตผู้เชื่อเมื่อถูกบรรจุไว้ด้วยความดีของพระเจ้าที่ทรงหว่านไว้ในตัวตนของเรา (…….คนหนึ่งได้หว่านพืชดีในนาของตน…มธ.13:24) ทำให้เราได้เจริญเติบโตในฝ่ายวิญญาณจากการเป็นทารกก็เข้าสู่วัยเด็ก ด้วยกระบวนการที่พระเจ้าทรงดูแลพัฒนาจนสู่วัยผู้ใหญ่ แต่บุคคลเหล่านี้ ก็ต้องตื่นติดตามพระวิญญาณ ไม่หลับใหลเผลอเลอ ต้องมองดูว่า เราจะถูกแผนการเลวร้ายแทรกแซงข่มเหงก่อกวนได้ตลอดเวลาในทุกรูปแบบ (แต่เมื่อคนทั้งหลายนอนหลับอยู่ ศัตรูของคนนั้นมาหว่านข้าวละมานปนกับข้าวดีนั้นไว้แล้วก็หลบไป, ทาสแห่งเจ้าบ้านจึงมาแจ้งแก่นายว่า 'นายเจ้าข้า ท่านได้หว่านพืชดีไว้ในนาของท่านมิใช่หรือ แต่มีข้าวละมานมาจากไหน'….มธ.13:25,27) เพื่อจะให้กระบวนการเปลี่ยนแปลงในความสวยงามขึ้นใหม่ ในตัวตนของเราถูกลดสภาพลงจากการเป็นพลเมืองในแผ่นดินสวรรค์ การแทรกแซงก่อกวนอย่างต่อเนื่องในรูปแบบของการทดลอง (ผู้คิดปองร้ายอยู่ในจิตใจของเขา และก่อกวนต่อเนื่องกันให้มีสงครามขึ้น…สดด.140:2) มีเป้าหมายเพื่อลดสถานภาพการครอบครองอาณาจักรพระเจ้า ให้เสื่อมถอยลงจากการดำเนินชีวิตที่สงบสุขราบรื่น อำนาจของข้าวละมานจะคอยเพียรพยายามบุกรุกคุกคามพื้นที่ชีวิตของผู้เชื่อ ให้ขาดไปซึ่งการไว้วางใจในองค์พระเจ้า แล้วกลับเป็นวิตกทุกข์ร้อนเป็นกังวลบ่นตัดพ้อ สภาพของเราทุกคนที่เคยดำรงอยู่ในอาณาจักรพระเจ้าก็พลันมลายหายสูญสิ้น ยิ่งข้าวละมานมีมากเท่าใด อาณาจักรพระเจ้าในตัวตนของเราก็เริ่มร้างลา เพราะมีพลเมืองของมารร้ายครอบงำ กลายพันธุ์เป็นอาณาจักรเก่าๆ เดิมๆ ครอบครองแทนที่ (……'นี่เป็นการกระทำของศัตรู' พวกทาสจึงถามว่า 'ท่านปรารถนาจะให้พวกเราไปถอนและเก็บข้าวละมานหรือ' แต่นายตอบว่า 'อย่าเลยเกลือกว่า เมื่อกำลังถอนข้าวละมานจะถอนข้าวดีด้วย….มธ.13:28,29) และโดยพระคุณพระเจ้าก็ทรงให้โอกาสเราปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสภาพตนเอง มิได้ลงโทษหรือถอดถอนให้หมดสภาพจากการเป็นบุตรของพระองค์ไม่ เพราะยังมีเวลาที่จะพัฒนาชีวิตเปลี่ยนแปลงขัดเกลาปลุกระดมให้เป็นข้าวดีขึ้นมาได้ ด้วยการต่อสู้ขัดขวางต่อต้านปฏิเสธอย่างเต็มกำลังความเชื่อ เพื่อจะไม่เป็นไปตามกระบวนการของเนื้อหนังที่ถูกล่อลวงให้ไขว้เขวไปจากความจริงของพระเจ้า ทรงรอเวลาให้เราตัดสินใจเลือกที่จะทำตามใจตนเองต่อไปหรือเลือกที่จะทำตามน้ำพระทัย (ท่านทั้งหลายจำเป็นต้องมีความอดทน เพื่อว่าท่านจะได้สามารถกระทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าได้ แล้วท่านจะได้รับสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้นั้น…ฮบ.10:36) ถ้าเลือกที่จะเป็นข้าวดีล้วนๆ พระเจ้าก็จะสงวนรักษาเก็บไว้ในยุ้งฉางคือพระนิเวศน์หรืออาณาจักรของพระองค์ เป็นพลเมืองเต็มร้อยแห่งแผ่นดินของพระเจ้า (ให้ทั้งสองจำเริญไปด้วยกันจนถึงฤดูเกี่ยว และในเวลาเกี่ยวนั้นเราจะสั่งผู้เกี่ยวว่า "จงเก็บข้าวละมานก่อน มัดเป็นฟ่อนเผาไฟเสีย แต่ข้าวดีนั้นจงเก็บไว้ในยุ้งฉางของเรา'"….มธ.13:30)

ดังคำอุปมาที่พระเยซูอธิบายเกี่ยวกับข้าวละมานที่เติบโตขึ้นท่ามกลางต้นข้าวสาลี

เพราะฉะนั้น หน้าที่อันชอบธรรมของบุคคลที่เชื่อในพระเจ้าและอยู่ในอาณาจักรของพระองค์ ต้องคอยตรวจสอบสภาพชีวิตโดยทำการเกี่ยวเอาข้าวละมานอออกจากตัวเราและเผาผลาญให้สิ้น เพราะชีวิตของเราจะถูกแทรกแซงในหลายรูปแบบด้วยกระบวนการต่างๆ ในยุคปัจจุบันอันชั่วร้ายและกลไกเหล่านี้ตลอดเวลาในชีวิตของผู้เชื่อ (พระเยซูทรงสละพระองค์เองเพราะบาปของเราทั้งหลาย เพื่อช่วยเราให้พ้นจากยุคปัจจุบันอันชั่วร้าย ..…กท.1:4) อย่าคิดว่า เราสมบูรณ์แบบแล้วในการอยู่ในอาณาจักรพระเจ้า ไม่มีอะไรมาปะปนกับเราได้ แต่สิ่งเหล่านี้มันจะงอกแซมเราออกมาเสมอ (ครั้นต้นข้าวนั้นงอกขึ้นออกรวงแล้ว ข้าวละมานก็ขึ้นปรากฏด้วย….มธ.13:26) นั่นก็คือสภาวะที่จะลิดรอนเราออกจากแผ่นดินของพระเจ้า ถอดถอนเราออกจากการเป็นพลเมืองแห่งแผ่นดินของพระเจ้า จนดูเหมือนไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้าหรือเป็นประชากรของพระเจ้าต่อไปได้เลย

เพราะฉะนั้น บุคคลที่จะดำรงอยู่ในอาณาจักรพระเจ้าอยู่ในแผ่นดินสวรรค์ที่แท้จริง เราจะต้องตระหนักยอมรับรู้ว่า การแทรกแซงแบบนี้จะมีกับชีวิตของเราเสมอ ดังนั้นอย่ายอมให้อำนาจบางอย่างของมารมาลดสภาพเราลง ลดฐานะเราลงจากสภาพของประชากรที่สมบูรณ์ว่า เป็นพลเมืองของแผ่นดินของพระเจ้าถอดถอนไปจากชีวิตเป็นอันขาด และต้องทำหน้าที่ให้เหมือนกับวันนั้นที่พระเจ้าจะสำแดงฤดูเกี่ยวในฤดูสิ้นยุค การสิ้นยุคอยู่ในตัวเราได้ เพียงแต่ขอให้เราปลดสภาพทุกอย่างที่มันลักลอบเข้ามาแทรกแซง ทำให้ฐานะของการเป็นพลเมืองของแผ่นดินพระเจ้าของเรานั้นสั่นคลอน เราต้องเกี่ยวสายพันธุ์ข้าวที่ไม่ถูกต้องออกจากตัวเรา กอบโกยเกี่ยวเก็บออกไปเผาผลาญให้หมดสิ้นจากชีวิตให้ได้ ทำหน้าที่เก็บเกี่ยวก่อนในเวลานี้ เราจะแลเห็นว่า การสิ้นยุคนั้นเกิดในชีวิตเราได้แน่นอน ยุคเข็ญจะสิ้นไปอย่างง่ายดาย เพียงคอยตรวจสอบการแพร่พันธุ์ของข้าวละมาน เพราะบางครั้งบางเรื่องบางอย่างเราไม่รู้ตัวเราไม่ตั้งใจเราคิดไม่ถึง เมื่อเราพิจารณาสอดส่องมองดูตัวเองให้บ่อยครั้ง (เพราะว่าเมื่อดูตัวเองแล้วก็ไป และก็ลืมในทันทีนั้นว่าตัวเองเป็นอย่างไร….ยก.1:24) เมื่อเอาใจใส่ที่จะค้นหาให้พบพันธุ์ข้าวที่ไม่พึงประสงค์ที่เบ่งบานงอกเงยขึ้นมา ก็ต้องพยายามปลิดแกะงัดปลดล้างลบมันออกทิ้งทันที อย่าเก็บรักษามันไว้ อย่าให้ที่อาศัยแก่มัน อย่าปล่อยให้มันเจริญเติบโตโอหัง อย่านิ่งนอนใจกับการเพ่นพ่านแพร่พันธุ์ของมัน ถ้าเราไม่เคยตรวจสภาพมองดูตัวเองเลย ไม่พิจารณามองหาสิ่งผิดปกติในตัวในใจในความคิดตนเอง ก็มีแต่จะหลงเจิ่นเจือจางเบาบางไปเรื่อยๆ จากที่เคยเข้มข้นด้วยอานุภาพแห่งพระสิริพระเจ้า ก็ลดเลือนจางหายกลับลึกลงในความคิดที่สวนทางกับความจริงของพระจ้า ต่ำลงไปในคำพูด เผยเชื้อร้ายออกมาเป็นพฤติกรรมที่ตรงข้ามกับสภาพสวรรค์ได้ จนอาจจะยากยิ่งที่จะรื้อมันลง ถอนตัวไม่ขึ้นเพราะเคยชินกับการให้พื้นที่แก่โรคร้ายแห่งชนิดพันธุ์แปลกปลอมที่แทรกแซงเข้ามาแพร่กระจายโดยมิได้รับเชิญ ถึงวันนั้นก็ถูกเกี่ยวเก็บโดยทูตสวรรค์ที่พระเจ้ากำหนดไว้อย่างน่าเสียดาย จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเกี่ยวข้าวละมานรื้อถอนออกไปให้สิ้นซากในวันเวลาปันจจุบันนี้ อย่าออมชอมปล่อยค้างเป็นเสี้ยนหนาม เป็นหอกข้างแคร่ประจำชีวิตติดวิญญาณอยู่เนิ่นนานเป็นอันขาด ต้องเผาทำลายให้มอดไหม้ไม่หลงเหลือซากกากเดน รกหูรกตาเกะกะระรานชีวิต ที่ควรดำรงอยู่ในฐานะที่เหมาะสมคู่ควรกับแดนบริสุทธิ์ หันมาเอาใจใส่เดี๋ยวนี้ เวลานี้ ทำหน้าที่เป็นทูตสวรรค์ที่ถูกกำหนดมาในวันนั้น ณ บัดนี้ ปฏิบัติการอย่างเร่งด่วนเกี่ยวแกลบหรือข้าวละมานโกยเก็บรวบรวมเผาทำลายในกองไฟให้หมดสิ้นไปจากลานข้าวแห่งชีวิตตัวเอง เพื่อจะได้ดำรงอยู่ในยุ้งฉางหรืออาณาจักรพระเจ้าได้ ซึ่งจะทรงเก็บเฉพาะข้าวสาลีเท่านั้น

(พระหัตถ์ของพระองค์ถือพลั่วพร้อมแล้ว และจะทรงชำระลานข้าวของพระองค์ให้ทั่ว พระองค์จะทรงเก็บข้าวของพระองค์ไว้ในยุ้งฉาง แต่พระองค์จะทรงเผาแกลบด้วยไฟที่ไม่รู้ดับ"…..มธ.3:12) เราต้องเร่งรีบกำจัดซะก่อน แล้วเวลาแห่งการสิ้นยุคเข็ญภายในตัวตนของเรา ที่มันก่อหวอดตรงนั้นตรงนี้บดขยี้ชีวิตให้ขาดสันติสุข ดูเหมือนไม่มีความปลอดภัยนั้น ก็จะถูกหลอมละลายไปพร้อมกับสิ่งที่เราลุกขึ้นมาเผาผลาญออกไปจากชีวิตของเรา เหมือนกับสิ่งไม่ดีที่เล็ดรอดเข้ามาในชีวิตเรา แล้วทำการปลดออกชำระออกให้ได้จากตัวเรา กระบวนการเหล่านี้จะเกิดขึ้นในชีวิต เวลานั้นจะเป็นเหมือนเวลาที่เราเก็บเกี่ยว และการสิ้นยุคก็จะเกิดขึ้นในฝ่ายวิญญาณของเรา รูปแบบของเราก็จะสมบูรณ์ เหมือนกับพระองค์ผู้ทรงใช้มาในวันสิ้นยุค

เพราะฉะนั้น การสิ้นยุคในปัจจุบันของพวกเรามีแน่ เพียงแต่ขอให้เรามีท่าทีในการประกอบกิจชนิดเดียวกันกับพระเจ้า ที่วางไว้สำหรับวันสิ้นยุคของโลกใบนี้ เราต้องเป็นบุคคลที่เริ่มต้นทำในรูปแบบที่พระเจ้าบอกว่า พระองค์จะเสด็จมาแล้วทำการนี้ พระองค์ให้เราจัดเตรียมธรรมิกชน จัดเตรียมพระมรรคา เพื่อรอการเสด็จกลับมาครั้งที่สองของพระคริสต์

เพราะฉะนั้น ท่าทีของเราในสถานภาพของผู้เชื่อต้องเตรียมความพร้อมไว้เสมอในตัวของเรา จะเห็นความชัดเจนว่าในวันที่พระเจ้าเสด็จกลับมา เราก็จะเป็นบุคคลที่เพียบพร้อมแล้ว ดังนั้นอะไรที่มันแปลกปลอมเข้ามาและเรารู้ว่ามันไม่ใช่คุณสมบัติพลเมืองแผ่นดินของพระเจ้า ต้องด่วนปฏิบัติการเกี่ยวมันออกไปก่อนเลย เพื่อการสิ้นยุคในชีวิตของเราจะได้เกิดขึ้น ยุคเข็ญของเราจะล่มสลายไป กลับเป็นยุคใหม่ที่มีแต่พันธุ์ข้าวสาลีล้วนๆ เท่านั้น ในชีวิตที่สมบูรณ์แบบอย่างพระคริสต์ที่แท้จริง เพื่อที่เราจะไม่ต้องมาทนแดดทนฝนทนสารพัดปัญหาพายุร้ายในเวลานี้ด้วยความบอบช้ำ เพื่อความปลอดภัย จำเป็นต้องสำรวจตรวจสอบเช็คสภาพมองดูช่วงเติบโตของชีวิตคริสเตียน ด้วยความพรักพร้อมในการที่จะแยกแยะสิ่งดีสิ่งชั่ว อะไรที่ต้องเก็บรักษา อะไรที่ต้องสกัดกั้นปัดทิ้งปฏิเสธไม่ยอมรับยกเลิกขับไล่ ด้วยวิธีการที่ชาญฉลาด โดยยึดพระวจนะยึดความจริงด้วยใจรัก (แต่ให้เรายึดความจริงด้วยใจรัก เพื่อจะจำเริญขึ้นทุกอย่างสู่พระองค์ผู้เป็นศีรษะ คือพระคริสต์…อฟ.4:15) เราก็จะหยั่งรู้และเข้าใจเหมือนมีตาในสมองที่จะเลือกข้าวสายพันธุ์สวรรค์ แล้วทำลายละเลิกข้าวสายพันธุ์นรก การดำเนินชีวิตคริสตชนทั้งหลายทั้งปวงล้วนมีโอกาสถูกสอดแทรกด้วยสภาพจิตใจที่ฟกฃ้ำขมขื่นเจ็บปวดโกรธแค้นอาฆาตต่อผู้หนึ่งผู้ใด เหตุการณ์ใดสถานการณ์ใดปัญหาใดที่ต้องเผชิญและไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เสมอ จึงไม่อาจบอกได้ว่า ตัวข้าฯนี้ดีเลิศประเสริฐแล้ว ปลอดภัยแล้ว ไม่มีใครจะกล้าพูดได้ว่า ข้าพระองค์ดีพร้อมแล้ว มั่นคงแล้ว อย่าประมาทต่อการเคราะห์ร้ายด้วยการตรึกตรองเช่นนั้น (เหตุฉะนั้นคนที่คิดว่าตัวเองมั่นคงดีแล้ว ก็จงระวังให้ดี กลัวว่าจะล้มลง….1คร.10:12) เพราะทุกผู้ทุกนามที่ยังต้องอยู่ในนาของโลกนี้ มีโอกาสพลาดพลั้งบกพร่องตลอดวันเวลาแทบทุกนาที ทั้งในกระบวนการแห่งแนวความคิด กิริยาวาจา การเคลื่อนตัวเคลื่อนไหวมีโอกาสแสดงท่าทีประนีประนอมออมชอมกับกระบวนการของโลก เป็นไปตามแนวทางเดียวกับโลกฝ่ายธรรมชาติที่ตามองเห็นได้เสมอ ซึ่งคริสเตียนฝ่ายวิญญาณจะต้องเดินด้วยกฏแห่งชีวิต มิใช่สิ่งที่ตามองเห็น (เพราะเราดำเนินโดยความเชื่อ มิใช่ตามที่ตามองเห็น…2คร. 5:7)

การสิ้นยุคในอนาคตคือช่วงเวลาที่พระเยซูจะมาในกาลภายหน้าเร็วๆ นี้ แต่ ณ ปัจจุบันนี้ ถ้าจะให้การสิ้นยุคในชีวิตส่วนตัวของแต่ละคน ที่ถูกแทรกแซงจากอำนาจมืดสารพัดกลยุทธที่แยบยลหลอกลวงให้มีความบกพร่องต่อพระเจ้า อำนาจของซาตานหว่านข้าวละมานที่งอกขึ้นจากตัวเรา ลิดมันออกบอกเลิกทุกวิธีแสดงพฤติกรรมว่าเราไม่ยินยอมที่ให้พื้นที่แม้เพียงนิดเดียวกับอะไรที่เป็นกระบวนการของข้าวละมานเด็ดขาด ต้องกำจัดมันเกี่ยวมันออก การเกี่ยวข้าวละมานคมเคียวอาจจะบาดเกี่ยวโดนข้าวสาลีบ้าง การเจ็บปวดย่อมมีบ้าง แต่ถ้าทนได้ยอมได้ด้วยความรักนำหน้าและเป็นใหญ่ นาในตัวของเราก็จะเต็มไปด้วยข้าวพันธุ์แท้ข้าวสาลีสายพันธุ์บริสุทธิ์เท่านั้น ในส่วนตัวเราแต่ละคน นั่นแหละ เวลาของพระเจ้าก็จะเกิดขึ้นในชีวิตเราทันทีว่า เราได้สำแดงการให้ยุคเข็ญนั้นหมดไปจากสภาพชีวิตเราแล้ว ณ ปัจจุบันของเรา ในโลกนี้ เราก็จะเห็นฤดูเกี่ยวกับการสิ้นยุคเข็ญหมดไปจากสภาพเรา ต้องเสียสละกล้าสำแดงการเกี่ยวในปัจจุบันของชีวิตขณะนี้

เพราะฉะนั้น เราก็คือบุคคลที่เตรียมความพร้อมที่จะแลเห็นการเกี่ยวของพระเจ้าในวันที่พระองค์เสด็จมา เป็นความชัดเจนว่านี่คือลักษณะของบุคคลที่อาณาจักรของพระเจ้าอยู่ในตัวของผู้นั้นอย่างแท้จริง และผู้นั้นก็อยู่ในอาณาจักรของพระเจ้า สามารถที่จะแบ่งปันและสำแดงถ้อยคำที่ก่อร่างสร้างผู้คนทั้งหลายขึ้นในอาณาจักรของพระองค์ได้อีก

นี่เป็นสภาพของคำว่า แผ่นดินของพระเจ้าที่เปิดเผยในชีวิตของเรา แต่ละบทที่พระเยซูยก ก็คือลักษณะของการเปิดเผยอาณาจักรของพระเจ้าในชีวิตของผู้เชื่อ เพราะในเวลานั้น จะมีแต่การร้องไห้ขบเคี่ยวเคี้ยวฟัน….คราวนั้นผู้ชอบธรรมจะส่องแสงอยู่ในแผ่นดินพระบิดาของเขาดุจดวงอาทิตย์ ใครมีหูจงฟังเถิด.. พระเจ้าตรัสกับเราด้วยถ้อยคำที่ร่วมสมัยเสมอ ทุกยุคทุกสมัย ความจริงความดีของพระองค์เปิดเผยได้ทั้งหมด

เพราะฉะนั้น เรื่องราวเหล่านี้ก็อยู่ในตัวตนของเราทั้งหลาย ซึ่งเป็นบุคคลที่เชื่อในพระองค์ตลอดเวลา เราต้องยอมรับว่า เสียงร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันจะถูกสำแดงออกเสมอ ถึงแม้เราไม่ได้ยินสียงร้องไห้ แต่มันมี ถ้าเราลิดรอนถอดถอนออกจากตัวเรา ความเจ็บปวด สมุนและบริวารของมารร้ายที่มันหว่านเมล็ดเข้ามาแทรกเรา ก็จะสำแดงได้ว่า เสียงร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันจะอยู่ในอาณาจักรของมัน ไม่ใช่อาณาจักรที่เราเป็น แล้วเราก็จะเป็นเหมือนผู้ชอบธรรมที่ส่องแสงอยู่ในแผ่นดินของพระบิดาดุจดวงอาทิตย์ (จงลุกขึ้นฉายแสง เพราะว่าความสว่างของเจ้ามาแล้ว และพระสิริของพระเจ้าขึ้นมาเหนือเจ้า….อสย.60:1) ในฝ่ายวิญญาณคริสเตียนเป็นอย่างนั้น แต่เราหลายคนแสงไม่มีสอดส่องออกไปได้เลย มืดสลัวมัวอยู่กับพื้นดินในโลกนี้ บนเส้นทางที่มืดมิดมรณา พระเจ้าบอกใครมีหูจงฟังเถิด พระเจ้าให้เราฟังในเวลานี้ มิใช่รอฟังในอนาคตว่า ทูตสวรรค์จะมาเกี่ยวข้าวละมานในโลกนี้ แล้วเวลานั้นสิ้นยุคก็จะเกิดขึ้น แต่ ณ ปัจจุบันในโลกนี้ สัมผัสกาลเวลาเหล่านี้ของพระเจ้าได้ ณ ปัจจุบันในโลกของเราซึ่งเรามีชีวิตอยู่ขณะนี้ต่างหาก เพียงแต่ว่า เราต้องประกอบกิจร่วมสมัยและร่วมความจริงกับพระเจ้าหรือร่วมสภาพในการเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ ในการที่จะสำแดงสัณฐานของตัวเองปรากฏในรูปแบบของผู้ชอบธรรมที่ส่องแสง อยู่ในแผ่นดินของพระบิดาดุจดวงอาทิตย์

ขั้นตอนที่สี่ ขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่

ถ้าเรามีคุณสมบัติเช่นนี้เสมอ คอยตรวจดูค้นหาตัวเองว่าบกพร่องหรือขาดลักษณะที่พระเจ้าให้เราเป็นข้าวสาลีข้าวพันธุ์ดีพันธุ์แท้

คุณสมบัติที่พิเศษของเราจะเพิ่มขึ้น เราจะเป็นบุคคลที่ร้อนรนค้นหาควาญหาแสวงหาตีแผ่และต้องการตลอดเวลา ด้วยการสำแดงถึงการละทิ้งทุกสิ่งของเราได้ แล้วก็เสียสละที่จะติดตามพระเจ้า ( "แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนขุมทรัพย์ซ่อนไว้ในทุ่งนา เมื่อมีผู้ได้พบแล้วก็กลับซ่อนเสียอีก และเพราะความปรีดีจึงไปขายสรรพสิ่งซึ่งเขามีอยู่แล้วไปซื้อนานั้น……..มธ.13:44)

นี่คือการเสียสละ การละทิ้งทุกสิ่ง กล้าที่จะเป็นเช่นนี้ในจุดยืนกับพระเจ้า ไม่รู้สึกหวงแหน ไม่เสียดายอะไรเลย ไม่มีความโลภความผูกพันอยู่ในทรัพย์สมบัติใดๆ ในโลกนี้หรือตัวตนในโลกนี้เหมือนเดิม แต่จะมีท่าทีใหม่ นั่นคือ กระเสือกกระสนปรารถนาที่จะได้สิ่งมีค่าหรือขุมทรัพย์ ที่มันเหมือนถูกซ่อนไว้ในทุ่งนา เมื่อพบแล้วกลับซ่อนเสียอีกและเพราะความปรีดีจึงไปขายสรรพสิ่งซึ่งเขามีอยู่แล้วไปซื้อนานั้น ผู้ใดที่ไม่กล้าสลัดตัดอะไรของตนทิ้งเลย ผู้นั้นไม่สามารถพบแผ่นดินของพระเจ้าได้ ครั้งหนึ่งที่พระเยซูตรัสกับชายคนหนึ่ง ที่มาทูลถามพระองค์ ..."ท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าจะต้องทำดีประการใด จึงจะได้ชีวิตนิรันดร์" ,พระเยซูตรัสตอบเขาว่า "ท่านถามเราถึงสิ่งที่ดีทำไม ผู้ที่ดีมีแต่ผู้เดียว แต่ถ้าท่านปรารถนาจะเข้าในชีวิต ก็ให้ถือรักษาพระบัญญัติไว้"…. คนหนุ่มนั้นทูลพระองค์ว่า "ข้อเหล่านั้นข้าพเจ้าได้ถือรักษาไว้ทุกประการ ข้าพเจ้ายังขาดอะไรอีกบ้าง", พระเยซูตรัสแก่เขาว่า "ถ้าท่านปรารถนาเป็นผู้ที่ทำจนครบถ้วน จงไปขายบรรดาสิ่งของซึ่งท่านมีอยู่แจกจ่ายให้คนอนาถา แล้วท่านจะมีทรัพย์สมบัติในสวรรค์ แล้วจงตามเรามาและเป็นสาวกของเรา" เมื่อคนหนุ่มได้ยินถ้อยคำนั้นก็ออกไปเป็นทุกข์ เพราะเขามีทรัพย์สิ่งของเป็นอันมาก……มธ.19:16,17,20,21)

ชายผู้นี้มีคุณสมบัติที่สามารถปฏิบัติตามบัญญัติสิบประการได้หมด แต่พอพระองค์เพิ่มอีกข้อให้เค้าปฏิบัติด้วยการจำหน่ายสิ่งของเพื่อมาแจกจ่ายให้คนขัดสนยากไร้ เค้าก็จะทำได้จนครบถ้วน แต่เค้าก็ต้องเป็นทุกข์ผิดหวังที่กระทำตามไม่ได้ เพราะเสียดายทรัพย์สินสิ่งของอันมากมายที่ครอบครองอยู่ นี่ก็เปรียบเทียบให้เห็นว่า บุคคลใดก็ตามที่ให้ตัวเองนั้นมีวิญญาณที่หวงแหน วิญญาณที่เสียดาย วิญญาณแห่งความโลภ วิญญาณของคนเหล่านี้เป็นวิญญาณเศรษฐี ในสายพระเนตรพระเจ้า เพราะอะไรก็เป็นของตัวหมด หวงไว้ทรัพย์สมบัติของข้า เสียสละไม่ได้ ในลักษณะอย่างนี้ พระเยซูจึงตรัสว่า "…….. คนมั่งมีจะเข้าในแผ่นดินสวรรค์ก็ยาก, …… ตัวอูฐจะลอดรูเข็มก็ง่ายกว่าคนมั่งมีจะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้า" (มธ.19:23,24)

วิญญาณที่จนคือวิญญาณที่ยอมจำนนกับพระเจ้า วิญญาณเศรษฐีคือวิญญาณที่เย่อหยิ่งกับพระองค์ วิญญาณที่จะเข้าหาพระเจ้าต้องสำแดงคุณสมบัติของผู้ยากจนก่อน ถึงจะเข้าไปพึ่งเข้าไปหาพระเจ้า คนที่เป็นเศรษฐีจะไม่พึ่งพระเจ้า แต่พระเจ้าจะประทานขั้นตอนให้ผู้ใดมั่งมีในฝ่ายวิญญาณจำเพาะพระพักตร์ นั่นคือพระเจ้ามองเห็นว่า ผู้นั้นสำแดงกับพระเจ้าก่อนว่าเค้ายากจน เริ่มต้นจิตวิญญาณที่ยากจน (บุคคลผู้ใด รู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา…มธ.5:3) คือถ่อมกายถ่อมใจปรารถนาเข้าพักพิงพึ่งพาอาศัยพระคุณพระเจ้า สำแดงจิตวิญญาณที่เสียสละ มิใช่มีท่าทีในฝ่ายวิญญาณที่เย่อหยิ่งแบบเศรษฐี อะไรก็ไม่จำนน ไม่เสียสละ จิตใจแหนหวงทรัพย์สมบัติไปหมด คนประเภทนี้ก็เข้าแผ่นดินสวรรค์ได้ยากกว่าที่ตัวอูฐจะลอดรูเข็ม ดังนั้นวิญญาณที่ยากจนนั้น จะขวนขวายกระหายหาต้องการพระเจ้าด้วยการยืนอยู่บนการเสียสละ และการที่จะละทิ้งบางสิ่งบางอย่างซึ่งไม่เป็นที่พอพระทัยพระเจ้าออกไปให้ได้ พระองค์บอกว่า เค้าจะค้นพบ ต้องขายสรรพสิ่งทั้งปวง แล้วถึงจะซื้อมาได้ คือต้องออกแรงในการที่จะซื้อมา แผ่นดินสวรรค์มิใช่หากันได้อยากเยือกๆ เย็นๆ อุ่นๆ แต่พระเจ้าบอกต้องร้อนรน จะได้อะไรจากพระเจ้าต้องออกแรงฝ่ายวิญญาณ ค้นหาด้วยท่าทีที่สำแดงออกมาอย่างชัดเจน ถึงจะสมบูรณ์

เพราะฉะนั้น บรรดาบุคคลที่มีอาณาจักรของพระเจ้าอยู่ภายในตัวเองและดำรงอยู่ในอาณาจักรพระเจ้า ก็ต้องมีพฤติกรรมมีคุณสมบัติในชีวิตที่ค้นหาเสาะหาพระเจ้าตลอดเวลา คือยอมรับรู้ว่าตัวเองขาดแคลน รู้สึกวิญญาณตนเองบกพร่องขาดสันติสุข

("บุคคลผู้ใด รู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา …มธ.5:3) และในเวลาเดียวกันก็พร้อมที่จะยอมสละทุกสิ่งที่มันถ่วงหนักอยู่ นั้น เป็นเหมือนการขายทุกสิ่งออกจากตัวเพื่อมาซื้อสิ่งประเสริฐจากพระเจ้า เราไม่ได้เอาเงินเอาทองมาซื้อพระเจ้า หรือไปซื้อสิ่งดีจากพระเจ้า แต่เราเอาคุณสมบัติในชีวิตที่กล้าได้กล้าเสียกับพระเจ้านั่นแหละ เป็นตัวบอกเหตุกับพระเจ้าว่า บัดนี้เราได้จ่ายราคาแล้ว ได้ลงทุนแล้วกับพระองค์ ได้ใช้หนี้คืนพระองค์ เพื่อให้เรามีชีวิตที่เติมเต็มอยู่ในสภาพที่พระเจ้าต้องการให้เราเป็นพลเมืองของพระองค์ที่ได้ดำรงอยู่ในอาณาจักรพระเจ้านั่นเอง

[ยังเปรียบรวมถึงบุคคลทั้งหลายทั้งปวงที่ยังไม่รู้จักพระผู้ช่วยให้รอดและมีวิญญาณยากจนค่นแค้น ปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะได้มาใกล้ชิดพระเจ้า อยากพบพระองค์กว่าสิ่งอื่นใด อยากมีพระองค์ อยากได้พระองค์ เหมือนคนที่ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร แก้ไขอย่างไร เหมือนกับรู้สำนึกภายในจิตใจลึกๆ ว่าตนเองนั้นขัดสนอะไรอยู่ก็ไม่รู้ ที่ไม่ใช่วัตถุในโลก ปรารถนาอย่างรุนแรงข้างในจิตใจที่จะพบบางสิ่งบางอย่างที่ขาดหายไป และตระหนักว่าสิ่งนั้นต้องจำเป็นสำหรับชีวิตที่แท้จริงและขาดไปไม่ได้เลย จึงตะเกียกตะกายไขว่คว้าเพื่อให้ได้พบให้ได้มาอย่างสุดใจขาดดิ้น เพื่อจะช่วยให้รอดได้หลุดพ้นได้จากบางสิ่งบางอย่างที่มันกดทับถ่วงหนักอยู่ จึงเต็มใจเต็มวิญญาณที่จะแลกเอาสิ่งล้ำค่านี้มาเป็นของตน จึงยอมถ่อมลงและมองข้ามทรัพย์สิ่งของที่ประจักษ์กับตา ไม่เห็นว่าวัตถุเหล่านั้นมีคุณค่าที่จะช่วยได้ ปลดปล่อยได้ เพราะสิ่งเหล่านั้นที่เค้ามีอยู่ ครอบครองเป็นเจ้าของอยู่หาได้ทำให้เค้ามีสันติสุข มีความชื่นชมยินดีที่แท้จริงไม่ เค้าจึงยอมรับว่าวิญญาณของเค้าขาดแคลนขัดสนในสิ่งที่เค้าไม่มีและไม่สามารถค้นหามาเองได้ ไม่มีใครช่วยได้ ไม่มีใครเข้าใจได้ จึงหิวกระหายโหยหาพระเจ้าเหมือนคนที่ร่างกายขาดน้ำอย่างรุนแรง เหมือนคนจะจมน้ำขาดอากาศหายใจ วิญญาณเหมือนถูกทรมานและอยากหลุดพ้น ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งของมีค่าใดๆ ของโลก รู้สึกสำนึกผิดอยากหันกลับจากทิศทางที่ต้องเป็นอยู่นั้น หัวใจร้องไห้คร่ำครวญอย่างแปลกประหลาด พระเจ้ามีจริงหรือ พระองค์เป็นใคร พระเจ้าคืออะไร อะไรเป็นพระเจ้า และเพราะพระเจ้ามีอยู่จริงทรงทอดพระเนตรเห็นวิญญาณจิตของบรรดาบุคคลเหล่านี้กำลังเปิดใจ กำลังแสวงหาอยากรู้จักพระองค์ แน่นอนพระเจ้าไม่นิ่งเฉยดูดายอยู่ดอก วิธีการของพระองค์มีหลากหลายที่จะนำเค้าเหล่านี้ผู้มีวิญญาณเหมือนคนอนาถา ได้มาพบได้มาสัมผัสได้มารับรู้ได้มาเข้าใจพระเจ้าเที่ยงแท้ผู้ทรงพระชนม์อยู่ ในเวลาที่เหมาะสม ที่ทรงกำหนดไว้อย่างไม่ต้องสงสัย ส่วนวิญญาณเศรษฐีก็ยังหลงใหลได้ปลื้มจดจ่อผูกพันอยากได้ใคร่มีกับสิ่งของอนิจจังอยู่ ยังเห็นการกินลมกินแล้งเป็นสิ่งที่มีคุณค่า เค้าไม่กระหายหาของที่จีรังยั่งยืน ไม่จำเป็นต้องพึ่งพระเจ้า เย่อหยิ่งอยู่กับยศฐาบรรดาศักดิ์ ตำแหน่งหน้าที่ที่มนุษย์ทั้งหลายยกย่องหัวโขนให้เกียรตินับถือมีหน้ามีตา จอมปลอมหลอกลวงอย่างโง่เขลาเบาปัญญาและไม่หยั่งรู้ไม่รับรู้ถึงสิ่งที่ควรค่าแก่การนับถือ สิ่งบริสุทธิ์สิ่งที่ทรงคุณอย่างแท้จริง ยังดำเนินเดินอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยอันตราย เสี่ยงภัยเสี่ยงตายไร้แก่นสาร ไร้หลักฐานแห่งความจริงใดๆ ในชีวิต โถ น่าสงสาร เพราะความบาปจึงถูกหลอก ถูกปิดตาบังใจ]

ขั้นตอนที่ห้า ไข่มุกที่มีราคามาก

จะเห็นว่า ตลอดเวลาคุณสมบัติของบุคคลเหล่านี้เมื่อเค้าเติบโตทั้งความเชื่อ การเติบโตทั้งการดำเนินชีวิต อย่างที่บอกเกี่ยวกับเชื้อขนม ที่มีความสมบูรณ์แบบในรูปแบบของบุคคลที่ชัดเจนว่า เหมือนพระเจ้าและในเวลาเดียวกัน เค้าก็ต้องเป็นบุคคลที่ต้องสำรวจ อย่างที่อุปมาเรื่องข้าวละมาน ต้องสำรวจตัวเองเสมอว่า จะถูกแทรกด้วยรูปแบบของสิ่งในโลกนี้ หรือตัวตนเก่าๆ ของเค้า หรืออะไรบางอย่างที่มันแทรกเข้ามา ที่ไม่ใช่ข้าวพันธุ์ที่พระเจ้าพอพระทัย ที่ไม่ใช่เป็นข้าวสาลี กระบวนการเหล่านี้ เมื่อบุคคลเหล่านี้เป็นเช่นนี้แล้ว เค้าต้องเป็นบุคคลที่กระตือรือร้นร้อนรนในเรื่องของพระวิญญาณ ในเรื่องของประทาน ขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ ไม่มีผู้ใดมาเอาเองได้ ถ้าพระเจ้าไม่ประทานให้โดยชอบพระทัยของพระองค์ ดังนั้นเราต้องร้อนรนไขว่คว้าแสวงหา ท่าทีเหล่านี้ต้องอยู่ในชีวิตของผู้ที่เชื่อ ที่มีคุณสมบัติแต่ละขั้นตอน ต้องแสวงหาปรารถนาไข่มุกของประทาน ไข่มุกที่มีราคาแพงคือเจาะจงหาตัวเองในการทรงเลือก

"อีกประการหนึ่ง แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนพ่อค้าที่ไปหาไข่มุกอย่างดี, และเมื่อได้พบไข่มุกเม็ดหนึ่งมีค่ามาก ก็ไปขายสิ่งสารพัดซึ่งเขามีอยู่ ไปซื้อไข่มุกนั้น….. มธ.13:45-46

นั่นก็คือ เมื่อเค้าค้นหาเฉพาะเจาะจง หาไข่มุกก็ได้ไข่มุก แต่ก่อนหน้านี้ กล่าวถึงขุมทรัพย์ที่ซ่อนไว้ในทุ่งนา เมื่อผู้ใดพบแล้วก็กลับซ่อนซะอีก เหมือนเมื่อมาพบพระเจ้าแล้ว ได้พบขุมทรัพย์แล้ว และสิ่งนั้นก็ถูกซ่อนซะอีก เพราะเรายังไม่เข้าใจ ยังไม่รู้ว่าความบริบูรณ์ในการเชื่อพระเยซูเป็นยังไง ดังนั้น เราจึงต้องแสดงออก ด้วยการเหมือนกับว่า ขายทุกสิ่งของเราให้ได้ แล้วติดตามพระองค์ใกล้ชิดที่สุด ก็เหมือนเช่นเราทั้งหลายขายทุกสิ่งเพื่อมาซื้อความเข้าใจทั้งหลายในเรื่องของพระเจ้า การแสดงออกทั้งพฤติกรรมของเราจากจิตใจภายในของเรา จะทำให้เราเฟื่องฟูความเข้าใจมากขึ้นในเรื่องของชีวิตเรากับพระเจ้า และเมื่อเรามีความเข้าใจพระองค์ลึกซึ้งมากขึ้น ท่าทีนี้เราก็เป็นสาวกแล้ว คุณสมบัติอีกมากมายที่พระเจ้าจะให้เราเฉพาะเจาะจงในของประทาน ไข่มุกเป็นสิ่งที่อยู่ในสวรรค์ ประตูสวรรค์ของพระเจ้าเป็นไข่มุก ทั้งสิบสองประตู ประตูละหนึ่งเม็ด (ประตูทั้งสิบสองประตูนั้นทำด้วยไข่มุกสิบสองเม็ด ประตูละเม็ด….วว.21:21) เป็นกระบวนการความหมายที่บ่งบอกถึงสื่อบางอย่างให้เรารู้ว่า เป็นความชัดเจนที่สูงสุด เป็นสิ่งที่เราต้องการ สิ่งที่มาจากเบื้องบนจริงๆ แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนพ่อค้าที่ไปหาไข่มุกอย่างดี เราเป็นพ่อค้า เราทำหน้าที่ซื้อกับขาย ดังนั้นเราต้องซื้อสิ่งที่มีค่าจากพระเจ้า ด้วยการขาย ขายตัวตนของเรา เพื่อจะให้ได้สิ่งประเสริฐจากพระเจ้า เพื่อให้สมบูรณ์แบบกับการที่เราจะได้จากสิ่งที่มาจากเบื้องบน

เพราะฉะนั้น เค้าได้พบไข่มุกเม็ดหนึ่งที่มีค่ามาก จึงไปขายทุกสิ่งสารพัดที่เค้าเพื่อมาแลกกับไข่มุกเม็ดนั้น บุคคลที่อยู่ในการดำเนินชีวิตกับพระวิญญาณ มีของประทานโดยการจุดประกายจากพระเจ้า บุคคลเหล่านี้จะต้องเป็นบุคคลที่เสียสละสูงมาก เราจะเอาสิ่งเหล่านี้มาเป็นประโยชน์ในชีวิตเรานั้นไม่ได้เลย ถ้าพระเจ้าประสงค์ให้ในบางครั้งบางคราว ในสิ่งดีสิ่งประเสริฐ ก็โมทนาพระคุณพระเจ้า แต่เราจะกำหนดเป็นมาตรฐานเป็นกฎเกณฑ์ในชีวิตเราไม่ได้เลยว่า เราได้สิ่งเหล่านี้เพื่อประโยชน์ของเรา เพื่อเกียรติยศ เพื่อชื่อเสียงของเรา เพื่อคนที่จะยกยอเรา จะใช้ตรงนั้นไม่ได้เลย แต่เราจะต้องแสดงออกตลอดเวลาว่า ให้เรานั้นฉลาดที่สุด ขายสิ่งสารพัดที่มีอยู่ทั้งหมด มิใช่สิ่งเดียวแต่ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตตัวตนของเค้า ทุกๆ ส่วนแห่งชีวิตของเค้า ต้องยอมที่จะสละ ยอมสละความสุขส่วนตัว ยอมสละเวลาส่วนตัว ยอมสละทุกอย่างเพื่อให้สิ่งมีค่าเหล่านี้ (ที่จริงข้าพเจ้าถือว่าสิ่งสารพัดไร้ประโยชน์ เพราะเห็นแก่ความประเสริฐแห่งความรู้ถึงพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า เพราะเหตุพระองค์ ข้าพเจ้าจึงได้ยอมสละสิ่งสารพัด และถือว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเหมือนหยากเยื่อเพื่อข้าพเจ้าจะได้พระคริสต์…..ฟป.3:8) สำแดงความประเสริฐออกมาให้คนทั้งหลายได้แลเห็น เพราะนี่เป็นสิ่งที่มาจากเบื้องบน ไข่มุกเป็นสัญลักษณ์และเป็นตัวแทนของสิ่งที่อยู่ในสวรรค์ที่ชัดเจนที่สุด แล้วมีค่ามาก นี่คือกระบวนการที่เราเคลื่อนไหวชีวิตในลักษณะอาณาจักรแท้จริง และมีอาณาจักรที่แท้จริงของพระเจ้าอยู่ข้างในตัวตน เมื่อสภาพชีวิตของเราสมบูรณ์เช่นนั้นแล้ว

ขั้นตอนที่หก อวนที่ติดปลา

"อีกประการหนึ่ง แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนอวนที่ลากอยู่ในทะเล ติดปลารวมทุกชนิด เมื่อเต็มแล้วเขาก็ลากขึ้นฝั่ง นั่งเลือกเอาแต่ที่ดีใส่ตะกร้า แต่ที่ไม่ดีนั้นก็ทิ้งเสีย ในเวลาสิ้นยุคก็จะเป็นอย่างนั้น พวกทูตสวรรค์จะออกมาแยกคนชั่วออกจากคนชอบธรรม

แล้วจะทิ้งลงในเตาไฟอันลุกโพลง ที่นั่นจะมีการร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน…..มธ13:47-50

เมื่อมีของประทานสมบูรณ์แบบแล้ว จงอย่าเย่อหยิ่งผยอง ยังมีเรื่องของอวนเข้ามา เริ่มต้นในการเป็นผู้เชื่อมีข้าวละมานข้าวสาลี ให้เราสำรวจ (ทุกคนมีของประทาน เราจะปฏิเสธไม่ได้ว่าไม่มี (……..แต่ทุกคนก็ได้รับของประทานจากพระเจ้าเหมาะกับตัว คนหนึ่งได้รับอย่างนี้ และอีกคนหนึ่งได้รับอย่างนั้น….1คร.17:7) แต่บางครั้งได้ใช้ของประทานไปโดยไม่รู้ตัว บางคนไม่รู้ว่าตัวเองมีของประทาน แต่ทุกคนมีของประทานทั้งนั้น พระเจ้าหยิบสิ่งเหล่านี้ใส่ให้ ไม่มีอะไรที่เรามีความสามารถทำได้เอง ด้วยตัวของเราเอง ทุกอย่างที่เราได้ทำได้ ออกมาสำแดงความดีให้กับใครหรือเป็นที่ถวายเกียรติพระเจ้า นั่นเป็นงานของพระวิญญาณที่จะทำอยู่ในตัวเรา)

เพราะฉะนั้น ท่าทีของบุคคลที่สมบูรณ์แล้วว่า มีความชัดเจน มีความเข้าใจในความล้ำลึกของพระเจ้า ที่เป็นเหมือนขุมทรัพย์ที่ซ่อนไว้แล้วก็กลับไปขาย แล้วก็มีความเข้าใจแล้ว รู้เรื่องราวเกี่ยวข้องกับของพระวิญญาณ รู้ถึงฤทธิ์อำนาจความสูงส่งของสิ่งที่มาจากเบื้องบน หรือของประทานของพระเจ้า คนเหล่านี้จะเย่อหยิ่งลำพองไม่ได้ ต้องรู้จักที่จะสำรวจตนเองเหมือนกัน บัดนี้นั้น ชีวิตเก่าของเรามันยังคาราคาซังอยู่ในเรา เหมือนอวนที่ติดปลามาหลายชนิดรึเปล่า ต้องคัดต้องแยก แยกเอาสิ่งที่ดีที่สุดออกมาเป็นของพระเจ้า ต้องคัดเอาส่วนไม่ดีส่วนเสียของเราออกไป ต้องยอมที่จะให้สิ่งเหล่านี้ถูกเผาผลาญไปจากตัวเรา บางทีเราอาจจะเจ็บปวด บางครั้งเกิดการเผาผลาญขึ้นก็ร้อนรุ่มกลุ้มใจ บางสิ่งในตัวเราพอเค้าจะให้เราทำบางอย่างมันฝืนกับใจเรา ใจเราก็ไม่เป็นสุข แต่อย่าไปมองว่าใจไม่เป็นสุขไม่อยากทำคงไม่ใช่มาจากพระเจ้ามั้ง ขอให้เรารู้ว่าเมื่อเรายอมคัดตัดสินใจแยกแยะฉีกเนื้อหนังที่ฝืนใจนั้นออก เปรียบเหมือนเราก็ได้ตรึงเนื้อหนังตายต่อตัวเองแล้ว เพื่อจะให้เรามีสภาพเป็นปลาที่ดีอยู่ในตะกร้าของพระเจ้า บุคคลที่มีคุณสมบัติครบถ้วนทั้งชีวิตที่ดำรงอยู่ในพระเจ้า เริ่มต้นในความเชื่อ แล้วก็เติบโตขึ้นในความเชื่อ แล้วชีวิตก็ดำเนินอย่างสมบูรณ์แบบกับพระจ้า เต็มเปี่ยมไปด้วยความเข้าใจในเรื่องความล้ำลึกของพระเจ้า เข้าถึงซึ่งของประทานที่พระวิญญาณประทานให้จากเบื้องบน ก็ยังต้องสำรวจตรวจดูชีวิต เหมือนกับอวนที่ได้ปลามาหลากชนิดต้องแยกต้องคัดสภาพตนเองสมอ ไม่ใช่ได้ครบถ้วนสมบูรณ์แบบถึงขั้นนี้แล้ว จะแน่ใจได้ว่าดีครบแล้ว เลิศเลอเพอเฟคแล้ว ไม่ต้องตรวจเช็คอะไรแล้ว นั่นเป็นความประมาทเลินเล่อเผลอไผในฝ่ายวิญญาณ (ในความคิดของผู้ที่อยู่อย่างสบายมีความประมาทต่อการเคราะห์ร้าย ซึ่งมีพร้อมอยู่สำหรับบรรดาผู้ที่เท้าพลาด….โยบ.12:5) และพระเจ้ามีพระประสงค์ให้เราใคร่ครวญตรวจสอบแยกแยะคัดเลือกสภาพชีวิต ทุกขณะทุกขั้นตอนในการดำเนินอย่างรอบคอบ

ขั้นตอนที่เจ็ด ทรัพย์เก่าและทรัพย์ใหม่

ความสมบูรณ์ในตัวตนของบุคคลที่เป็นผู้เชื่อหรือเป็นคนที่มีชีวิตที่ดำเนินตามพระลักษณะของพระเจ้า รับและรู้เรื่องราวความล้ำลึก รับสติปัญญาของพระเจ้ามีความเข้าใจ รู้จักพระองค์ชัดเจนขึ้นและมีของประทานจากพระวิญญาณ จะพิจารณาในขั้นตอนเหล่านี้

"ข้อความเหล่านี้ท่านทั้งหลายเข้าใจแล้วหรือ" เขาทูลตอบพระองค์ว่า "เข้าใจพระเจ้าข้า"

ฝ่ายพระองค์ตรัสกับเขาว่า "เพราะฉะนั้นพวกธรรมาจารย์ทุกคน ที่ได้เรียนรู้ถึงแผ่นดินพระเจ้าแล้ว ก็เป็นเหมือนเจ้าของบ้านที่เอาทั้งของใหม่และของเก่าออกจากคลังของตน"…..มธ.13:51-52)

พวกธรรมาจารย์ นี้คือพวกที่เข้าใจเรื่องราวของพระเจ้า พวกที่รู้พระคัมภีร์ ผู้รับใช้ของพระเจ้า พูดง่ายๆ คือ สาวกของพระเจ้านั่นเอง พระองค์บอกว่า ที่ได้เรียนรู้ถึงแผ่นดินพระเจ้าแล้ว ก็เป็นเหมือนเจ้าของบ้านที่ต้องเอาทั้งของใหม่และของเก่าออกจากคลังของตน ของเก่าก็คือสิ่งเก่าๆ ของเรา ตัวตนของเรา นิสัยเดิมๆ ของเรา รูปแบบของเราที่พระเจ้าไม่ต้องการเอาออกไปจากตัวเรา และในเวลาเดียวกัน ก็เอาของใหม่ออกจากคลังของเราด้วย ของใหม่คือสิ่งดีที่พระเจ้าสอนเราให้เราเป็นให้เราคิดให้เราระลึก เอาสิ่งเหล่านั้นออกมาปฏิบัติภายนอกด้วย ให้แลเห็นเป็นที่ประจักษ์ ถ้าเราบอกว่า เรามีความเชื่อแล้ว แต่ไม่มีกระบวนการของผลที่จะสำแดงเลย อะไรก็ได้เรียนรู้หมดแล้วจนถึงขั้นเป็นเหมือนธรรมาจารย์แล้ว เรียนรู้ความเข้าใจในเรื่องราวของพระเจ้า ทุกอย่างเป็นขั้นๆ ตอนๆ ที่บอกมาตั้งแต่ต้น จนชีวิตดูเหมือนสมบูรณ์แล้ว เราก็ต้องเป็นบุคคลที่มีพฤติกรรมที่เอาออกมาให้ได้ทั้งของเก่าและของใหม่ ของเก่าก็ต้องเอาออกมา ของใหม่ก็ต้องเอาออกมา (……และเจ้าจะต้องเอาของเก่าออกไปเพื่อเอาที่มาเก็บของใหม่…..ลนต.26:10) สำแดงให้แลเห็นในการประพฤติด้วย ให้ภายนอกได้แลเห็นให้สังคมได้แลเห็น ให้มนุษย์ได้เห็นว่า บุคคลผู้นี้เป็นบุคคลที่มีพระเจ้าจริง สำแดงพระเจ้า คือของใหม่ สิ่งใหม่ในตัวเรา ก็คือพระเจ้าสำแดงออกมาให้คนทั้งหลายได้แลเห็น นี่คือความสมบูรณ์ของชีวิตบุคคลที่เข้าถึงการเป็นสาวกของพระเจ้า หรืออาณาจักรของพระเจ้าอยู่ในตัวเค้าและเค้าก็อยู่ในอาณาจักรของพระเจ้า อย่างสมบูรณ์แบบและผลต่างๆ ก็จะเกิดขึ้นกับชีวิตของเค้าในแต่ละขั้นแต่ละข้อนั้น นี่คือสิ่งที่เราเอามาเปรียบเทียบกับชีวิตจริงของเราได้ แล้วทุกอย่างจะแลเห็นถึงการนำพาให้เราได้ซาบซึ้งใน พระคุณพระเจ้าตลอดเวลา ดังนั้นแยกแยะชีวิตของเราได้ชัดเจนว่า ความสมบูรณ์ของเราเข้ามาถึงการเจาะจงในชีวิตได้แล้วชัดเจนหรือไม่ อย่างข้อสุดท้ายว่าทรัพย์เก่าและทรัพย์ใหม่ถูกใช้ออกมาจากชีวิตของเราอย่างครบถ้วน และนั่นก็คือการประกาศพระเจ้านั่นเอง และเราก็เป็นบุคคลที่ฉายแสงส่องสว่าง แทนดวงอาทิตย์ได้ อยู่ในแผ่นดินของพระเจ้า

ทรัพย์เก่าทรัพย์ใหม่ออกจากคลัง ขั้นตอนของเราเข้าถึงระดับธรรมาจารย์การเป็นสาวก หรืออาณาจักรของพระเจ้าอยู่ภายเราอย่างแท้จริงและเราก็อยู่ในอาณาจักรที่แท้จริง ถึงแม้จะเป็นภาพไม่ปรากฏ แต่เราก็สำรวจได้จากคุณสมบัติเหล่านี้ และเราก็จะได้รู้ว่า เราได้อยู่ตรงนี้ เวลานี้ยุคเข็ญของเราหมดได้ผ่านพ้นไปแล้ว เพราะสภาพที่เรามีเราเป็นเราสอดคล้อง เราเข้าถึงลักษณะของบุคคลที่เป็นพลเมืองของแผ่นดินสวรรค์ เราตรวจสอบได้และจะทำให้เราเกิดสันติสุขได้อย่างมากมาย ในรูปแบบเหล่านี้ตามขั้นตอนดังกล่าว

ไม่มีความคิดเห็น: