Custom Search By Google

Custom Search

วันพุธที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2551

เชื่อและปฏิบัติตามถ้อยคำของพระเจ้าแล้วเราจะปลอดภัย


9 กค.2007
วราพร คงล้วน

ให้พี่น้องเปิดไปที่พระธรรมสุภาษิต บทที่ 4 วันนี้เราจะมาเรียนถ้อยคำของพระเจ้าว่าพระองค์ทรงสั่งสอนเราอย่างไร เพื่อเราจะดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง อยู่จำเพาะพระพักตร์ของพระองค์ ให้เราเปิดในสุภาษิต 4:1-4


สุภาษิต 4:1-4

“บุตรชายของเราเอ๋ย จงฟังคำสั่งสอนของพ่อเจ้า อย่างตั้งใจเพื่อเจ้าจะได้รับความรอบรู้ เพราะเราให้ภาษิตดีแก่เจ้า อย่าทอดทิ้งคำสอนของเรา เมื่อเราเป็นลูกอยู่กับพ่อของเรา เป็นแก้วตาของแม่เรา ดูน่ารักอ่อนโยน บิดาสอนเรา และพูดกับเราว่า "ให้ใจของเจ้ายึดคำสอนของเราไว้ให้มั่น จงรักษาบัญญัติของเรา และมีชีวิตอยู่”




เราต้องรู้ว่าทุกอย่างที่เรากระทำออกไป มันจะส่งผลกลับมาที่ชีวิตของเราเสมอ ไม่ว่าดีหรือร้าย

ในพระธรรมสุภาษิตได้สอนสัจจะธรรมของชีวิต การดำเนินชีวิตของเราในแต่ละวัน สอนว่าอะไรคือสิ่งที่ดี อะไรคือสิ่งที่ไม่ดี ถ้าเราทำอะไร แล้วเราจะได้รับพระพร ถ้าเราทำอะไร เราจะได้รับคำสาปแช่ง หรือได้รับผลเสีย จากผลของการกระทำของเรา เราต้องรู้ว่าทุกอย่างที่เรากระทำออกไป มันจะส่งผลกลับมาที่ชีวิตของเราเสมอ ไม่ว่าดีหรือร้าย ไม่ได้หมายความว่าเราเป็นคริสเตียน พระเจ้ายอมตายแทนเราบนไม้กางเขน ยกโทษความผิดบาปแล้ว ตอนนี้ไม่ว่าเราจะทำดีหรือทำร้าย เราจะได้ดีหมดเลย ไม่จริงนะคะ ถ้าใครสอนท่านว่า “ทำอะไรก็ได้ ทำดีทำร้าย ได้ดีหมด เพราะพระเจ้าตายแทนท่านบนไม้กางเขนแล้ว” พี่น้องเลิกเชื่อ เลิกฟังคนนั้นเลย เอเมนไหมคะ


ถ้อยคำของพระเจ้าบอกเราจริงๆ ว่ามันมีผลตอบสนองในชีวิตของเราทุกการกระทำ ทุกคำพูด ทุกความคิดที่ออกไป มันจะส่งผลกลับมา ถ้าเราทำสิ่งที่ดี สิ่งที่พระเจ้าทรงสอน ทรงบอก เราก็จะได้รับพรดี ซึ่งมาจากพระเจ้า


ในสุภาษิตตรงนี้บอกว่า “อย่าทอดทิ้งคำสอนของเรา” “เรา” ในที่นี้เล็งถึงพระเจ้า ถ้าในพระคัมภีร์บอกถึง “พระปัญญา” “ปัญญา” “พระวาทะ” “คำสั่งสอน” ทั้งหมดนี้เล็งถึงพระเจ้า ทุกอย่างที่ถูกเน้นและระบุในถ้อยคำของพระเจ้า คือตัวพระองค์เอง คิดง่ายๆ เรามองพระเจ้าไม่เห็น แต่เราเชื่อว่าใครก็ตามที่พระองค์ทรงเลือกสรรไว้ พระเจ้าจะทำงานในใจ เรารู้อยู่ข้างในว่าพระเจ้าคุยกับเรา แล้วถ้อยคำของพระเจ้า เรารู้ว่าไม่ใช่ใครนึกอยากจะเขียนอะไร ก็เขียนได้โดยสติปัญญาของมนุษย์


เมื่อเราได้ยิน ได้ฟัง ส่ำสมสิ่งเหล่านี้เอาไว้ ถ้อยคำจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิตของเรา

ในถ้อยคำ คือสิ่งที่พระเจ้าได้สื่อให้พวกเรารับรู้ว่า พระองค์ต้องการอะไร เพื่อผลประโยชน์ของเราเอง โดยผ่านทางผู้เชื่อในอดีตมากมายที่เขียนออกมา ผ่านการกลั่นกรองของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และพระคัมภีร์จะเป็นหนังสือเล่มเดียวที่ไม่เหมือนหนังสืออื่น หนังสืออื่นเราอ่านแล้ว เราได้ความรู้จริง แล้วก็ผ่านไป แต่ถ้อยคำของพระเจ้า ได้ความรู้และเป็นฤทธิ์เดช เป็นอำนาจของพระเจ้า เป็นอะไรอีกมากมายที่เมื่อเราอ่าน เมื่อเราได้ยิน ได้ฟัง ส่ำสมสิ่งเหล่านี้เอาไว้ ถ้อยคำจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิตของเรา โดยที่เราก็ไม่รู้ว่าทำไม แต่เปลี่ยนจริงๆ เรามีสันติสุขในพระเจ้า เมื่อเราเชื่อฟังถ้อยคำของพระองค์


คือพระเจ้าได้มาตายแทนเราบนไม้กางเขน นั่นคือความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

ในสุภาษิต 4:2 บอกว่า “อย่าทิ้ง” “อย่าเพิกเฉยกับสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงสอนเรา” ในข้อ 3 บอกว่า “ในเมื่อเราเป็นลูก อยู่กับพ่อของเรา เป็นแก้วตาของแม่เรา” เปรียบลักษณะที่เราเป็นแก้วตาดวงใจของพ่อแม่ฉันใด เราก็เป็นแก้วตาดวงใจของพระเจ้ายิ่งกว่า ในสมัยก่อนจะชอบถามเด็กว่า “รักแม่แค่ไหน” เขาก็บอกว่า “รักเท่าฟ้า” ฟ้ากว้างแค่ไหน กว้างแค่มือเด็กนั่นแหละ ถ้ามือเขายาวแค่ไหน ก็กว้างเท่านั้น ใช่ไหมคะ มนุษย์สามารถที่จะรักมนุษย์ด้วยกัน กว้างเท่าที่ขอบเขตที่เราสามารถที่จะรักได้ แต่พระเจ้ารักเราได้ไม่มีขอบเขต แล้วสิ่งที่สำแดงความรักของพระเจ้า คือพระเจ้าได้มาตายแทนเราบนไม้กางเขน นั่นคือความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ฉะนั้นพระเจ้าเห็นเราเป็นแก้วตาดวงใจของพระองค์ แล้วพระเจ้าก็อยากจะให้เราได้ดี ที่พร่ำสอน ไม่ได้ให้เรารู้สึก สอนอยู่นั่นแหละ สอนซ้ำสอนซาก เพื่อให้เรารำคาญ ดูแล้วมันสนุกดี นึกออกไหม ผู้ใหญ่บางคนโรคจิต แกล้งเด็ก แล้วเด็กกระฟัดกระเฟียด มีความสุข แกล้งต่อ อย่าทำอย่างนั้นเด็ดขาด พระเจ้าเราไม่ทำอย่างนั้นกับเราเด็ดขาด พระเจ้าสอน เพื่อเป็นผลประโยชน์สำหรับชีวิตของเรา เพื่อเราจะได้ดี


ในข้อที่ 4 “บิดาสอนเรา และพูดกับเราว่า “ให้ใจของเจ้ายึดคำสอนของเราไว้ให้มั่น จงรักษาบัญญัติของเรา และมีชีวิตอยู่”


มีใครเคยอธิษฐานกับพระเจ้าไหมว่าเราอยากจะรักพระองค์ อย่างที่มันควรจะเป็น

ยึดคำสอนของพระเจ้าไว้ในจิตใจของเรา ถ้าเราไม่อ่านถ้อยคำของพระองค์ เราจะยึดได้ไหม วันๆ พระคัมภีร์ไม่เคยอ่าน แต่อยากจะคว้าคำสอนของพระเจ้า มันเป็นไปไม่ได้ ทุกอย่างจะได้มา ต้องออกแรง พระเจ้าบอกว่า “ยึดมั่นคำสอนของเรา” คือเราจะต้องมีการอ่าน การภาวนา เราจะได้รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด แล้วเราก็ยึดมั่นเอาไว้ ตั้งเป้าเลยว่าอะไรที่พระเจ้าบอกให้เราทำ เราจะทำ การตั้งเป้าอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าเราจะทำ แล้วเราทำได้นะคะ อย่าเข้าใจผิด เราต้องยึดมั่นก่อน แล้วอธิษฐานกับพระเจ้า “พระเจ้าลูกอยากทำตรงนี้จริงๆ ลูกอยากจะรักพระองค์” มีใครเคยอธิษฐานกับพระเจ้าไหมว่าเราอยากจะรักพระองค์ อย่างที่มันควรจะเป็น เคยไหมคะ ต้องอธิษฐานแบบนั้น เพราะเราไม่สามารถรักอย่างที่พระเจ้าพอใจได้ ในความเป็นมนุษย์ ความรักของเราก็เห็นแก่ตัว เรารักพระเจ้า เพราะพระเจ้าให้ของเรา เรารักพระเจ้า เพราะเราอธิษฐานทีไร พระเจ้าตอบคำอธิษฐานทุกที เราก็รัก แต่ว่ารักอย่างที่ควรจะเป็น อย่างเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า คือต่อให้เราอธิษฐาน แล้วเราไม่ได้ เรายังรักอยู่ ไม่มีลูกคนไหน แบบวันนี้ถูกลงวินัย ไม่ให้ค่าขนม เราก็ตัดขาดการเป็นพ่อเป็นแม่ ไม่รักแล้ว


ธรรมชาติสอนเรา ในขณะเดียวกันพระเจ้าต้องการให้สิ่งดีกับเรา เราเรียนรู้ที่จะอธิษฐานถูกหลัก ชีวิตของเราก็จะมีความสุข

อธิษฐานให้เราสามารถรักพระเจ้า สามารถที่จะเชื่อฟังพระองค์ พอเรารักพระเจ้าเป็น เราก็รักตัวเองเป็น รักตัวเองเป็น เราก็รักคนอื่นเป็น พอรักคนอื่นเป็น เราก็เริ่มที่จะทำอะไรที่ดีๆ จริงไหมคะ มันจะมีผลที่ต่อเนื่องกันตลอด พี่น้องจะไปคว้าผลปลายทางโดยที่ไม่ทำอะไรที่ต้นทาง เป็นไปไม่ได้ ถ้าไม่มีก้าวแรก จะไม่มีก้าวที่ 2 ก้าวที่ 3 จะไม่มีความสำเร็จรออยู่ข้างหน้า ที่เรากระโดดข้ามได้ มันเป็นไปไม่ได้ แต่ส่วนใหญ่คริสเตียนชอบวิธีนี้ พออธิษฐานปุ๊บ ลอยไปเลย ถึงที่ เป็นไปไม่ได้ พระเจ้าก็ให้เราทำส่วนของเรา คือทุกอย่างต้องออกแรง การรักใครสักคนหนึ่ง ต้องออกแรงรัก เพราะว่าไม่มีใครน่ารักสักคน แม้แต่ศิษยาภิบาลที่นี่ ก็ไม่มีใครน่ารัก บางทีก็น่าเกลียดน่าชัง แต่ว่าที่เราสามารถรักและเคารพได้ เพราะว่าเป็นความรักชนิดแบบเป็นของพระเจ้า ที่ทำให้เรารักคนอื่น รักศิษยาภิบาล รักพี่น้องในคริสตจักร ถึงแม้บางครั้ง บางเรื่องที่เขาทำอาจจะไม่ถูกใจเรา แต่เรายังสามารถรักเขาได้อยู่ นี่คือความรักแบบเป็นของพระเจ้า


ขอความรักชนิดนี้จากพระเจ้า และรักษาบัญญัติของพระองค์ เพื่อให้เรามีชีวิตอยู่ ในพระคัมภีร์บอก “มีชีวิตอยู่” ไม่ได้อยู่แบบซังกะตาย หรืออยู่แบบอะไรก็ได้ ช่างมัน ไม่ใช่นะคะ มีชีวิตอยู่ที่ดีตามน้ำพระทัยของพระเจ้า


สุภาษิต 4:5-6

“อย่าลืมและอย่าหันกลับจากถ้อยคำแห่งปากของเรา จงเอาปัญญา และเอาความรอบรู้ อย่าทอดทิ้งเธอ และเธอจะรักษาเจ้าไว้ จงรักปัญญา และปัญญาจะระแวดระวังเจ้า




อย่าหันไป คืออย่าทิ้งถ้อยคำพระเจ้า ชีวิตคริสเตียนกับถ้อยคำพระเจ้า ต้องอยู่ด้วยกัน ขาดกันไม่ได้

มีสมาชิกหลายคน เดี๋ยวนี้ขอบคุณพระเจ้า ไม่ค่อยมีใครถาม สมัยก่อนพอเชื่อใหม่มาสักพัก ก็มาถาม “เราต้องอ่านพระคัมภีร์นานแค่ไหน” “อ่านจบหนึ่ง แล้วจบเลยได้ไหม เพราะว่าเรารู้เรื่องหมดแล้ว” ดิฉันก็จะตอบเขาว่า “ไม่ได้ ต้องอ่านจนกว่าตายจากกันนั่นแหละ” เหมือนเรากินข้าว กินแค่วันนี้พอไหม พรุ่งนี้ไม่ต้องกิน พอแล้วนะ เพราะว่าวันนี้เรากินไปแล้ว แล้วก็มีชีวิตอยู่จนถึงวินาทีสุดท้าย มันเป็นไปไม่ได้ ถ้าเราต้องกินข้าวทุกวันฉันใด เราต้องอ่านพระคัมภีร์ทุกวันฉันนั้น เพราะว่าจะเสริมสร้างจิตวิญญาณของเรา แล้วในพระคัมภีร์ตรงนี้บอกว่า “เอาปัญญา” ปัญญาตรงนี้คือพระเจ้า เกาะพระเจ้าไว้ แล้วก็เอาความรอบรู้ ความรอบรู้ของโลกนี้ มันไม่มีประโยชน์สำหรับชีวิตของเรา แต่ความรอบรู้ในพระเจ้า มันจะสร้างเสริมพลังให้กับชีวิตของเรา ให้เราสามารถดำเนินชีวิตตามน้ำพระทัยของพระเจ้าได้


ในข้อที่ 6 บอกว่า “อย่าทอดทิ้งเธอ” คำว่า “เธอ” คือสติปัญญาของพระเจ้า คือตัวพระองค์เอง

เพื่อว่าพระเจ้าจะได้รักษาเราไว้ ถ้าเราไม่ทิ้งพระเจ้า เกาะขาพระเจ้าไว้ “ไม่ว่าดีชั่วอย่างไร พระเจ้าลูกขอติดพระองค์ไว้” เราก็จะไปได้สวย สวยในความหมายของพระเจ้า แต่ไม่ได้สวยในความหมายของเรา บางทีสวยในความหมายที่เราคิด คือทุกอย่างดีหมด มันไม่ใช่ สวยในทางของพระเจ้า คือถึงแม้ไม่ดีเลิศ แต่เรายังสามารถที่จะดำเนินชีวิตที่ดีงามจำเพาะพระเจ้าได้อยู่


ในข้อที่ 6 ส่วนท้าย “จงรักปัญญา แล้วปัญญาจะระแวดระวังเจ้า” รักปัญญา รักพระเจ้า แล้วพระเจ้าจะทรงระแวดระวังเรา


สุภาษิต 4:7

“ที่เริ่มต้นของปัญญาเป็นอย่างนี้คือจงเอาปัญญา แม้เจ้าจะได้อะไรก็ตาม จงเอาความรอบรู้ไว้”


ฟังแล้วมันยาก แต่ว่าเมื่อเรามาเชื่อพระเจ้า พระเจ้าก็ประทานความรอดให้ และพระเจ้าประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ เข้ามาอยู่ในเรา เป็นครู เป็นที่ปรึกษาที่ดีให้กับเรา เป็นผู้ที่จะสั่งสอนเราว่าอะไรควร อะไรไม่ควร อะไรถูกอะไรผิด เพื่อเราจะได้สามารถแยกแยะผิดชอบชั่วดีได้


และที่เริ่มต้นที่จะรู้จักกับพระเจ้า ก็คือคว้าพระเจ้าไว้

พี่น้องเคยคว้าขาใครไหม กลัวเขาหนีไป ก็กระโดดคว้าเลย เป็นภาพเดียวกัน เราหิวกระหาย แสวงหา อยากรู้จักพระเจ้า อยากจะเรียนรู้ว่าพระเจ้าเป็นอย่างไร พระเจ้าต้องการให้เราทำอะไร พี่น้องเคยหิ้วพระคัมภีร์วิ่งตามไปเรียนรวีตอนเช้าไหม รวีเรายังมีสอนอยู่ แต่ก็ไม่ค่อยจะมีคนมาเรียน ถ้าเรามีนิสัยที่ไขว่คว้าทุกโอกาสที่เราจะได้เรียนรู้ อย่างวันอาทิตย์เทศนา บางทีสงสารพี่น้องเหมือนกัน ต้องมาฟังใครก็ไม่รู้คุยอยู่นั่นแหละครึ่งชั่วโมง หนึ่งชั่วโมง สงสารพี่น้องก็จริง แต่ก็สงสารมากกว่า ถ้าพี่น้องไม่นั่งฟัง ถ้าไม่นั่งฟัง เราก็ไม่ได้ถ้อยคำพระเจ้าใช่ไหม เพราะมันเป็นสิ่งดีสำหรับพี่น้องเอง แล้วก็อย่ารู้สึกรำคาญ ทุกครั้งที่ดิฉันขึ้นมาก็จะคุยเรื่องนี้ อย่าหนีออกไปข้างนอก ไปนั่งคุย ให้เข้ามาฟังถ้อยคำของพระเจ้า ฤทธิ์เดชอำนาจของถ้อยคำพระเจ้า จะเข้าไปทำงานในชีวิตของพวกเรา เอเมน


สุภาษิต 4:8

“จงตีราคาปัญญาให้สูง และปัญญาจะยกย่องเจ้า ถ้าเจ้ากอดปัญญาไว้ ปัญญาจะให้เกียรติเจ้า”




ตีราคาค่างวดของความรอด หรือของพระเจ้า พระบิดาให้สูงเข้าไว้ เวลาเราเห็นคุณค่าของอะไรสักอย่างหนึ่ง เรารู้สึกอยากจะได้ไว้

ถ้าอะไรก็ตามที่เราไม่เห็นคุณค่า เราก็จะปล่อยทิ้ง ปล่อยขว้าง บางทีอยู่ข้างถนนเราก็จะไม่สนใจ แต่ถ้าเราเห็นว่าพระเจ้ามีค่าจริงๆ เราจะรู้จักทะนุถนอมพระองค์เอาไว้ ไขว่คว้าพระองค์เอาไว้ เพื่อจะได้กอดพระเจ้าไว้ ตีค่าให้สูงสุดเลย ส่วนใหญ่ คริสเตียนจะไม่ค่อยตีค่าพระเจ้าสูงเท่าไหร่ เราจะไม่ค่อยเห็นคุณค่าของความรักของพระเจ้า ไม่เห็นคุณค่าของความรอดที่พระเจ้าประทานให้กับเรา เพราะเรามีความรู้สึกว่าเราได้รับความรอดแล้ว ในพระคัมภีร์สอนเราว่าตายแล้วได้ขึ้นสวรรค์ แล้วก็ไม่ต้องคิดอะไรเยอะ เราก็อยู่ไปวันๆ โบสถ์ก็มาบ้าง ไม่มาบ้าง ไม่เห็นเป็นไร พระเจ้าก็ไม่ได้ว่าหรอก แต่พวกเราเคยนึกถึงหัวอกของพระเจ้าบ้างไหม


ถ้าใครที่สำคัญสำหรับเรา เราจะจัดเวลาให้

ถ้าเราในฐานะหัวหน้าครอบครัว ปกติทุกครอบครัวจะมีวันนัดพบ สำหรับครอบครัว แล้วเราคอยลูกอยู่ วันนี้เป็นวันนัดพบของครอบครัวใหญ่ คือพระเจ้าคอยเราอยู่ แล้วเราทุกคนก็ธุรกิจยุ่งเหยิงมากเลย คนโน้นไปโน่น คนนี้มานี่ เสร็จพระเจ้าก็มอง ลูกมากันโหลงเหลงอะไรอย่างนี้ นี่เป็นความรู้สึกเหมือนเราไม่ได้เห็นค่าของการเข้ามาหาพระเจ้า ถ้าเราเห็นคุณค่า ถ้าใครที่สำคัญสำหรับเรา เราจะจัดเวลาให้เลย ไม่มีคำว่า “ไม่มีเวลา” หรือติดธุระ จริงไม่จริง ยิ่งสาวๆ ถ้านัดแฟน ไม่มีคำว่า “ติดธุระ” เป็นตายร้ายดี ก็จะต้องจัดเวลาให้


ในพระคัมภีร์บอกว่าให้เรามีความรู้สึกแบบนี้ เราอยากพบพระเจ้าทุกวินาที ความรู้สึกแบบนี้ ทำให้เราสามารถที่จะยืนหยัด สามารถที่จะมีกำลังในการทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า เพราะการมาคริสตจักร คือน้ำพระทัยพระเจ้า หนังสือฮีบรูบอกว่า…

“อย่าขาดการประชุม เหมือนอย่างบางคนที่ขาดอยู่ แต่ให้หนุนใจซึ่งกันและกันให้มากยิ่งขึ้น เพราะเรารู้ว่าวันนั้นใกล้เข้ามาแล้ว”




จงแสวงหาพระเจ้า ในขณะที่เรายังสามารถหาพระเจ้าได้อยู่

อย่ารอถึงเวลาที่เราไม่มีโบสถ์ให้เข้า ใช้เวลาที่มีให้คุ้มกับสิ่งที่พระเจ้าได้ประทานให้กับเรา เพื่อเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า


“ถ้าเจ้าให้เกียรติปัญญา ปัญญาจะให้เกียรติเจ้า” ให้เกียรติพระเจ้าไว้ พระเจ้าจะให้เกียรติเรา


สุภาษิต 4:9 “เธอจะเอามงคลงามสวมศีรษะเจ้า จะให้มงกุฎงามแก่เจ้า"


ถ้าเราให้ความรัก ความยำเกรงพระเจ้า พระเจ้าจะให้สิ่งที่ดีกับเรา


สุภาษิต 4:10 “บุตรชายของเราเอ๋ย จงฟังและรับถ้อยคำของเรา เพื่อปีเดือนแห่งชีวิตของเจ้าจะมากหลาย”


ปีเดือนแห่งชีวิตมากหลาย คือมีชีวิตยืนยาว ด้วยความอิ่มใจ ไม่ใช่มีแต่เจ็บช้ำน้ำใจ ขมขื่น วันๆ หน้านิ่วคิ้วขมวด


สุภาษิต 4:11-13

“เราได้สอนเจ้าในเรื่องทางปัญญาแล้ว เราได้นำเจ้าในวิถีของความเที่ยงธรรม เมื่อเจ้าเดิน ย่างเท้าของเจ้าจะไม่ถูกขัดขวาง และถ้าเจ้าวิ่ง เจ้าจะไม่สะดุด จงยึดวินัยไว้ และอย่าปล่อยไป จงระแวดระวังเธอไว้ เพราะเธอเป็นชีวิตของเจ้า”




ดิฉันใช้คำว่า “จดหมายรักของพระเจ้า”

พระเจ้าจะสอนเราถึงวิถีทางในการดำเนินชีวิตในแต่ละวัน เราจะไม่สามารถรู้ได้ ถ้าเราไม่อ่านจดหมายรัก ดิฉันใช้คำว่า “จดหมายรักของพระเจ้า” คือถ้อยคำ ถ้าเราเพียรอ่าน ไม่ต้องเยอะ วันละนิดวันละหน่อย ซึมซับเอาความรู้ของพระเจ้าเข้าไป แล้วเราจะรู้วิธีการของพระเจ้า แนวทางของพระเจ้า เวลาเกิดอะไรขึ้น เราจะได้ไม่สงสัยในความรักของพระเจ้า ในพระคัมภีร์บอกว่า “เมื่อเจ้าเดิน เท้าของเจ้าจะไม่ถูกขัดขวาง” คือเราสามารถเดินไปในทางของพระเจ้าได้อย่างราบรื่น และ “เมื่อเจ้าวิ่ง เจ้าจะไม่สะดุด” เวลาวิ่ง บางทีหัวทิ่ม แต่ถ้าเราอยู่ในทางของพระเจ้า เราจะรู้ว่าเราจะวิ่งสปีดแค่ไหน เพื่อว่าเราจะได้ไม่สะดุด หกล้ม แล้วให้เราระแวดระวังสิ่งที่พระเจ้าสอนเราไว้ เพราะว่าพระเจ้าเป็นชีวิตของเรา เป็นผู้ที่สร้างเสริมภายในใจของเรา ทำให้เราแข็งแกร่งขึ้น


สุภาษิต 4:14 “อย่าเข้าไปในวิถีของคนชั่วร้าย และอย่าเดินในทางของคนอธรรม”


พระเจ้าบอกอย่าเด็ดขาด วิถีของคนชั่ว อะไรที่พระคัมภีร์บอกว่า “ไม่ดี” ไม่ต้องเดินเข้าไป เฉียดร่างก็ไม่ต้อง หางตาก็ไม่ต้องไปมอง


เราจะต้องเปลี่ยนแปลงใหม่ โดยอัตโนมัติ

“คนอธรรม” คือคนที่ไม่มีพระเจ้า หรือแม้แต่คนที่เชื่อพระเจ้า แต่ดำเนินชีวิตแบบเหมือนไม่มีพระเจ้า เป็นคนชั่วร้าย พระคัมภีร์บันทึกว่าคนอย่างนั้น ต้องถูกตัดขาดจากพระเจ้าแน่นอน ถ้ายังดำเนินชีวิตแบบนั้นอยู่ เพราะจริงๆ แล้วถ้าเราอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราจะต้องเปลี่ยนแปลงใหม่ โดยอัตโนมัติ พี่น้องเปลี่ยนตัวเองไม่ได้ แต่ถ้าถ้อยคำของพระองค์ฝังอยู่ข้างในวิญญาณของเรา ฤทธิ์เดชของพระเจ้าจะค่อยๆ เปลี่ยนเรา ความคิดเราจะเปลี่ยน ท่าทีเราจะเปลี่ยน คำพูดเราจะเปลี่ยน การกระทำเราจะเปลี่ยน เปลี่ยนดีขึ้นนะคะ ไม่ใช่เปลี่ยนแย่ลง เขาบอกว่าการทำดีเป็นธรรมชาติของพระเจ้า ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับคริสเตียน ไม่ใช่ทำดี ยืดใหญ่เลย “ฉันทำดี ชมฉันหน่อย” ถ้าคริสเตียนทำไม่ดี นั่นแหละผิดปกติ เป็นคริสเตียนที่ประหลาด เมื่อเราอยู่ในพระเจ้า มันจะมีผลดีขึ้นมา เราไม่ต้องไปวินิจฉัยใคร สำรวจตัวเองว่าถ้าเรามาเชื่อพระเจ้า หนึ่งปีก็แล้ว สองปีก็แล้ว สามปีก็แล้ว นิสัยไม่เปลี่ยนเลย เลวอย่างไร เลวอย่างนั้น เลวยิ่งกว่าเดิมอีก รีบไปคุกเข่าต่อหน้าพระเจ้า อธิษฐานวิงวอนขอพระเจ้าเมตตา มีอะไรผิดปกติในตัวลูกหรือเปล่า หรือเราอาจจะแกล้งเชื่อพระเจ้าหรือเปล่า ก็คือพระเจ้าไม่ได้อยู่ในเรา



“พระเยซูเราก็รู้จัก เปาโลเราก็รู้จัก แต่เจ้าเป็นใคร”

ในหนังสือกิจการ มีคนหนึ่งเขาเห็นเปาโลไล่ผี “ในนามพระเยซูไสหัวออกไป” ผีก็กระโดดออกไปเลย เพราะผีรู้ว่าอาจารย์เปาโลมีพระเจ้าอยู่ข้างใน ชายคนนั้นทำตามบ้าง “อาจารย์เปาโลไล่ผีได้ เราน่าจะไล่ได้” “ในนามพระเยซูออกไป” ผีว่าอย่างไร “พระเยซูเราก็รู้จัก เปาโลเราก็รู้จัก แต่เจ้าเป็นใคร” ใครก็ไม่รู้ มาใช้นามพระเจ้าเฉยๆ ผีรู้นะคะ รู้ว่าคนนี้ไม่ใช่เป็นของพระองค์ พระเจ้าก็รู้ว่าไม่ใช่เป็นของพระองค์ คนรอบข้าง คนที่มีพระวิญญาณของพระเจ้า มองแล้วก็รู้อยู่แก่ใจว่าเราไม่ใช่ แต่ถ้าพระเจ้าเลือกสรรเราไว้จริงๆ เราก็ต้องแก้ไข เราไม่เพิกเฉย ไม่มีคริสเตียนคนไหน ที่ดำเนินชีวิตแบบจำเจ เลวตลอดชาติ ตลอดปี โดยที่ทำหน้าตาเฉย ไม่ใส่ใจ ไม่คิดที่จะกลับใจใหม่ ถ้าเราอยู่ในพระเจ้าจริงๆ เราต้องสงสัยตัวเอง “เกิดอะไรขึ้นกับฉัน ทำไมฉันถึงนิสัยอย่างนี้ตลอดเวลา ไม่แก้สักที” ต้องเข้าไปหาพระเจ้า ขอพระเจ้าเมตตา ขอพระเจ้าเปิดเผยสำแดง แก้ไข อะไรก็ว่าไป เข้าไปร้องไห้กับพระเจ้า แล้วพระเจ้าก็จะช่วยเหลือเรา มันต้องเป็นอย่างนั้น เพราะคนที่อยู่ในพระคริสต์ ต้องรับการสร้างใหม่ ต้องมีสิ่งใหม่ๆ ที่ดี ที่เป็นลักษณะของพระเจ้าเกิดขึ้นแน่นอน


สุภาษิต 4:15 “จงหลีกเสีย อย่าเดินบนนั้น เลี้ยวออกไปเสีย และจงผ่านไป”

คือทางที่ไม่ดี ทางของคนอธรรม


สุภาษิต 4:16

“เพราะถ้าคนชั่วร้ายไม่ได้ทำความผิด เขานอนไม่หลับ ถ้าเขาไม่ได้ทำให้คนใดสะดุดเขาจะหลับไม่ลง”


นี่คือนิสัยของคนอธรรม ตามที่พระคัมภีร์บอก วันไหนไม่ทำอะไรที่ไม่ดี ตะหงิดๆ เหมือนขาดอะไรสักอย่าง ต้องออกไปทำชั่วสักอย่างหนึ่ง แล้วกลับมานอน สบายใจ ถ้าเมื่อไหร่เรามีความรู้สึกแบบนี้ ต้องรีบกลับใจใหม่


สุภาษิต 4:17-18

“เพราะเขารับประทานอาหารของความโหดร้าย และดื่มเหล้าองุ่นแห่งความทารุณ แต่วิถีของคนชอบธรรมเหมือนแสงอรุณ ซึ่งฉายสุกใสยิ่งขึ้นๆ จนเต็มวัน”




วิถีของคนชอบธรรมเหมือนแสงสว่าง จะมีความสุกใส เราจะเห็นอะไรชัดเจน

ดังนั้นทางของคนชอบธรรม หรือทางของคริสเตียนต้องมีความชัดเจน ไม่มี คริสเตียนเทาๆ ขาวคือขาว ดำคือดำ แต่ส่วนใหญ่คริสเตียนก็ชอบผสมสีเอง ยืนก้ำกึ่ง ขอพระเจ้าเมตตาให้เราสามารถยืนหยัดอยู่ในความถูกต้อง ถึงแม้ว่าความถูกต้องจะนำมาซึ่งความทุกข์ใจ สำหรับเรา เพราะเราถูกต้องเยอะเกินไป คนก็ไม่ชอบ แต่ไม่เป็นไร คนจะไม่ชอบ ไม่ต้องไปสนใจ อย่าให้พระเจ้าไม่ชอบเราก็แล้วกัน ถ้าพระเจ้าไม่ชอบเราเรื่องใหญ่ ทำสิ่งที่ถูกต้อง แล้วพระเจ้าจะทรงอำนวยพระพรเรา


สุภาษิต 4:19-23

“ทางของคนชั่วร้ายก็เหมือนความมืดทึบ เขาไม่ทราบว่า เขาสะดุดอะไร บุตรชายของเราเอ๋ย จงตั้งใจต่อถ้อยคำของเรา จงเอียงหูของเจ้าเข้าหาคำพูดของเรา อย่าให้มันหนีไปจากสายตาของเจ้า จงรักษามันไว้ภายในใจของเจ้า เพราะมันเป็นชีวิตแก่ผู้ที่ค้นพบ และมันรักษาเนื้อของผู้นั้นทั้งสิ้น จงรักษาใจของเจ้าด้วยความระวังระไวรอบด้าน เพราะชีวิตเริ่มต้นออกมาจากใจ”


รักษาใจของเรา ถ้าใจเราอยู่ในทางที่ถูกต้องของพระเจ้า พฤติกรรมทุกอย่างจะส่งผลออกมาภายนอก แต่ถ้าใจเราไม่ดีแล้ว ผลกระทบออกมามันไม่ดีหมด อันนี้ต้องระวัง


สุภาษิต 4:24 “จงทิ้งวาจาคดๆ เสีย และให้คำพูดลดเลี้ยวห่างจากเจ้า”


บางคน เขาเรียกว่าลื่นเหมือนปลาไหล หรือปั้นน้ำเป็นตัว หรืออะไรก็ตาม ในพระคัมภีร์จะเน้นเรื่องของคำพูดบ่อยๆ เพราะมันอันตรายมากๆ และเราก็จะต้องใส่ใจในเรื่องนี้ พระเจ้าบอกว่าวาจาที่คดไปคดมา แบบฉลาดแกมโกงอะไร ก็ให้ทิ้งไปเลย ในพระคัมภีร์บอก จริงก็ว่าจริง ไม่ก็ว่าไม่


สุภาษิต 4:25-27

“ให้ตาของเจ้ามองตรงไปข้างหน้า และให้การจ้องของเจ้าตรงไปข้างหน้าเจ้า จงสนใจในวิถีแห่งเท้าของเจ้า แล้วทางทั้งสิ้นของเจ้าจะแน่นอน อย่าเหไปข้างขวาหรือหันมาข้างซ้าย จงกลับเท้าของเจ้าเสียจากความชั่วร้าย”




ระวัง สนใจย่างเท้า สนใจทางเดินของเรา

ในพระธรรมสดุดีบอกว่าพระวจนะของพระเจ้าเป็นโคมส่องเท้าให้กับเรา ให้ถ้อยคำของพระเจ้าเป็นผู้นำทางชีวิตของเรา ในแต่ละวัน ไม่ว่าเราจะก้าวซ้าย ก้าวขวา ถามพระเจ้าก่อน แต่ไม่ได้หมายความว่าเรากลายเป็นคนเสียจริต ไปยืนอยู่หน้าถนน จะเลี้ยวขวาไปป้ายรถเมล์ ก็ไปยืนพึมพำ “พระเจ้าตกลงลูกจะเอาอย่างไร ลูกจะเลี้ยวขวาไปนั่งรถเมล์ดีไหม” ไม่ต้องถึงขนาดนั้น นั่นวิกลจริตแล้ว



แต่ว่าความหมายของถ้อยคำของพระเจ้า คือก่อนที่เราจะทำอะไร ตัดสินใจอะไร (นอกเหนือจากกิจวัตรประจำวัน เช่น ตื่นนอน แปรงฟัน อาบน้ำ ทานข้าว ไปทำงาน) ให้พินิจพิจารณา ให้พระเจ้าเป็นผู้นำทางเรา อธิษฐานแล้วอธิษฐานอีก ยิ่งเราจะต้องตัดสินใจทำอะไรที่สำคัญ สำหรับชีวิตของเรา ให้อธิษฐานแล้วอธิษฐานอีก ถ้าข้างในเรายังยืนยันว่าโอเค แต่คำว่า “โอเค” ไม่ใช่ว่า “อธิษฐานแล้ว พระเจ้า ลูกจะไปตีหัวคนนี้ดีไหม” เราอธิษฐานแล้วอธิษฐานอีก ข้างในยังโอเคอยู่เลย โอพระเจ้าใช่เลย เดี๋ยวถือไม้ขว้างเลย ไม่ใช่นะคะ



คำว่า “โอเค” หมายความว่า ต้องยืนอยู่ในพื้นฐานที่ถูกต้องของพระเจ้า แล้วข้างในเรายืนยันว่า “ใช่” แล้วเราก็ทำไป เพราะพระเจ้าบอกว่า ไม่มีอะไรที่เราทำโดยปราศจากการควบคุมของพระเจ้า พระเจ้าจะควบคุมทุกสิ่งให้กับเรา เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น: