Custom Search By Google

Custom Search

วันอังคารที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2551

ต้นไม้แห่งชีวิต คือพระเยซูคริสต์


พระเยซูทรงเป็นบุคคลประเภทใด อะไรคือความสัมพันธ์ระหว่างพระเยซูกับพระเจ้า อะไรคือความสัมพันธ์ระหว่างพระเยซูกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ อะไรคือความสัมพันธ์ระหว่างพระเยซูกับมนุษย์ที่ตกสู่บาป ตรีเอกานุภาพและการเกิดใหม่หมายถึงอะไร

บทนี้จะพูดถึงปัญหาต่างๆ เหล่านี้ เพื่อที่จะตอบคําถามเหล่านี้ เราต้องเริ่มต้นทำความเข้าใจเกี่ยวกับคุณค่าของบุคคลที่แท้จริงเริ่มแรก เหตุผลสําหรับสิ่งนี้ก็คือ ถ้าอาดัมและเอวาบรรลุถึงความสมบูรณ์ กลายเป็นมนุษย์ที่แท้จริง สามีและภรรยาที่แท้จริง พ่อแม่ที่แท้จริง และให้กําเนิดลูกหลานที่เป็นตัวตนแห่งความดี ดังนั้น จึงไม่มีเหตุผลใดสําหรับการมีพระผู้มาโปรด (และดังนั้นก็ไม่มีการถกเถียงทางคริสตวิทยา)

1. คุณค่าของบุคคลผู้ซึ่งบรรลุถึงความมุ่งหมายแห่งการสร้างสรรค์
จากทัศนะอันนี้ ขอให้เราพูดถึงคุณค่าของบุคคลผู้ซึ่งบรรลุถึงความมุ่งหมายแห่งการสร้างสรรค์ นั่นก็คือคุณค่าของบุคคลผู้ซึ่งได้มาซึ่งคุณค่าของอาดัมที่สมบูรณ์

ประการแรกทีเดียว อะไรคือคุณค่าของบุคคลที่สมบูรณ์ในความสัมพันธ์กับพระเจ้า ตาม"หลักการแห่งการสร้างสรรค์" มนุษย์ถูกสร้างขึ้นเป็นบุตรของพระเจ้า เป็นกรรมที่เป็นแก่นสารที่คล้ายคลึงกับพระเจ้าที่มองไม่เห็น เมื่อมนุษย์บรรลุถึงความมุ่งหมายแห่งการสร้างสรรค์ มนุษย์จะกลายเป็นพระวรกายของพระเจ้า เป็นสิ่งที่ดํารงอยู่ที่พระวิญญาณของพระเจ้าทรงสถิตอยู่ภายใน (1 โครินธ์ 3:16) โดยธรรมชาติ มีธรรมชาติของพระเจ้าและเป็นหนึ่งในหัวใจกับพระองค์ เป็นบุคคลที่แท้จริงผู้ซึ่งสมบูรณ์เช่นเดียวกับที่พระบิดาบนสวรรค์สมบูรณ์ดังที่พระเยซูตรัส (มัทธิว 5:48) ดังนั้นบุคคลที่แท้จริงเป็นบุคคลซึ่งเป็นตัวตนที่มองเห็นได้ของพระเจ้า เป็นบุตรชายและบุตรสาวที่แท้จริงของพระเจ้า มีธรรมชาติของพระเจ้าและบรรลุถึงความมุ่งหมายแห่งการสร้างสรรค์

ประการที่สอง อะไรคือคุณค่าของบุคคลที่สมบูรณ์ในความสัมพันธ์กับบุคคลอื่นๆ ตาม"หลักการแห่งการสร้างสรรค์" พระประสงค์ของพระเจ้าที่ทรงสร้างมนุษย์ก็คือ เพื่อที่พระองค์จะทรงได้รับความสุขโดยผ่านมนุษย์ เพราะฉะนั้น แต่ละบุคคลจึงเป็นกรรมที่เป็นแก่นสารซึ่งคล้ายคลึงกับลักษณะพิเศษต่างๆ ภายในพระเจ้าซึ่งเป็นประธาน เพราะว่ามนุษยชาติทั้งมวลคล้ายคลึงกับลักษณะที่เป็นสากลของพระเจ้า ทุกคนจึงมีธรรมชาติที่ร่วมกันอยู่ อย่างไรก็ตามบุคคลแต่ละคนคล้ายคลึงกับลักษณะพิเศษบางอย่างที่เป็นหนึ่งเฉพาะตัวภายในพระเจ้า ดังนั้นจึงไม่มีคนสองคนที่เหมือนกัน ถ้าพระเจ้าทรงสร้างบุคคลสองคนหรือมากกว่านั้นซึ่งมีลักษณะพิเศษเหมือนกันโดยสิ้นเชิงในบรรดาสรรพสิ่งทั้งมวลของพระองค์ การสร้างสรรค์ของพระเจ้าก็จะเป็นการสูญเปล่า เพราะว่ามนุษย์ถูกสร้างขึ้นให้ดํารงอยู่ชั่วนิรันดร์ ดังนั้น ความปรารถนาของพระเจ้าเพื่อที่จะทรงได้รับการกระตุ้นแห่งความปีติโดยผ่านบุคคลหนึ่งๆ จึงถูกทําให้พึงพอใจอย่างเพียงพอโดยผ่านบุคคลคนนั้นคนเดียว เพราะฉะนั้น บุคคลผู้ซึ่งบรรลุถึงความมุ่งหมายแห่งการสร้างสรรค์จึงเป็นบุคคลที่เป็นหนึ่งเฉพาะตัวที่ไม่สามารถลอกเลียนแบบได้ในเอกภพทั้งมวล ไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็ตาม พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ บุคคลที่แท้จริงบุคคลหนึ่งๆ ผู้ซึ่งบรรลุถึงความมุ่งหมายแห่งการสร้างสรรค์เป็นบุคคลที่เป็นหนึ่งเฉพาะตัว ผู้ซึ่งไม่เคยถูกลอกเลียนแบบได้ชั่วนิรันดร์ ดังนั้น เขาจึงมีคุณค่าภายในตัวที่เป็นหนึ่งเฉพาะตัวซึ่งไม่สามารถปฏิเสธได้

ประการที่สาม อะไรคือคุณค่าของบุคคลที่สมบูรณ์ในความสัมพันธ์กับสรรพสิ่งที่เหลือ ตาม"หลักการแห่งการสร้างสรรค์" มนุษย์ถูกสร้างขึ้นเพื่อปกครองโลกฝ่ายวิญญาณที่มองไม่เห็นโดยตัวตนฝ่ายวิญญาณ และโลกฝ่ายเนื้อหนังโดยตัวตนฝ่ายเนื้อหนัง มนุษย์จะทําหน้าที่เป็นสื่อกลางที่ซึ่งโลกทั้งสองนี้มีปฏิกิริยาซึ่งกันและกัน บุคคลผู้ซึ่งบรรลุถึงความมุ่งหมายแห่งการสร้างสรรค์จะต้องปกครองเอกภพทั้งมวล (ปฐมกาล 1:28)

ตัวตนฝ่ายวิญญาณของมนุษย์จะต้องเป็นเอกภพขนาดเล็กของโลก ฝ่ายวิญญาณทั้งมวล และตัวตนฝ่ายเนื้อหนังเป็นเอกภพขนาดเล็กของโลกฝ่ายเนื้อหนังทั้งมวล มนุษย์ที่แท้จริงผู้ซึ่งบรรลุถึงความมุ่งหมายแห่งการสร้างสรรค์เป็นเอกภพขนาดเล็กของเอกภพทั้งมวล มนุษย์เป็นเอกภพขนาดเล็ก (ของสรรพสิ่ง) และมีคุณค่าแห่งเอกภพ ข้อเท็จจริงที่ว่ามนุษย์โดยเริ่มแรกมีคุณค่าแห่งเอกภพดังกล่าวนั้นอยู่ในพระดำรัสของพระเยซูที่ว่า "ถ้าผู้ใดจะได้สิ่งของสิ้นทั้งโลก แต่ต้องเสียชีวิตของตน ผู้นั้นจะได้ประโยชน์อะไร" (มัทธิว 16:26)

2. พระเยซูและบุคคลผู้ซึ่งบรรลุถึงความมุ่งหมายแห่งการสร้างสรรค์
ก. พระเยซูกับบุคคลที่สมบูรณ์
ดังที่อธิบายมาแล้วใน "การตกสู่บาป" ว่าถ้าอาดัมกลายเป็นชายคนแรกผู้ซึ่งบรรลุถึงอุดมคติสําหรับการสร้างสรรค์ อาดัมก็ควรที่จะกลายเป็นต้นไม้แห่งชีวิตที่ถูกกล่าวถึงในปฐมกาล 2:9 และดังนั้น ลูกหลานทั้งหลายจะกลายเป็นต้นไม้แห่งชีวิต อย่างไรก็ตาม อาดัมตกสู่บาป และดังนั้นจึงไม่สามารถทําให้อุดมคติของต้นไม้แห่งชีวิตกลายเป็นความจริงได้ (ปฐมกาล 3:24) ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา มนุษย์ที่ตกสู่บาปก็ได้หวังที่จะแก้ไขตัวเองและกลายเป็นต้นไม้แห่งชีวิต (สุภาษิต 13:12, วิวรณ์ 22:14)

แม้ว่ามนุษย์ที่ตกสู่บาปจะ "ได้ชื่อว่ามีชีวิตอยู่" แต่ในความเป็นจริง มนุษย์เป็นต้นไม้แห่งชีวิตที่จอมปลอมและตายแล้ว (วิวรณ์ 3:1) เพราะมนุษย์ที่ตกสู่บาปไม่สามารถแก้ไขตัวเขาเองให้เป็นต้นไม้แห่งชีวิตโดย อํานาจของตัวเองได้ ดังนั้นต้นไม้แห่งชีวิต พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือมนุษย์ ผู้ซึ่งบรรลุถึงอุดมคติแห่งการสร้างสรรค์จะต้องมาและเชื่อมต่อกับมนุษย์ที่ตกสู่บาป มนุษย์ผู้ซึ่งมาเป็นเสมือนต้นไม้แห่งชีวิตก็คือพระคริสต์ (วิวรณ์ 22:14) เพราะฉะนั้น อาดัมที่สมบูรณ์ซึ่งถูกแทนเป็นสัญลักษณ์โดยต้นไม้แห่งชีวิตในสวนเอเดนและพระเยซูยังทรงถูกเปรียบเสมือนต้นไม้แห่งชีวิต ในวิวรณ์ 22:14 จึงเหมือนกันในแง่ที่ว่าทั้งคู่เป็นบุคคลผู้ซึ่งได้บรรลุถึงอุดมคติแห่งการสร้างสรรค์

แล้วพระเยซูทรงเป็นมนุษย์หรือไม่ ใช่ พระองค์ทรงเป็นมนุษย์ พระองค์ทรงเป็นตัวอย่างของบุคคลผู้ซึ่งได้บรรลุถึงอุดมคติสําหรับการสร้างสรรค์ พระองค์ทรงเป็นบุคคลที่แท้จริง ทรงเป็นตัวอย่างของมนุษย์ที่ถูกสร้างขึ้นในเริ่มแรก และดังนั้นคุณค่าของพระองค์จึงไม่สามารถถูกเปรียบเทียบได้กับคุณค่าของมนุษย์ที่ตกสู่บาป

ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว บุคคลที่แท้จริงคือบุคคลผู้ซึ่งบรรลุถึงความมุ่งหมายแห่งการสร้างสรรค์ เป็นตัวตนที่เป็นแก่นสารของพระเจ้าและสมบูรณ์เช่นเดียวกับที่พระเจ้าสมบูรณ์ มีคุณค่าที่ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า บุคคลที่สมบูรณ์ยังเป็นบุคคลเฉพาะตัวที่เป็นหนึ่งเฉพาะตัวที่ไม่มีใครลอกเลียนแบบได้ ผู้ซึ่งเป็นเจ้าแห่งเอกภพและมีคุณค่าแห่งเอกภพ พระเยซูทรงเป็นมนุษย์ที่แท้จริง ดังนั้นพระองค์จึงทรงเป็นบุคคลแห่งคุณค่าดังกล่าว

หลักการไม่ได้ปฏิเสธความเชื่อดั้งเดิมของคนคริสเตียนมากมายที่ว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง เพราะว่าบุคคลที่แท้จริงที่สมบูรณ์นั้นเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อหลักการยืนยันว่าพระเยซูทรงเป็นมนุษย์ที่แท้จริง สิ่งนี้ก็ไม่ได้ลดคุณค่าของพระองค์ลงแต่อย่างใด เพราะเมื่อเราพิจารณาคุณค่าของบุคคลที่สมบูรณ์ เราพบว่ามันเทียบเท่าคุณค่าของพระเยซู โดยแท้จริงแล้ว ถ้าชายหญิงคู่แรกไม่ได้ตกสู่บาปและกลายเป็นชายหญิงแห่งคุณค่าดังกล่าว การเสด็จมาของพระเยซูก็จะเป็นสิ่งไม่จําเป็นนั่นเป็นความผิดพลาดอย่างมหันต์ในการถือว่าคุณค่าของมนุษย์ที่ตกสู่บาปสามารถเทียบเท่ากับคุณค่าของพระเยซูเพียงเพราะว่าพระเยซูทรงเป็นมนุษย์คนหนึ่ง พระองค์ทรงเป็นมนุษย์ที่แท้จริง ขอให้เราพิจารณาพื้นฐานทางพระคัมภีร์สําหรับการกล่าวเช่นนี้

ด้วยเหตุว่ามีพระเจ้าองค์เดียว และมีคนกลางแต่ผู้เดียวระหว่าง พระเจ้ากับมนุษย์คือพระเยซูคริสต์ผู้ทรงสภาพเป็นมนุษย์
(1 ทิโมธี 2:5)

เพราะว่าคนเป็นอันมากเป็นคนบาปเพราะคนคนเดียวที่มิได้เชื่อฟังฉันใด คนเป็นอันมากก็เป็นคนชอบธรรมเพราะพระองค์ผู้เดียวที่ได้ทรงเชื่อฟังฉันนั้น
(โรม 5:19)

เพราะความตายได้อุบัติขึ้นเพราะมนุษย์คนหนึ่ง (อาดัม) เป็นฉันใด การเป็นขึ้นมาจากความตายก็ได้อุบัติขึ้นเพราะมนุษย์ ผู้หนึ่ง (พระเยซู) เป็นเหตุฉันนั้น
(1โครินธ์ 15:21)

...เพราะพระองค์ได้ทรงกําหนดวันหนึ่งไว้ ในวันนั้นพระองค์จะทรงพิพากษาโลกตามความชอบธรรม โดยมนุษย์ผู้นั้นซึ่งพระองค์ได้ทรงเลือกไว้และพระเจ้าได้ทรงโปรดให้คนทั้งปวงมีความแน่ใจในเรื่องนี้ โดยทรงให้มนุษย์ผู้นั้นคืนชีวิต
(กิจการ 17:31)

ข้อความเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าพระเยซูทรงเป็นมนุษย์ พระเยซูยังทรงตรัสว่าตัวพระองค์เองเป็นบุตรมนุษย์ในหลายๆแห่งในพระคัมภีร์ (เช่น ลูกา 17:26, 18:8)

ข. พระเยซูทรงเป็นพระเจ้าหรือไม่
จนกระทั่งปัจจุบัน คนคริสเตียนมากมายมีความเชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า ผู้สร้าง ส่วนใหญ่แล้วบนพื้นฐานของข้อความต่อไปนี้จากพระคัมภีร์

เมื่อฟีลิปทูลขอให้พระเยซูทรงสำแดงพระเจ้าให้เขาเห็น พระเยซูตรัสตอบว่า "ผู้ที่ได้เห็นเราก็ได้เห็นพระบิดา ท่านจะพูดได้อย่างไรอีกว่า "ขอสําแดง พระบิดาให้ข้าพระองค์ทั้งหลายเห็น" ท่านไม่เชื่อหรือว่าเราอยู่ในพระบิดาและพระบิดาทรงอยู่ในเรา"(ยอห์น 14:9, 10) อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ไม่ได้หมายความว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า ดังที่ได้ทําให้ชัดเจนมาแล้วว่าพระเยซูเป็นการแสดงออกที่มองเห็นได้ของพระเจ้าที่มองไม่เห็น พระองค์ทรงเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าในหัวใจ อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ไม่ได้หมายความว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า ฟีลิปทูลขอให้พระเยซูสำแดงพระเจ้าให้เขาเห็น แต่บุคคลที่สมบูรณ์เท่านั้นที่สามารถมีประสบการณ์ที่บริบูรณ์กับพระเจ้าได้ แต่ฟีลิปยังไม่สมบูรณ์ ดังนั้น พระเยซูทรงไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากการสำแดงตัวพระองค์เองเท่านั้น

อีกเช่นกัน พระคัมภีร์กล่าวว่า "พระองค์ (พระเยซู) ทรงอยู่ในโลก ซึ่งพระเจ้าทรงสร้างขึ้นมาทางพระองค์แต่โลกหาได้รู้จักพระองค์ไม่" (ยอห์น 1:10) บนพื้นฐานของข้อความนี้ ชาวคริสเตียนได้เชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นพระผู้สร้าง

ศูนย์กลางของอุดมคติของพระเจ้าคือมนุษย์ และเอกภพก็ถูกออกแบบและถูกสร้างขึ้นเพื่อให้เป็นอาณาจักรที่ซึ่งบุคคลอุดมคติแต่ละคนปกครอง ดังนั้นพระเจ้าทรงตั้งบุคคลผู้ซึ่งบรรลุถึงความมุ่งหมายแห่งการสร้างสรรค์เป็นเสมือนอุดมคติสูงสุด พระเจ้าทรงสร้างสิ่งทั้งมวลจากสิ่งดํารงอยู่ที่ตํ่าที่สุดไปสู่สิ่งที่สูงที่สุด ในที่สุดพระองค์ก็ทรงสร้างอาดัมเป็นเจ้าเหนือสิ่งทั้งมวล พระเยซู ในฐานะของบุคคลผู้ซึ่งบรรลุถึงความมุ่งหมายแห่งการสร้างสรรค์จึงทรงเป็นบุคคลอุดมคติที่พระเจ้าทรงวาดภาพไว้ก่อนที่สรรพสิ่งจะถูกสร้างขึ้น ในแง่นี้ พระเยซูทรงดํารงอยู่ตั้งแต่เริ่มแรก

บางคนพยายามที่จะถือว่าพระเยซูทรงเป็นเหมือนกับพระเจ้าบนพื้นฐานของข้อความในยอห์น 8:58 ที่ซึ่งพระเยซูตรัสว่า "...เราดํารงอยู่ก่อนอับราฮัมเกิด..." แต่พระเยซูไม่ได้ทรงหมายความว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า แต่พระเยซูสามารถตรัสเช่นนี้ได้ ทั้งนี้ โดยเชื้อสายแล้ว แม้ว่าพระเยซูจะทรงเป็นลูกหลานของอับราฮัมก็ตาม แต่โดยความจริง พระองค์ทรงเป็นบรรพบุรุษของอับราฮัม เพราะว่าพระองค์เสด็จมาเพื่อให้การ กําเนิดใหม่แก่มวลมนุษยชาติจากตําแหน่งของอาดัมที่สมบูรณ์ นั่นก็คือจากตําแหน่งของพ่อแม่ที่แท้จริง บรรพบุรุษที่แท้จริงของทวลมนุษยชาติ

ถ้าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า ในโลกฝ่ายวิญญาณหลังจากการคืนพระชนม์ของพระองค์ พระองค์ก็ควรจะทรงเป็นหนึ่งและทรงเป็นเสมือนกับพระเจ้ามากกว่าที่จะทรงอยู่ในตําแหน่งที่ "ถัดไปจาก" พระเจ้า อย่างไรก็ตาม ในโลกฝ่ายวิญญาณ พระเยซูทรงถูกกล่าวว่าทรงประทับอยู่ทางด้านขวามือของพระเจ้าทูลและขอความกรุณาสําหรับเรา (โรม 8:34) พระเยซูประสูติบนโลกเป็นเสมือนบุตรมนุษย์และมีรูปร่างลักษณะภายนอกเป็นมนุษย์เหมือนกับคนอื่น ในโลกฝ่ายวิญญาณพระองค์ทรงดํารงอยู่เป็นบุคคลทางฝ่ายวิญญาณเช่นเดียวกับที่สาวกของพระองค์เป็น สิ่งที่แตกต่างก็คือว่าตัวตนฝ่ายวิญญาณของพระองค์ปราศจากบาปเริ่มแรกและเปล่งรัศมีที่เจิดจ้า

ถ้าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า แล้วพระองค์จะทรงสามารถขอความกรุณากับตัวพระองค์เองได้อย่างไร เมื่อพระองค์กล่าวคำอธิษฐาน พระองค์ทรงกระทําให้เห็นชัดเจนว่าพระองค์ทรงไม่ใช่พระเจ้าโดยการเรียกพระเจ้าว่าพระบิดา (ยอห์น 17:1) ถ้าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า พระองค์จะสามารถถูกล่อลวง (มัทธิว 4:1) และถูกทรมานและถูกผลักไสไปสู่การตรึงที่กางเขนโดยซาตานได้อย่างไร มันเป็นสิ่งที่ชัดเจนว่าพระเยซูทรงไม่ใช่พระเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพระองค์ทรงถูกตรึงอยู่ที่กางเขน พระองค์ทรงร้องตะโกนว่า "พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ไฉนทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย" (มัทธิว 27:46)

ค. พระเยซูกับมนุษย์ที่ตกสู่บาป
บุคคลที่ตกสู่บาปไม่สามารถเปรียบเทียบได้กับพระเยซู บุคคลที่ตกสู่บาปไม่ได้บรรลุถึงความมุ่งหมายแห่งการสร้างสรรค์ และอยู่ห่างไกลจากหัวใจของพระเจ้า ยิ่งไปกว่านั้นคือ เพราะว่ามนุษย์มีบาปเริ่มแรก มนุษย์จึงอยู่ในภาวะที่ตํ่าอย่างน่าสังเวชถึงขนาดว่าอิจฉาแม้กระทั่งทูตสวรรค์ผู้ซึ่งถูกสร้างขึ้นเป็นผู้รับใช้ของมนุษย์ และไม่สามารถปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากการกล่าวหาของซาตานได้ ดังนั้นมนุษย์ที่ตกสู่บาปจึงแตกต่างอย่างมากจากพระเยซูผู้ซึ่งเป็นบุคคลที่แท้จริงที่สมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม แม้ว่ามนุษย์ที่ตกสู่บาปจะไม่มีคุณค่า แต่โดยการได้รับการเกิดใหม่ทางฝ่ายวิญญาณโดยผ่านพระเยซู ผู้ทรงเป็นพ่อที่แท้จริง บุคคลที่ตกสู่บาปจะถูกแก้ไขเป็นบุตรฝ่ายวิญญาณของพระองค์และคล้ายคลึงกับพระองค์ แล้วพระองค์ก็ทรงกลายเป็นประมุขแห่งคริสตจักร (เอเฟซัส 1:22) และมนุษย์ที่ตกสู่บาปเป็นกายและเป็นอวัยวะของพระองค์ (1โครินธ์ 12:27) พระเยซูทรงเป็นพระวิหารหลักและเราเป็นวิหารสาขา พระเยซูทรงเป็นเถาองุ่นและเราเป็นแขนง (ยอห์น 15:5) ในการที่จะกลายเป็นต้นมะกอกเทศที่แท้จริง เราซึ่งเป็นกิ่งมะกอกเทศป่าจะต้องถูกเชื่อมต่อเข้ากับพระเยซู ผู้เป็นต้นมะกอกที่แท้จริง (โรม 11:17) ดังนั้นพระเยซูจึงตรัสเรียกเราว่าเป็นเพื่อนของพระองค์ และยอห์นกล่าวว่าเมื่อพระเยซูเสด็จมาปรากฏ เราจะเป็นเหมือนพระองค์ (1 ยอห์น 3:2) พระคัมภีร์ยังกล่าวอีกว่าพระคริสต์ทรงเป็น "ผลแรก" และเราเองก็จะเป็นผลอันต่อไป (1 โครินธ์ 15:23)

3. การเกิดใหม่และตรีเอกานุภาพ
ก. ความหมายของการเกิดใหม่
พระเยซูดำรัสกับนิโคเดมัส ขุนนางคนหนึ่งของพวกยิวว่า ถ้าผู้ใดไม่ได้เกิดใหม่ผู้นั้นจะเห็นแผ่นดินของพระเจ้าไม่ได้ (ยอห์น 3:3) แล้วทําไมมนุษย์จึงต้องได้รับการเกิดใหม่ ?

ถ้าอาดัมและเอวาได้บรรลุถึงอุดมคติสําหรับการสร้างสรรค์และได้กลายเป็นมนุษย์ที่แท้จริง คู่ครองที่แท้จริงและพ่อแม่ที่แท้จริง ให้กําเนิดลูกที่แท้จริง (ปราศจากบาป) อาณาจักรสวรรค์บนโลกควรจะได้ถูกทําให้กลายเป็นความจริง อย่างไรก็ตาม เพราะการตกสู่บาป ทั้งสองกลายเป็นพ่อแม่ที่จอมปลอม ลูกหลานของทั้งสองก็มีบาปเริ่มแรก และสร้างอาณาจักรนรกบนโลกขึ้น เพราะฉะนั้น บุคคลที่ตกสู่บาปไม่สามารถเห็นอาณาจักรของพระเจ้าได้จนกว่าจะได้เกิดใหม่เป็นบุตรของสวรรค์ที่ปราศจากบาปเริ่มแรก

เราไม่สามารถเกิดใหม่ได้โดยปราศจากพ่อแม่ บุคคลที่ตกสู่บาปมีความจําเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีพ่อแม่แห่งความดี ผู้ซึ่งสามารถให้การเกิดใหม่กับบุคคลเหล่านั้นให้เป็นบุตรที่ปราศจากบาปเริ่มแรก ทําให้แต่ละคนสามารถเข้าสู่อาณาจักรของพระเจ้า พระเยซูทรงเป็นพ่อที่แท้จริงผู้ซึ่งมาเพื่อให้การเกิดใหม่กับเราเป็นเสมือนบุตรแห่งความดี เพราะฉะนั้น 1 เปโตร 1:3 กล่าวว่า "สาธุการแด่พระเจ้าพระบิดาแห่งพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ผู้ได้ทรงพระกรุณาแก่เรา ทรงโปรดให้เราเกิดใหม่เข้าสู่ความหวังใจอันมีชีวิตอยู่โดยการคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์" แสดงให้เห็นว่าพระเยซูทรงเป็นแหล่งแห่งการเกิดใหม่ พระองค์ยังทรงถูกเรียกว่าเป็น "อาดัม ผู้ซึ่งมาภายหลัง" (1 โครินธ์ 15:45) และ "พระบิดานิรันดร์" (อิสยาห์ 9:6) เพราะว่าพระองค์ต้องทรงเป็นพ่อที่แท้จริงซึ่งอาดัมล้มเหลวที่จะเป็น

อย่างไรก็ตาม การให้การเกิดใหม่กับบุคคลที่ตกสู่บาปเป็นเสมือนบุตรแห่งความดีจะต้องไม่ใช่มีเพียงพ่อที่แท้จริงเท่านั้น แต่ต้องมีแม่ที่แท้จริงด้วย พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ทรงทํางานเป็นเสมือนแม่ที่แท้จริงร่วมกับพระเยซูที่คืนพระชนม์ขึ้นมา นี่เป็นเหตุผลว่าทําไมพระเยซูจึงตรัสกับนิโคเดมัสว่าเขาจะต้องเกิดใหม่อีกครั้งจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ (ยอห์น 3:3-5) เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมาเป็นแม่ที่แท้จริง หรือเอวาที่สอง ดังนั้นจึงมีคนมากมายที่ได้รับการเปิดเผยความจริงที่ชี้ให้เห็นว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นพระวิญญาณผู้หญิง พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทํางานเพื่อปลอบประโลมใจและให้แรงดลใจแก่ประชาชน (1 โครินธ์ 12:3-10) พระเยซูทรงทํางานอยู่ในโลกฝ่ายวิญญาณ ในขณะที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทํางานอยู่บนโลกเพื่อชําระบาปของมนุษยชาติ เมื่อเราเชื่อในพระเยซู เราเข้าสู่ความรักที่ถูกสร้างขึ้นโดยความสัมพันธ์ร่วมซึ่งกันและกันระหว่างพระเยซูที่คืนพระชนม์และพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ซึ่งเป็นพ่อที่แท้จริงทางฝ่ายวิญญาณและแม่ที่แท้จริงทางฝ่ายวิญญาณตามลําดับ การที่ได้เกิดใหม่อีกครั้งหนึ่งโดยการเชื่อในพระเยซูและรับพระวิญญาณบริสุทธิ์หมายความว่าวิญญาณของบุคคลได้ถูกเปลี่ยนใหม่ และบุคคลนั้นได้รับชีวิตที่แท้จริงโดยผ่านความรักของพ่อแม่ที่แท้จริงทางฝ่ายวิญญาณ นี่คือการเกิดใหม่ทางฝ่ายวิญญาณ อย่างไรก็ตาม เพราะว่ามนุษย์ตกสู่บาปทั้งทางฝ่ายวิญญาณและฝ่ายเนื้อหนัง ดังนั้นแต่ละบุคคลจึงต้องได้รับการเกิดใหม่ทั้งทางฝ่ายเนื้อหนังและฝ่ายวิญญาณ นี่คือเหตุผลสําหรับการเสด็จมาครั้งที่สอง

ข. ความหมายของตรีเอกานุภาพ
จนกระทั่งปัจจุบัน ตามความคิดทางเทววิทยาของชาวคริสเตียน ชาวคริสเตียนเข้าใจว่าพระเจ้าผู้ซึ่งทรงทํางานสําหรับการช่วยให้รอดของมนุษย์เป็นพระเจ้าที่มีสามภาคที่รวมเป็นหนึ่ง และเชื่อว่าเมื่อพระองค์ทรงเปิดเผยตัวพระองค์เอง พระองค์ทรงปรากฏเป็นหนึ่งในสามบุคคล คือพระบิดา พระบุตรหรือพระวิญญาณบริสุทธิ์ เมื่อพระองค์ทรงเปิดเผยตัวพระองค์เป็นผู้สร้าง พระองค์ทรงอยู่ในรูปของพระบิดาบนสวรรค์ เมื่อพระองค์ทรงเปิดเผยตัวพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระองค์ทรงอยู่ในรูปของพระบุตร และเมื่อพระองค์ทรงเปิดเผยตัวพระองค์เป็นผู้สร้างสันติภาพพระองค์ทรงอยู่ในรูปของพระวิญญาณบริสุทธิ์

ทฤษฎีเกี่ยวกับตรีเอกานุภาพเป็นเหตุแห่งการถกเถียงอย่างมากมายตลอดประวัติศาสตร์ ขอให้เรามองดูสิ่งนี้จากจุดยืนของหลักการ ถ้าการตกสู่บาปของมนุษย์ไม่ได้เกิดขึ้น พระเจ้าก็ทรงไม่จําเป็นต้องมีพระเยซูและพระวิญญาณบริสุทธิ์เพื่อที่จะทํางานสําหรับการช่วยให้รอดของมนุษย์ ถ้าอาดัมและเอวาได้ทําให้ตัวของเขาเองสมบูรณ์เป็นบุตรชายและบุตรสาวของพระเจ้า กลายเป็นตัวตนแห่งธรรมชาติที่ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า เขาก็จะ "...เป็นคนดีรอบคอบอย่างพระบิดา (ของท่าน) ผู้ทรงสถิตในสวรรค์เป็นผู้ดีรอบคอบ" (มัทธิว 5:48) และเขาก็จะได้บรรลุถึงอุดมคติของการรวมกับพระเจ้า (ยอห์น 14:20) แล้วอาดัมและเอวาก็กลายเป็นบุตรชายและบุตรสาวที่ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า ทั้งสองก็จะกลายเป็นสามีภรรยาที่แท้จริงที่มีศูนย์กลางที่พระเจ้า ถ้าอาดัมและเอวาได้กลายเป็นหนึ่งเสมือนพ่อแม่ที่แท้จริงซึ่งมีศูนย์กลางที่พระเจ้าร่วมกับพระเจ้า ทั้งสองจะเป็นตรีเอกานุภาพเริ่มแรก ตรีเอกานุภาพที่มีศูนย์กลางที่หัวใจและอุดมคติของพระเจ้า

สิ่งนี้เป็นเงื่อนไขพื้นฐานสําหรับการบรรลุถึงพรสามประการและฐานสี่ตําแหน่งซึ่งบรรลุถึงความมุ่งหมายของพระเจ้าสําหรับการสร้างสรรค์ อย่างไรก็ตาม เพราะการตกสู่บาปอาดัมและเอวากลายเป็นพ่อแม่ที่จอมปลอมของมนุษย์และล้มเหลวในการบรรลุถึงความมุ่งหมายแห่งการสร้างสรรค์ และได้สร้างตรีเอกานุภาพที่มีศูนย์กลางที่ซาตาน เพราะฉะนั้น เพื่อที่จะบรรลุถึงความมุ่งหมายแห่งการสร้างสรรค์ พระเจ้าทรงประทานพระเยซูและพระวิญญาณบริสุทธิ์แทนที่ตําแหน่งของอาดัมและเอวา ในฐานะของอาดัมที่สองและเอวาที่สองและเป็นพ่อแม่ที่แท้จริง อย่างไรก็ตาม โดยการสร้างตรีเอกานุภาพฝ่ายวิญญาณที่มีศูนย์กลางที่พระเจ้า พระเยซูและพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงบรรลุถึงเพียงแต่ภารกิจของพ่อแม่ที่แท้จริงทางฝ่ายวิญญาณ ดังนั้นพระผู้มาโปรดแห่งการเสด็จมาครั้งที่สองจึงเสด็จมาเพื่อเป็นพ่อที่แท้จริงผู้ซึ่งจะต้องทรงสร้างตรีเอกานุภาพทั้งฝ่ายวิญญาณและฝ่ายเนื้อหนังขึ้น

ไม่มีความคิดเห็น: